หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.446 – ก้าวเข้าสู่มิติที่ว่างเปล่า

 

อีกด้านหนึ่ง

 

กู่ฉิงซานกำตราในมือแน่น และเร่งมุ่งหน้าตรงไปยังค่ายกลที่ใช้ในการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์อย่างรวดเร็ว

 

ฉานนู่ได้ใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แปลงกายตัวเองเป็น ‘ฉีหยาน’ แล้วกลับไปรอที่แท่นเวทีก่อนเป็นอันดับแรก

 

และเธอคงจะถ่วงเวลาได้ไม่นานนัก

 

กู่ฉิงซานจึงต้องเร่งก้าวผ่านโทษทัณฑ์ให้เร็วที่สุด จากนั้นก็กลับมา แล้วทำการสลับตัวกับฉานนู่อีกครั้ง

 

กล่าวได้ว่ากระบวนการทั้งหมดของทัณฑ์สายฟ้าในขอบเขตประทับเทพกินเวลาไม่ยาวนานนัก

 

และนั่นคือเหตุผลที่กู่ฉิงซานตัดสินใจที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในช่วงเวลานี้

 

ทว่า ส่วนที่ยากที่สุดในการทะลวงฝ่าประทับเทพ ก็คงมิแคล้วเป็นต้องรับมือกับพลังอำนาจอันใหญ่ยิ่งของสายฟ้า

 

เขาจึงตัดสินใจที่จะยกระดับพื้นฐานวรยุทธขึ้นไปยังประทับเทพ ในช่วงเวลานี้ ช่วงที่เย่หยิงเหมยกำลังไปเอาสมบัติมนตรา และหวังหงษ์เต๋ายังไม่กลับมา

 

ไม่ต้องบอกก็คงจะทราบว่าขณะนี้ กู่ฉิงซานกำลังแข่งอยู่กับเวลา

 

เพราะเรื่องที่ต้องกังวลไม่ใช่มีเพียงเรื่องที่กล่าวมา แต่ยังมีเรื่องของสตรีแห่งรากษสที่ได้ล่วงรู้เกี่ยวกับโลกเทวะแล้วอีกด้วย!

 

แต่ยังไงก็ตาม จริงๆแล้วเธอก็ยังไม่ทราบว่าการปลอมตัวของตนถูกจับได้แล้วโดย ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ของกู่ฉิงซานอยู่ดี

 

ดังนั้น เธอที่ไม่ทราบถึงเรื่องนี้ จึงยังคงเลือกที่จะเฝ้ารออย่างอดทนต่อไป เพื่อต้องการที่จะลอบสืบว่าสิ่งที่ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสามกำลังจะลงมือต่อไปคืออะไรกันแน่

 

ไม่ว่าจะเป็นหวังหงษ์เต๋า , สตรีแห่งรากษส , สองปรมาจารย์ตำหนัก ทั้งหมดก็ล้วนมีพื้นฐานวรยุทธสูงส่งกว่ากู่ฉิงซานอยู่ถึง 3 – 4 ขอบเขต!

 

สถานการณ์เช่นนี้นับว่าอันตรายเป็นอย่างยิ่ง!

 

กู่ฉิงซานจะต้องคิดหาวิธีที่จะป้องกันไม่ให้คนเหล่านี้เข้าถึงความลับของโลกเทวะและโลกแห่งผู้ฝึกยุทธให้ได้

 

ขณะเดียวกัน เขาก็จะต้องหาหนทางหลบหนีออกไปจากโลกล่องเวหาใบนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เช่นกัน

 

นี่นับว่าเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่เคยพบ ไม่เคยเจอมาก่อนอย่างแท้จริง

 

สถานที่ตั้งของค่ายกลมากมายในนิกาย จะอยู่ในบริเวณส่วนล่างของเกาะลอยฟ้า

 

และกู่ฉิงซานมาถึงสถานที่ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

ค่ายกลเหล่านี้มีขนาดที่แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม ทุกอันล้วนมีสีดำสนิท

 

กู่ฉิงซานเลือกที่จะกวาดสายตามองค่ายกลทั้งหมดเสียก่อนเป็นอันดับแรก

 

จากข้อมูลที่ได้รับมา ค่ายกลเหล่านี้โดยสิ้นเชิงแล้วมีอยู่สี่ประเภทที่ใช้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ในมิติที่ว่างเปล่า

 

ประเภทแรก คือที่กำลังส่องแสงแวววาวจางๆ นั่นจะเป็นค่ายกลที่ใช้ข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของขอบเขตก้าวสู่เทพ

