ตอนที่ 135 ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เมื่อกลับถึงเรือนหว่านเซียง โจวเสาจิ่นก็เรียกฝานฉีเข้ามา

 

 

“ข้ามีเรื่องเร่งด่วนให้เจ้าทำ!” นางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “แต่เรื่องนี้เจ้าห้ามบอกใครเป็นอันขาด แม้แต่มารดาของเจ้าก็บอกไม่ได้ นอกจากนี้ยังเป็นธุระที่ต้องออกเดินทางไปไกล หากว่าทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้าไม่เพียงจะตกรางวัลให้เจ้าเป็นเงินสองร้อยเหลี่ยงเงินเท่านั้น แต่ยังจะมอบที่นาทำเลดีแก่เจ้าอีกสิบหมู่ด้วย เจ้ากล้าไปหรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นเองก็เคยคิดจะเพิ่มเงินรางวัลให้สูงขึ้น แต่กลัวว่าหากรางวัลมีค่าสูงเกินไปจะให้ทำให้ฝานฉีตกใจกลัว แม้นเป็นเช่นนี้ ฝานฉีก็ยังมองนางอย่างตกตะลึงจนตาค้าง ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้

 

 

สองร้อยเหลี่ยงเงิน เพียงพอให้เขาเลี้ยงดูมารดารจนถึงวาระสุดท้าย ที่นาทำเลดีสิบหมู่ ก็เพียงพอให้เขาได้กินอิ่มนอนอุ่นโดยไม่ต้องกังวลไปทั้งชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็เป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลโจว การทำงานรับใช้คุณหนูรองเป็นหน้าที่ของเขา…เขาจึงตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “จะทำตามคำสั่งของคุณหนูรองทุกอย่างขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นผ่อนลมหายใจออกมาครั้งหนึ่ง

 

 

โชคดีที่ฝานฉีตอบตกลง ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่รู้จะส่งใครไปจัดการธุระเรื่องนี้ให้แล้วจริงๆ

 

 

นางบอกให้ฝานฉีปิดประตู แล้วกระซิบกับเขาว่า “ข้าอยากให้เจ้าไปเมืองจิงเฉิงสักครั้งหนึ่ง ทางด้านคุณหนูใหญ่ ข้าจะบอกว่าเจ้ามีธุระต้องกลับไปทำที่บ้านเกิด ส่วนทางด้านฝานมามา เจ้าพอจะหาข้ออ้างดีๆ ได้บ้างหรือไม่”

 

 

ฝานฉีอายุยังน้อย ทั้งยังไม่มีหน้าที่การงานที่สลักสำคัญอะไร หากไม่อยู่ในจวนสักระยะหนึ่ง ย่อมไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจมากนัก

 

 

ฝานฉีไม่นึกไม่ฝันว่าโจวเสาจิ่นจะให้เขาเดินทางไปเมืองจิงเฉิง เขาทั้งตื่นเต้นและตั้งตารอคอย รีบตอบไปว่า “บอกไปว่าท่านอยากจะซื้อที่นาสักผืน จึงให้ข้ากลับไปสอบถามที่บ้านเกิดดูสักหน่อยดีหรือไม่ขอรับ”

 

 

“ข้ออ้างนี้ดี” โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “ถึงเวลานั้นข้าจะลงนามที่นาในชื่อของเจ้า ท่านพี่จะได้ไม่สงสัย” จากนั้นก็กล่าวชมเขาว่า “สมองของเจ้าช่างปราดเปรื่องจริงๆ!”

 

 

ฝานฉีหัวเราะอย่างเบิกบาน

 

 

โจวเสาจิ่นกล่าวว่า “ข้าจะไหว้วานให้คนคุ้มกันเจ้าไปตลอดทางจนถึงเมืองจิงเฉิง แต่มีเรื่องต้องระวังอยู่ข้อหนึ่ง เจ้าห้ามให้ผู้ที่คุ้มกันเจ้าไปจนถึงเมืองหลวงเหล่านั้นรู้ว่าเจ้าจะไปทำอะไรเป็นอันขาด เมื่อเจ้าไปถึงเมืองจิงเฉิงแล้ว ให้ไปที่ถนนซุ่ยอี้ ซอยซ่างซู เดินจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกจะเป็นเรือนหลังที่สาม…แซ่มู่ นายท่านของตระกูลดำรงตำแหน่งเป็นเลขานุการอยู่ที่กรมพิธีการ มีบุตรสาวสามคนและบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวคนโตหมั้นหมายกับบุตรชายคนโตของตระกูลหลินที่ซอยหนึ่งของถนนซุ่ยเหริน เจ้าไปสืบดูว่า ตอนนี้สถานการณ์ของตระกูลมู่กับตระกูลหลินเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้น…ให้คิดหาวิธีเสาะหานักพรตเต๋าที่ออกธุดงค์หรือนักบวชที่มาค้างแรมอยู่ที่วัดให้ได้ผู้หนึ่ง ให้บอกว่ายามที่บุตรสาวคนโตของตระกูลมู่อายุครบสิบเจ็ดปีจะมีเคราะห์ร้าย นำความวิบัติมาสู่บุพการีและน้องชายน้องสาว หากว่าออกเรือนก่อนอายุสิบเจ็ดปี ไม่เพียงแต่ตระกูลมู่จะพลิกเปลี่ยนจากเคราะห์ร้ายให้กลายเป็นดีแล้ว ตระกูลของสามีก็จะเจริญรุ่งเรืองมีบุตรเต็มบ้านหลานเต็มเมืองอีกด้วย”

 

 

แม้ว่าหลินซื่อเซิ่งจะเป็นลูกโทน แต่วงศ์ตระกูลก็ไม่ได้ขาดศีลธรรมอันดีแต่อย่างใด หากไม่ใช่เพราะนางเห็นด้วยตั้งแต่แรก หลังจากที่แต่งงานกันแล้วไม่มีบุตร หลินซื่อเซิ่งยังติดสินบนหมอพเนจรผู้หนึ่งให้มาจับชีพจรของนาง และกล่าวคำสาบานว่านางไม่อาจตั้งครรภ์มีบุตรได้แล้วล่ะก็ ตระกูลหลินก็คงจะไม่ยินยอมให้หลินซื่อเซิ่งรับอนุเข้ามาเป็นอันขาด

 

 

ตอนนี้นางจึงคิดวิธีนี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ตระกูลมู่ยกบุตรสาวให้แต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งให้เร็วขึ้นอีกสักหน่อย เช่นนี้ก็ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณกันแล้ว

 

 

ทว่าฝานฉีได้ยินแล้วกลับตกใจจนอ้าปากกว้างตาค้าง ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ปกตินัก

 

 

ฟังจากน้ำเสียงของคุณหนูรองแล้ว ก็คล้ายว่าต้องการช่วยเหลือคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องดี เหตุใดคุณหนูรองถึงต้องลอบกระทำอย่างลับๆ ล่อๆ ด้วยเล่า หรือว่าเรื่องนี้ยังมีวัตถุประสงค์อื่นที่เขาไม่รู้อีกกันแน่ เขาเต็มใจวิ่งเต้นทำธุระให้คุณหนูรองเป็นอย่างมาก แต่หากว่าคุณหนูรองต้องการลอบทำร้ายผู้อื่น เช่นนั้น…อย่างไรเขาก็ต้องห้ามปราม!

 

 

“ทะ…ทำเรื่องเช่นนี้จะดีหรือขอรับ” ฝานฉีกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “คงไม่ใช่เป็นเพราะคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่ผู้นั้นมีอะไรที่ไม่เหมาะสมใช่หรือไม่ขอรับ”

 

 

“คุณหนูใหญ่ของตระกูลมู่นั้นดียิ่ง มีอะไรที่ไม่เหมาะสมหรือ” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าเพียงแค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”

 

 

ต่อให้ตระกูลมู่กับตระกูลหลินเคลือบแคลงสงสัย รอให้เกิดเหตุการณ์ทุจริตการสอบขุนนางในปีวู่ซวีเสียก่อน ถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะไม่เคลือบแคลงสงสัยอีกเลย

 

 

ในชาติก่อน โจวเสาจิ่นกับมู่อี๋เหนียงเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว

 

 

มู่อี๋เหนียงปรารถนาจะล้างมลทินจากการถูกใส่ร้ายป้ายสีให้บิดาอยู่เสมอ

 

 

ตามคำบอกเล่าของนาง บิดาของนางต้องถูกลงโทษอย่างไม่เป็นธรรมโดยสิ้นเชิง

 