 

มันคือค่ายกลสำหรับก้าวสู่เทพและขอบเขตที่ต่ำกว่า สาวกในนิกาย ไม่ว่าใครก็สามารถใช้พวกมันได้ตลอดเวลา

 

โดยมีวิธีการใช้งานก็คือ คนในนิกายกวงหยางจะเข้าไปในพื้นที่ค่ายกลขนาดเล็กนี้ จากนั้นก็จะถูกส่งตัวเข้าไปในกระแสมิติที่ว่างเปล่า

 

ซึ่งค่ายกลเหล่านี้ ได้ถูกประกอบเข้าด้วยกันเพื่อรับมือกับทัณฑ์สายฟ้าโดยเฉพาะ มันจะดึงดูดทัณฑ์สายฟ้าให้เข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าที่ผู้ใช้งานถูกส่งตัวออกไป โดยกระบวนการดังกล่าวจะไม่เป็นการรบกวนมารโลกาให้ตื่นขึ้นหรือสัมผัสถึงได้

 

ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในขอบเขตต่ำกว่าก้าวสู่เทพ จึงสามารถที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ภายในค่ายกลได้อย่างสบายใจ

 

ดังนั้น กล่าวได้ว่าคนที่คิดค้นและติดตั้งค่ายกลพวกนี้ขึ้น นับว่ามีพรสวรรค์ และเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับสูงอย่างแท้จริง

 

กู่ฉิงซานหันไปมองค่ายกลรูนทมิฬอื่นๆ

 

ขอบเขตประทับเทพจนไปถึงขอบเขตพันวิบัติเป็นประเภทที่สอง ทัณฑ์สายฟ้าของพวกมันจะทรงพลังอย่างยิ่งยวดยิ่ง และรุนแรงเกินกว่าที่ค่ายกลประเภทแรกที่กล่าวมาก่อนหน้านี้จะต้านทานได้

 

กู่ฉิงซานจึงจำเป็นต้องข้ามผ่านโทษทัณฑ์ภายในค่ายกลรูนทมิฬนี้

 

ข้างๆค่ายกลรูนทมิฬ ยังคงมีหลงเหลือค่ายกลอยู่อีก 2 ประเภท

 

ประเภทแรกคือค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า

 

อีกประเภทย่อมไม่พ้นค่ายกลที่ใช้ในการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิต

 

สำหรับสองขอบเขตหลัง ค่ายกลได้ถูกแยกตัวออกมาเป็นแต่ละประเภทรับมือกับมันโดยเฉพาะ

 

วิสัยทัศน์ของกู่ฉิงซานตกลงบนค่ายกลลมปราณจิต

 

นี่คือค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด

 

การจะเปิดใช้งานมัน จำต้องจ่ายศิลาวิญญาณออกไปกว่า 196 ชิ้น

 

ซึ่งปริมาณดังกล่าว สำหรับโลกล่องเวหาแล้วนับว่าเป็นอะไรที่สูงค่ายิ่ง

 

ทว่าสิ่งที่กู่ฉิงซานให้ความสนใจน่ะ มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก

 

แต่เป็นเรื่องที่ -ใช้แค่เพียง 196 ศิลาวิญญาณ ก็จะสามารถเปิดใช้งานค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด แล้วถูกส่งเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ต่างหาก!?

 

ตั้งแต่ที่กู่ฉิงซานเริ่มฝึกยุทธมา เขาไม่เคยได้ยินได้เห็นเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย

 

กระทั่งกงซุนซีในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ อีกฝ่ายก็ยังไม่สามารถจำกัดศิลาวิญญาณไว้แค่ 196 ชิ้น เพื่อทำการเปิดใช้งานค่ายกลขนาดใหญ่ได้เลย

 

กู่ฉิงซานค่อยๆชะลอการเคลื่อนไหวลง ก่อนจะหยุดสำรวจค่ายกลลมปราณจิตอย่างระมัดระวัง

 

เขาได้ทำการเก็บ ‘ตรา’ ที่ใช้เปิดค่ายกลของเซ่าหวูชุ่ยกลับคืน

 

เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลานี้ มันจำเป็นต้องทำเวลาให้ดีที่สุด ต้องเร่งเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเพื่อทำการตัดผ่านวรยุทธโดยทันที ทว่ามองไปยังท่าทีการแสดงออกของกู่ฉิงซานขณะนี้ แท้จริงแล้วกลับดูเหมือนว่าเขาไม่เร่งร้อนเลย?

 

เมื่อเก็บตราไป เขาก็เลือกที่จะหยิบศิลาวิญญาณกว่า 196 ก้อนขึ้นมาแทน และวางมันลงแต่ละค่ายกลขนาดเล็ก ที่เชื่อมโยงกันเป็นค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์สำหรับลมปราณจิต

 

วูบบบบ!

 

ค่ายกลถูกเปิดใช้งานทันที!

 

นี่คือค่ายกลที่ใช้ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิต! เป็นค่ายกลที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก!

 

กู่ฉิงซานนำถุงสัมภาระใบหนึ่งออกมาทันที

 

นำออกมาโดยที่เขาไม่คิดจะเหลียวมองมันด้วยซ้ำ และนำพาเจ้าถุงที่ว่านั่นเข้าสู่ใจกลางค่ายกลข้ามผ่านโทษทัณฑ์ของลมปราณจิตกับตนเองด้วยเลยโดยตรง

 

เมื่อค่ายกลสัมผัสถึงความผันผวนทางพลังวิญญาณของเขา มันก็เริ่มต้นทำงานทันที

 

รูนนับไม่ถ้วนผุดออกมา ก่อนจะควบรวมกันกลายเป็นชุดอักษรที่ยากจะอธิบายในอากาศ

 

ค่ายกลได้ถูกกระตุ้นใช้งานแล้ว!

 

แต่อย่างไรก็ตาม กู่ฉิงซานกลับเลือกใช้ออกด้วยย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้วอย่างกระทันหัน

 

เขาหายวับไปในทันใด ทั้งคนทั้งร่างปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งด้านนอกค่ายกล

 

ขณะที่ถุงสัมภาระถูกทิ้งไว้ในค่ายกลโดยเขา และพร้อมด้วยการทำงานของค่ายกล มันก็ได้ถูกส่งออก … หายวับไปในทันที

 

กู่ฉิงซานมิได้ใช้ตราที่ได้รับมา

 

—ซึ่งหากไม่ใช้ตราแล้วล่ะก็ มันจะเป็นดั่งที่สองปรมาจารย์ตำหนักได้กล่าวเอาไว้ นั่นคือค่ายกลจะทำการส่งผู้ใช้งานมันออกไปในมิติที่ว่างเปล่าแบบสุ่ม

 

นอกจากนี้ ยังเป็นการสุ่มของค่ายกลลมปราณจิตที่ทรงพลังที่สุด ยิ่งทรงพลัง นั่นหมายความว่ามันก็ยิ่งกินอาณาเขตกว้างขวาง! แถมกู่ฉิงซานยังใช้ศิลาวิญญาณยัดลงไปอย่างเต็มที่ ส่งผลให้พิสัยในการสุ่มของมันกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม

 

ขณะนี้ กระเป๋าสัมภาระได้ถูกส่งออกไปแล้ว และมันหายไปยังสถานที่ใดก็ยังไม่มีใครรู้

 

และช่างน่าสงสารสตรีแห่งรากษสที่ปลอมกายเป็นหน้ากากหยกวิญญาณยิ่งนัก เพราะตัวเธอก็ได้ถูกเก็บไว้ในถุงสัมภาระที่ว่านั่น และมิได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย!

 

เธอยังคงเฝ้ารอคอยโอกาสอยู่ และพยายามที่จะติดตาม ลอบล้วงข้อมูลจากฉีหยานและสองปรมาจารย์ตำหนัก เกี่ยวกับความลับของโลกใบใหม่ที่ยังมิได้ล่วงรู้

 

รังสีแสงสวรรค์บนค่ายกลค่อยๆจางหายไป

 

การส่งผ่านได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

 

196 ศิลาวิญญาณแปรเปลี่ยนเป็นผุยผง

 

ขณะที่สีหน้าของกู่ฉิงซานดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย

 

เขาไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อนเลยว่า ผู้คนจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างไร เมื่อถูกเก็บเอาไว้ในถุงสัมภาระ

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวสตรีแห่งรากษสแล้ว นางก็คงจะมีสักวิธีแหละน่า

 

มิฉะนั้นแล้ว นางคงไม่กล้าที่จะปลอมแปลงตนเป็นหน้ากากหรอก

 

ตอนนี้ กู่ฉิงซานก็ทำได้เพียงคาดหวังว่าตนจะโชคดี ในเรื่องที่ตำแหน่งที่ค่ายกลส่งออกไปนั้นห่างไกลมากพอ … มากพอที่จะทำให้สตรีแห่งรากษสมิอาจย้อนคืนกลับมาได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