 

หัวหน้าผู้รับผิดชอบการสอบและรองหัวหน้าผู้รับผิดชอบการสอบในปีนั้นเป็นผู้เปิดเผยข้อสอบออกไป แต่สุดท้ายกลับผลักบทลงโทษมาให้เจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติการแทน

 

 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ขอเพียงแค่มู่อี๋เหนียงแต่งงานเข้าตระกูลหลินแล้ว คดีของตระกูลมู่ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับนางอีกต่อไป ด้วยความสามารถและเส้นสายของหลินซื่อเซิ่ง ย่อมใช้เงินไถ่ตัวมารดาของมู่อี๋เหนียงและน้องสาวทั้งสองคนกับน้องชายออกมาได้โดยอาศัยสถานะความเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน

 

 

โจวเสาจิ่นกำชับฝานฉีอย่างละเอียดว่า “เจ้าให้ผู้ที่ไปส่งเจ้าพาเจ้าไปที่โรงเตี๊ยมเย่ว์ไหลที่อยู่ใกล้ๆ กับประตูเฉาหยาง เจ้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมสักสองวันก่อน คอยเดินไปสอดส่องดูลาดเลาในละแวกนั้นให้ทั่ว และฉวยโอกาสนี้ลอบสืบหาที่อยู่ของตระกูลมู่กับตระกูลหลินให้แน่ชัด จากนั้นค่อยหาทางย้ายไปที่โรงเตี๊ยมเกาเซิงที่อยู่ใกล้กับซอยหนึ่งของถนนซุ่ยเหริน ไม่ไกลจากที่นั่น มีอารามซ่างชิงอยู่แห่งหนึ่ง…แม้ว่าอารามแห่งนั้นค่อนข้างเล็ก แต่มักจะมีนักพรตเต๋าจากเขาอู่ไถและเขาจิ่วหวามาพักค้างแรมอยู่ที่นั่นเสมอ…ข้าจะมอบตั๋วเงินห้าร้อยเหลี่ยงให้เจ้าพกติดตัวไปด้วย…ไปหานักบวชที่เป็นนักต้มตุ๋นหลอกลวงประเภทนั้นมาสักคนหนึ่ง แล้วกุเรื่องขึ้นมาเรื่องหนึ่งว่าใต้เท้ามู่พรากรักนกยวนยาง[1] ทำให้ผู้อื่นคิดว่าเป็นตระกูลหลินที่จ้างคนมาสร้างข่าวนี้…เจ้าอย่าได้เป็นกังวลเรื่องเงินทอง ขอเพียงเจ้าทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับเงินทุกเหลี่ยงแล้ว”

 

 

ฝานฉีพยักหน้าไม่หยุด ทว่าความฉงนสนเท่ห์ในใจกลับทบทวีมากขึ้น

 

 

คุณหนูรอง คงไม่เคยไปเมืองจิงเฉิงหรอกกระมัง

 

 

แต่นางกลับคุ้นเคยกับเมืองจิงเฉิงมากขนาดนั้น รู้กระทั่งว่าใกล้ๆ กับเรือนตระกูลมู่มีภัตตาคารอะไร ใกล้ๆ กับเรือนตระกูลหลินมีโรงเตี๊ยมอะไร…

 

 

เขาอดถามไม่ได้ว่า “คุณหนูรองขอรับ ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรหรือ ตระกูลมู่เกี่ยวดองกับท่านหรือไม่ก็ตระกูลหลินเกี่ยวดองกับท่านใช่หรือไม่ และนี่ท่านกำลังช่วยเหลือพวกเขาอยู่ใช่หรือไม่ขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นผงะเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ตระกูลหลินกับตระกูลมู่ทั้งสองตระกูลนี้ล้วนเป็นญาติเกี่ยวดองกับข้า เป็นญาติฝั่งมารดาของข้า…”

 

 

น้ำเสียงของนางคลุมเครือ ทว่าฝานฉีพลันกระจ่างขึ้นมา รีบกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้วๆ สาบานว่าจะไม่บอกผู้ใดทั้งสิ้นขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะรักษาคำพูดที่ว่าจะไม่บอกผู้ใดไปได้ตลอดชีวิต แต่ขอเพียงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจสักสองสามปี รอให้มู่อี๋เหนียงแต่งงานกับหลินซื่อเซิ่งเรียบร้อยแล้ว เขาจะหลุดปากออกไปหรือไม่ก็ถือว่าไม่เป็นไรแล้ว