 

… และหวังว่าความอดทนของสตรีแห่งรากษสจะมากพอเช่นกัน

 

เพราะยิ่งมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่ากว่าเธอจะเริ่มรู้ตัวถึงสถานการณ์ของตนเองก็จะยิ่งล่าช้าออกไปมากขึ้นเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานหันกลับมา มองไปยังค่ายกลรูนทมิฬอันก่อนหน้า

 

เขาเดินไปวางศิลาวิญญาณบนรูรอบๆค่ายกล จากนั้นจึงเริ่มทำการเข้าสู่ค่ายกล

 

และแน่นอน ว่าคราวนี้ตนเองได้ตบลงในถุงสัมภาระ นำตราที่พึ่งเก็บไปกลับมาไว้ติดตัว

 

จากนั้น ก็เริ่มทำการข้ามผ่านโทษทัณฑ์

 

ค่ายกลสีดำถูกเปิดใช้งานโดยศิลาวิญญาณ  และคราวนี้พวกมันก็สัมผัสได้ถึงตราในมือของกู่ฉิงซาน พริบตานั้นแสงสว่างก็สาดออกมา และห่อหุ้มเขาในทันใด

 

พร้อมกับกู่ฉิงซานที่หายวับไปจากสถานที่เดิม

 

….

 

นี่คือพื้นที่ภายในมิติที่ว่างเปล่าอันเชี่ยวกราด

 

ด้วยการจัดวางค่ายกลของนิกายกวงหยาง ส่งผลให้ทัณฑ์สายลมมิอาจเข้ามาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้

 

แน่นอน ว่ามอนสเตอร์ที่อยู่ท่ามกลางมิติที่ว่างเปล่า ก็ไม่อาจเข้ามาสู่พื้นที่แห่งนี้ได้เช่นกัน

 

แต่ต่อให้พวกที่พึ่งกล่าวมาพบเจอพื้นที่มิติแห่งนี้ แล้วก้าวเข้ามาในพิสัยค่ายกล พวกมันก็จะถูกค่ายกลตรวจจับได้ทันที

 

และจากนั้นค่ายกลก็จะทำการเคลื่อนย้ายพวกที่ว่า ไปปรากฏตัวยังตำแหน่งของมารโลกาโดยตรง!

 

ต่อให้มอนสเตอร์ที่คิดย่างกรายเข้ามาแข็งแกร่งเพียงใด ตราบใดที่มันถูกส่งเข้าหามารโลกา มันก็มิแคล้วต้องตกเป็นเพียงอาหารอยู่ดี

 

นี่แหละคือความมหัศจรรย์ของค่ายกลล่ะ

 

กู่ฉิงซานลอยอยู่ในความว่างเปล่า โดยไม่มีอะไรคอยหยั่งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา

 

ล้อมรอบไปด้วยสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด และบ่อยครั้งที่จะมีแสงและเงาสลัวๆสะท้อนออกมาจากทางมัน

 

ภายในวิสัยทัศน์ของเขา เส้นแสงตัวอักษรแถวหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

 

“การก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ขอบเขตประทับเทพ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า”

 

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่าน ในจิตใจเริ่มสั่งการนึกคิดเล็กน้อย

 

และภายในเสี้ยววินาที ดาบพิภพและเช่าหยินก็ปรากฏขึ่้นจากในความว่างเปล่า ลอยประกบข้างกายซ้ายขวาของเขา

 

“กำลังจะเริ่มแล้วนะ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล

 

หากได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพ ความแข็งแกร่งของตัวเขาเองจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

 

นอกจากนี้ ก่อนหน้า เขายังได้รับรางวัลจากการบรรลุภารกิจพิเศษ ‘หวูซานจะต้องตาย’ มาแล้วอีกด้วย นั่นหมายความว่าหากเขาเข้าถึงขอบเขตประทับเทพได้แล้ว ตนก็จะสามารถใช้รางวัลที่ว่านั่นเพื่อทำการได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของประทับเทพได้เลยในทันที

 

ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากได้รับความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นมากเพียงไร ผลลัพธ์มันก็จะยิ่งต่างออกไปมากเท่านั้น

 

“เจ้ากำลังจะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์กระนั้นหรือ?”