 

 

อย่างไรเสียเรื่องที่นางต้องทำก็ถือว่าได้ทำจนสำเร็จแล้ว

 

 

โจวเสาจิ่นนำตั๋วเงินที่ตระเตรียมเอาไว้ก่อนหน้าใส่ในถุงเงินถุงหนึ่งแล้วมอบให้ฝานฉี “เจ้าคิดหาวิธีแบ่งเก็บเอาไว้ให้ดี คาดว่าภายในสองสามวันนี้จะมีคนพาเจ้าไปส่งที่เมืองจิงเฉิง”

 

 

ฝานฉีเก็บถุงเงินเอาไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องหนังสือไป

 

 

โจวเสาจิ่นนั่งอยู่ในห้องหนังสือ คิดทบทวนถึงเรื่องที่พูดกับฝานฉีอย่างละเอียดอยู่นาน เมื่อคิดว่าไม่มีช่องโหว่ขนาดใหญ่ใดๆ แล้ว จึงผ่อนลมหายใจครั้งหนึ่ง แล้วไปที่ห้องนั่งเล่น

 

 

ระยะนี้ภายในห้องนั่งเล่นของนาง ด้านซ้ายมือวางโต๊ะเขียนหนังสือเอาไว้ตัวหนึ่ง ด้านขวามือวางโต๊ะสำหรับเย็บปักเสื้อผ้า บนที่แขวนเสื้อผ้าห่างไปไม่ไกลนักแขวนเอาไว้ด้วยผ้าไหม ผ้าแพร ผ้าไหมจางโจว ผ้าฝ้าย ถุงหอมและพู่ลั่วจื่อสีม่วงเข้มแดงสว่างมากมาย ข้างๆ ยังวางสะดึงปักผ้าเอาไว้ ดูแล้วรกไม่เป็นระเบียบยิ่ง ทว่าก็ดูอบอุ่นเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน

 

 

โจวเสาจิ่นเตรียมจะปักผ้าโพกศีรษะสองผืนให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน

 

 

ในวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวเมื่อคราวก่อน นางมอบผ้าโพกศีรษะสองผืนเป็นของขวัญวันเกิดแด่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวตามคำแนะนำของฮูหยินผู้เฒ่ากวน ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ตอนที่นางนำมันไปให้ฮูหยินผู้เฒ่าตรวจดูนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนลูบผ้าโพกศีรษะนั้นอยู่ครู่หนึ่งถึงจะวางลง เห็นได้ชัดว่าชื่นชอบยิ่งนัก

 

 

ครั้งนี้ลายที่นางจะปักคือลายแจกันทรงน้ำเต้าและลายนกกระเรียนมงกุฎแดงคาบผลไม้ จึงเลือกใช้ผ้าสีเขียวแกมน้ำเงินและสีม่วงอ่อนของดอกทิงเซียง

 

 

เพียงแต่ว่านางเพิ่งจะออกแบบวาดลายแจกันทรงน้ำเต้าเสร็จ ชุนหว่านก็เดินเข้ามา “คุณหนูรองเจ้าคะ มีสาวใช้เด็กผู้หนึ่ง แจ้งว่ามาจากเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย ได้รับคำสั่งจากแม่นางจี๋อิ๋งให้มาเชิญคุณหนูไปดื่มน้ำชาเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นประหลาดใจ ถามขึ้นว่า “ตอนนี้เลยหรือ”

 

 

“น่าจะเป็นตอนนี้นะเจ้าคะ” ชุนหว่านเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก กล่าวอีกว่า “สาวใช้เด็กผู้นั้นรออยู่ข้างนอกตลอดเลยเจ้าค่ะ!”

 

 

โจวเสาจิ่นเดินออกไปดู ปรากฏว่ามีสาวใช้เด็กผู้หนึ่งอยู่จริงๆ

 

 

สาวใช้เด็กผู้นั้นสวมเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าไหมลู่โจวสีแดงชาดตัวหนึ่ง สูงยังไม่ถึงขอบโต๊ะของนางเลยด้วยซ้ำ

 

 

ไม่แปลกใจที่นำความมาแจ้งได้ไม่ชัดเจนนัก!

 

 

นางหยิบลูกกวาดให้สาวใช้เด็กผู้นั้น แล้วเดินนำสาวใช้เด็กไปที่เรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ย

 

 

ครั้นจี๋อิ๋งเห็นนางก็บ่นขึ้นว่า “เจ้าว่าน้าของเจ้าผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่ ทั้งที่ไม่ใช่ผู้ยากไร้ กลับตระหนี่ถี่เหนียวราวกับพ่อไก่เหล็ก[2] แม้แต่สาวใช้หรือบ่าวเด็กสักคนก็ไม่ยอมซื้อ ข้าอยากจะหาใครสักคนให้ช่วยนำความไปแจ้งสักหน่อยก็หาไม่ได้” ยังพร่ำบ่นอีกว่า “หมิงเฮ่อออกเรือนไปแล้ว เขากลับไม่หาคนมาเพิ่ม ต่อไปผู้ใดจะเป็นคนรับผิดชอบทำงานต่างๆ ในเรือนนี้กันเล่า”

 

 

โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะท่านน้าฉือคิดว่าไม่ช้าก็เร็วเขาจะกลับไปพำนักอยู่ที่เรือนเจ่าหยวน”

 

 

จี๋อิ๋งสบถเสียง เหอะ ออกมาครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “บ่าวไพร่ที่เรือนเจ่าหยวนน้อยกว่าที่นี่เสียอีก นอกจากสามีภรรยาที่เฝ้าประตูเรือนสองคนแล้ว ก็มีเพียงสามีภรรยาที่ดูแลต้นไม้ดอกไม้คู่หนึ่งกับพ่อบ้านคนหนึ่ง บ่าวเด็กสี่คนและสาวใช้สองคนเท่านั้น คราวก่อนหนานผิงกลับมาแล้วเล่าให้ฟังว่า ไรฝุ่นภายในเรือนกองสูงจนเป็นภูเขาแล้ว หากว่ายังไม่หาคนมาปัดกวาดเช็ดถูดีๆ สักครั้ง พวกเครื่องเรือนเหล่านั้น ก็คงได้แต่ให้คนมาทาสีเคลือบใหม่สักรอบแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นเอ่ยขึ้นอย่างฉงนว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะซื้อเรือนอีกหลังหนึ่งไปเพื่ออะไรหรือ”

 

 

“ผีที่ไหนจะรู้” จี๋อิ๋งตอบ “ข้ายังไม่เคยไปที่นั่น ใครจะรู้เล่าว่าที่นั่นซุกซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง” จากนั้นก็ดึงมือของโจวเสาจิ่นมุ่งไปยังห้องชั้นใน “ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”

 

 

คงจะเป็นเรื่องการคุ้มกันฝานฉีไปจิงเฉิงกระมัง!

 

 

โจวเสาจิ่นใจเต้นตึกตัก กำชับซือเซียงให้เฝ้าอยู่ที่ประตู แล้วเดินตามจี๋อิ๋งเข้าไปในห้อง

 

 

จี๋อิ๋งปิดประตู จากนั้นก็หยิบปิ่นเงินมันวาวด้ามหนึ่งออกมาจากกล่องเครื่องประดับแล้วยื่นให้โจวเสาจิ่น กล่าวว่า “ข้าจะไม่ถามว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้านำปิ่นเงินนี้ แล้วส่งคนไปหาบ่าวชายแซ่หวังผู้หนึ่งที่ร้านข้าวสาร และสั่งการกับเขาโดยตรงก็ได้แล้ว”

 

 

“จี๋อิ๋ง!” โจวเสาจิ่นรับปิ่นนั้นมา เพียงแต่รู้สึกราวกับว่าปิ่นนี้หนักสักพันจินก็ไม่ปาน

 

 

“เจ้าบอกว่าข้าเป็นสหายของเจ้า” จี๋อิ๋งยิ้มพลางกล่าว “ไม่ต้องพูดอะไรให้มากความแล้ว น้าฉือของเจ้าผู้นี้ทั้งเจ้าเล่ห์และขี้สงสัยยิ่งนัก ตอนบ่ายเจ้ายังต้องไปคัดพระธรรมที่เรือนหานปี้ซาน อีกประเดี๋ยวก็รอรับประทานมื้อเที่ยงกับข้าที่นี่แล้วค่อยไปเถิด ปิ่นนี้เจ้าซ่อนเอาไว้ให้ดี อย่าให้คนของเรือนเสี่ยวซานฉงกุ้ยเห็นเด็ดขาด”