 

ดาบภพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

“ใช่ และในเวลานี้ ข้าคงต้องเร่งมือและมันอาจจะเป็นการข้ามผ่านโทษทัณฑ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“ทุกคราที่ก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ เจ้ามันก็เร่งร้อนและโยนตนเองให้ตกอยู่ในอันตรายไปเสียทุกครั้งนั่นแหละ” ดาบพิภพแย้ง

 

อย่างเช่นในโลกเทวะ กู่ฉิงซานได้เลือกโยนตนเองตกสู่ในอันตราย โดยการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ท่ามกลางสนามรบ ใช้ทัณฑ์สายฟ้าในขั้นก่อกำเนิด ฟาดผ่าใส่กองทัพมาร จนพวกมันแตกพ่ายไป

 

ขณะที่ในโลกจริง เขาก็เลือกที่จะก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ โดยการใส่หูฟังฟังเพลงท่ามกลางสายฝนเย็นฉ่ำ ตลอดทั้งวันคืนจนสำเร็จ

 

แต่ในเวลานี้ มันคือโทษทัณฑ์ของขอบเขตประทับเทพ ..

 

ขอบเขตที่ในชีวิตก่อนหน้า ไม่มีผู้เล่นคนใดเลยที่จะอาจเอื้อมมาถึง

 

—ด้วยแต้มค่าประสบการณ์ที่จำเป็นต้องใช้มันสูงมากเกินไป … สูงชนิดที่เรียกได้ว่าหมดหวัง

 

แต่ตอนนี้ การที่จะมามัวระลึกย้อนคิดเกี่ยวกับมัน ก็ดูเหมือนจะยังไม่ใช่เวลาอันสมควรนัก

 

สติอารมณ์ของกู่ฉิงซาน รวมไปถึงสภาวะจิตใจราวกับบังเกิดคลื่นระลอกใหญ่ขึ้น

 

เขาถอนหายใจ และเริ่มปรับอารมณ์ของเขาอย่างรวดเร็ว

 

ในฐานะที่เป็นมนุษย์ของโลกจริง นี่คือเหตุการณ์อันสำคัญยิ่งที่จะนำไปสู่การก่อกำเนิดยุคสมัยใหม่!

 

กู่ฉิงซานพร้อมที่จะทุ่มอย่างเต็มกำลังแล้ว

 

เขาเริ่มกินยาประทับเทพที่เซ่าหวูชุ่ยมอบมันให้แก่ฉานนู่จนหมดเกลี้ยง

 

กู่ฉิงซานกางมือทั้งสองออก และคว้าจับสองดาบในแต่ละข้าง

 

ภายในตันเถียนของเขา พลังวิญญาณค่อยๆเติบโตขึ้น ขยายขึ้นเรื่อยๆ

 

-ยาประทับเทพ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีอย่างแท้จริง

 

ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็สามารถเรียกความสงบกลับคืนมาได้ในที่สุด

 

สีหน้าการแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

 

“การใช้ค่ายกล เพื่อให้มาข้ามผ่านโทษทัณฑ์ได้ในมิติอันเชี่ยวกราด กระทั่งตัวข้าเองก็ยังไม่เคยพบเคยเห็นวิธีการอันน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้มาก่อนเลย” ดาบพิภพเอ่ยชื่นชมออกมา

 

กู่ฉิงซาน “ในโลกใบนี้มิได้มีมารสวรรค์ , หาได้มีมอนสเตอร์ตนอื่นๆคอยก่อกวนไม่ ดังนั้น พวกเราจึงสมควรที่จะสามารถตัดผ่านได้เร็วขึ้น ไม่สิ ต้องเร็วขึ้นแน่ๆ”

 

“แล้วคราวนี้เจ้าไม่คิดจะเปิดเพลงฟังอีกหรือไร” ดาบพิภพเอ่ยถามอย่างจริงจัง

 

ขณะที่ดาบเช่าหยินฉวัดเฉวียนคำหนึ่ง เอ่ยสนับสนุน

 

“คราวนี้เราจะไม่ฟังเพลงกันแล้ว แต่เราจะเริ่มกันเลยทันที!”