 

 

ขอบตาของโจวเสาจิ่นขึ้นสีแดงเล็กน้อย แล้วเก็บปิ่นซ่อนเอาไว้ในเสื้อ

 

 

จี๋อิ๋งหัวเราะออกมาพลางหยิกแก้มของนาง หยอกล้อนางว่า “น่าเสียดาย หากข้ายังอยู่ที่ชังโจวล่ะก็ จะต้องหาทางหลอกเอาเจ้ากลับบ้านไปด้วยให้ได้ และให้เจ้าแต่งเข้ามาเป็นภรรยาให้กับญาติผู้น้องของข้า”

 

 

อารมณ์ซาบซึ้งที่ท่วมท้นอยู่ภายในใจของโจวเสาจิ่นพลันมลายหายวับในพริบตา

 

 

นางปัดมือของจี๋อิ๋งและกล่าวว่า “หากเจ้าหยิกข้าอีก ต่อไปข้าจะไม่ช่วยเจ้าอีกแล้ว”

 

 

จี๋อิ๋งได้ยินแล้วก็กล่าวเย้าแหย่ว่า “เจ้าช่วยอะไรข้างั้นหรือ ให้เจ้าทำถุงเท้าให้ สุดท้ายก็เป็นข้าที่ต้องนำเสวี่ยฉิวไปมอบให้เจ้า เจ้าถึงจะหายโกรธ ให้เจ้าช่วยข้าคัด ‘บัญญัติสอนหญิง’ เจ้าก็บอกว่าเจ้าไม่ว่าง…ข้าว่า ข้าต้องหยิกเจ้าอีกสักหน่อยเสียแล้ว”

 

 

โจวเสาจิ่นลูบหน้าพลางวิ่งหนีออกมาจากห้องชั้นใน

 

 

จี๋อิ๋งหัวเราะเบิกบานอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

***

 

 

ตกเย็นเมื่อกลับถึงเรือนแล้ว โจวเสาจิ่นก็มอบปิ่นให้ฝานฉี

 

 

นางถามฝานฉีว่า “เจ้ากลัวหรือไม่”

 

 

ฝานฉียืดอกขึ้นและส่ายศีรษะ พลางกล่าวว่า “ข้ายังคิดจะเป็นพ่อบ้านใหญ่ให้ท่าน! หากว่าเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ยังทำได้ไม่ดี ต่อไปจะดูแลจัดการบรรดาบ่าวไพร่ทั้งหลายได้อย่างไรเล่าขอรับ”

 

 

โจวเสาจิ่นอดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้

 

 

ใครจะรู้บ้างเล่าว่านางจะเป็นเช่นไรในภายภาคหน้า

 

 

อย่างไรเสียการมีความหวังย่อมเป็นเรื่องที่ดี

 

 

นางกำชับฝานฉีด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ให้รีบกลับมาทันที เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ ตราบใดที่ขุนเขายังเขียวขจี ก็อย่าได้กลัวว่าจะไม่มีฟืนให้เผา[3] ชีวิตของเจ้าย่อมสำคัญที่สุด”

 

 

“คุณหนูรอง ท่านโปรดวางใจ ข้าจะระวังตัวขอรับ”

 

 

จากนั้นฝานฉีก็กล่าวอำลาโจวเสาจิ่น

 

 

………………………………………………………………….

 

 

 

 

 

 

 

[1] นกยวนยาง (鸳鸯) คือ เป็ดแมนดาริน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคู่รัก

 

 

[2] พ่อไก่เหล็ก (铁公鸡) เปรียบเปรยคนที่ตระหนี่ขี้เหนียว เหมือนพ่อไก่ที่ขนทั้งตัวเป็นเหล็ก แม้ขนเส้นเดียวก็ถอนให้ไม่ได้

 

 

[3] ตราบใดที่ขุนเขายังเขียวขจี ก็อย่าได้กลัวว่าจะไม่มีฟืนให้เผา(留得青山在,不怕没柴烧) หมายความว่า ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ถือว่ายังมีหวัง