 

กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขาขับเคลื่อนพลังวิญญาณในร่างกายของตน และเปิดฉากทำการโจมตีขอบเขตใหม่อย่างเต็มกำลังในทันที

 

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในค่ายกลขนาดเล็กก็เริ่มตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเขา บังเกิดแสงสวรรค์ส่องสว่างขึ้น

 

นี่คือการเหนี่ยวนำโทษทัณฑ์ของฟ้าดิน โดยส่งตรงพวกมันจากโลกล่องเวหา นำเข้ามาสู่พื้นที่มิติอันว่างเปล่านี้โดยค่ายกล

 

บังเกิดแสงสายฟ้าสาดสว่างขึ้นผ่านช่องว่างระหว่างโลกกับภายในมิติ

 

ทว่าเมื่อแสงสายฟ้าเหล่านี้ปรากฏขึ้น ยังมิทันได้ควบรวมกัน มันก็ถูกทำลายลงด้วยคมดาบของกู่ฉิงซานซะก่อน

 

อย่างไรก็ตาม สายฟ้ายังคงฟาดผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องจากโลกล่องเวหา ควบรวมกันจนเกิดเป็นแส้สายฟ้าฟาดอันน่าสะพรึงกลัว!

 

สายฟ้าได้ห้อมรอบกายเขาจากทุกทิศทาง!

 

“มาเลย!”

 

กู่ฉิงซานตะคอกคำหนึ่ง

 

ดาบพิภพถูกเหวี่ยงออกไป พุ่งตัดผ่านมิติอย่างรวดเร็ว

 

สายฟ้าที่ฟาดผ่าถูกแตกกระเจิงออกทันทีโดยการปะทะเฉือนของดาบพิภพ

 

พวกมันแตกกระเจิง พรั่งพราว ลอยล่องอยู่กลางอากาศคล้ายดั่งสะเก็ดฝนดาวตกบนฟากฟ้า

 

ราวกับว่าจะรับรู้ได้ถึงพลังของสายฟ้าที่ถูกทำลายออกไป ทันใดอีกหนึ่งค่ายกลขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกันก็เริ่มถูกเปิดใช้งานทันที

 

แสงสายฟ้าที่พึ่งถูกทำลายลงเป็นสายฟ้าเส้นเล็ก มิอาจควบรวมกันได้อีกต่อไป พวกมันได้สลายหายไปจากภายในพื้นที่มิติโดยพลัน

 

“ค่ายกลสามารถกระทำได้ถึงเพียงนี้เชียว? นี่มันชักจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะกล่าวยกย่อง

 

อารยธรรมด้านการฝึกยุทธของโลกล่องเวหานั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ ความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของค่ายกลโดยแท้ กล่าวได้ว่าเป็นเพราะค่ายกลนี่แหละ พวกเขาจึงสามารถรอดพ้นจากมารโลกามาได้จนถึงทุกวันนี้

 

นี่แหละ คือพลังของสิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมล่ะ!

 

แต่น่าเสียดายจริงๆ แม้อารยธรรมดังกล่าวจะรุ่งเรืองเพียงใด ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ามารโลกาแล้ว ทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงตัวตนอ่อนแอไร้ค่าเท่านั้น

 

กู่ฉิงซานกำดาบดาบเช่าหยินไว้ในมือ ทะยานตัวเหินเข้าปะทะกับแสงสายฟ้า

 

บังเกิดรังสีที่แผ่ไอเย็นออกมาจากดาบในมือของเขา หวดเข้าฟาดฟันใส่ทะเลดาวที่เปรียบดั่งบอลสายฟ้าขนาดย่อมระลอกใหม่ที่พึ่งเข้ามา ทั้งเฉือน ทั้งตัดอย่างต่อเนื่อง

 

กู่ฉิงซานในเวลานี้ กล่าวได้ว่าทุ่มสุดตัวเต็มกำลังแล้ว!

 

บอลสายฟ้าทั้งหมดที่พึ่งปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า มิอาจหลบเลี่ยงไปจากรังสีดาบของเขาได้เลย

 

หนึ่งดาบ , สิบดาบ , พันดาบ

 

กู่ฉิงซานทุ่มกำจัดทัณฑ์สายฟ้าตั้งแต่ที่พวกมันปรากฏตัวขึ้นในแรกเริ่ม เพื่อป้องกันไม่ให้มันฉวยโอกาสก่อตัวเริ่มควบรวมกันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

 

“ยาวนานเหลือเกิน ที่ข้ามิได้เห็นเจ้าเอาจริงเอาจังเช่นนี้” ดาบพิภพเอ่ยฉวัดเฉวียน

 

“ก็ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป มันก็ต้องฝืนกันบ้างเป็นธรรมดา”

 

ขณะกล่าว กู่ฉิงซานก็ยังคงถือดาบฟาดฟันต่อไป

 

เขาตัด สับ หั่น เฉือน สะบั้น แสงสายฟ้าที่ท่วมท้นไปทั่วบริเวณอย่างไม่หยุดยั้ง!