บทที่ 734 การใส่ความ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 734 การใส่ความ โดย Ink Stone_Fantasy

ณ ห้องประชุมใหญ่ของนิพพานสำนักงานใหญ่ ขณะนี้บรรยากาศในห้องกำลังตกอยู่ในความเงียบงัน

บรรยากาศในห้องน่าอึดอัดมาก ข้างโต๊ะประชุมมีคนนั่งเรียงรายกันอยู่หลายคน แต่ทุกคนกลับหันไปจ้องแผ่นหลังของคนคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างด้วยความกังวล

ร่างกายอวบอ้วนของชายวัยกลางคนผู้นั้นราวกับมีรังสีอำมหิตที่มองไม่เห็นแผ่อยู่รอบตัว ทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดและหวั่นเกรง

บนโต๊ะ มีแบบฟอร์มลงทะเบียนสองชุดถูกวางไว้เด่นหรา โดยชุดที่อยู่ด้านบนมีตัวหนังสือหวัดๆ สองตัวปรากฏชัดเจน : หลิงเกอ

ลายเส้นของอักษรบ่งบอกถึงความไม่ใส่ใจ แต่มันกลับดูสะดุดตาเมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาของคนกลุ่มนี้ ไม่ใช่เพราะชื่อของเขา แต่เป็นเพราะเรื่องราวที่มากับทั้งสองต่างหาก

หมายเลข 1 หายตัวไป? สาขาย่อยเมืองตงหมิงล่มสลาย? แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งในสองเรื่องนี้ ก็มากพอที่จะทำให้บรรดาคนในห้องประชุมรู้สึกหวาดผวาแล้ว

ในห้องประชุมไม่มีเงาร่างของชายแซ่หลีผู้เป็นหัวหน้าแผนกบุคคลรวมอยู่ด้วย เพราะเขาเป็นคนที่นำเรื่องมารายงานเป็นคนแรก ตอนนี้จึงกำลังรออยู่หน้าประตูด้วยความกระวนกระวายใจ

เขาจ้องบานประตูสีน้ำตาลเขม็ง ค้อมเอวต่ำเล็กน้อย พลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากเป็นพักๆ

บอสใหญ่ที่มักทำตัวลึกลับ ตอนนี้เขาอยู่ในห้องประชุมแห่งนี้แล้ว…

“แต๊ก…แต๊ก…”

ทันใดนั้น นิ้วมือของชายวัยกลางคนที่วางอยู่บนขอบหน้าต่างก็ยกขึ้นเคาะสองครั้ง

เสียงไม่ดัง แต่มันกลับสามารถทำให้ทุกคนในที่ประชุมนั่งตัวเกร็งได้

จากประสบการณ์ การกระทำเช่นนั้นแปลว่าบอสใหญ่ของพวกเขากำลังจะเปิดปากูดแล้ว

ในสายตาของสมาชิกทั่วไป บอสใหญ่ท่านนี้ลึกลับมาก เขาไม่เคยออกหน้าเอง และไม่ได้มีนิสัยชอบจัดงานเลี้ยงจับมือทำความรู้จักกัน ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่องนี้ได้แสดงถึงสติปัญญาของเขาในการเป็นผู้กุมอำนาจ เพราะในสถานที่แห่งนี้ที่ผู้คนต้องเสี่ยงตายเพื่ออยู่รอด สิ่งที่เหล่าสมาชิกต้องการไม่ใช่คำปลอบประโลมจากเขา และไม่ได้อยากสานสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฝ่ามืออันอวบอ้วนของเขาแต่อย่างใด แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการ คือผลตอบแทนที่จะได้รับอย่างสมน้ำสมเนื้อ

ทว่าในฐานะผู้ก้อตั้งนิพพานขึ้นมา แล้วยังคอยวางแผนวางกลยุทธ์ต่างๆ อยู่เบื้องหลังมาโดยตลอด บอสใหญ่ของพวกเขาคงไม่ได้กำลังต่อสู้อย่างลำพังแน่นอน

บรรดาคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมแห่งนี้คือบุคคลระดับสูงจำนวนน้อยที่สามารถพูดคุยต่อหน้ากับเขาได้ พวกเขาก็คือเหล่าคนสนิทของบอสใหญ่นั่นเอง

“แต๊กๆๆ…”

บอสใหญ่ยังคงเคาะนิ้วต่อไปเรื่อยๆ ภายใต้สายตาแห่งความกังวลของทุกคน ในที่สุดเขาก็เปิดปากพูด : “เรื่องนี้…พวกคุณคิดเห็นอย่างไร?”

ทุกคนมองตากัน ชายสวมชุดกาวน์คนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “สาขาย่อยเมืองตงหมิง… การสูญเสียที่ใหญ่ที่สุดคือหมายเลข 0 ส่วนการหายตัวไปของหมายเลข 1 นั้น…หากสามารถยืนยันได้ว่ามันตายในที่เกิดเหตุคงจะดีเสียกว่า เพราะพวกซอมบี้จะช่วยทำลายศพของมันเอง แต่ถ้าหากมันถูกกองกำลังผู้รอดชีวิตอื่นจับตัวได้ในขณะหนี คงเป็นเรื่องใหญ่…มันดูแตกต่างจากซอมบี้ทั่วไปชัดเจนมาก จึงเป็นที่สะดุดตาง่าย”

พูดถึงตรงนี้ ดวงตาแฝงความชั่วร้ายของเขาก็หรี่เล็กลง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยฉายแววเย็นชา “เรื่องนี้ถือเป็นวิกฤตครั้งใหญ่สำหรับกลุ่มวิจัยของเรา”

“กลับเป็นหมายเลข 0 เสียอีกที่ยากจะสร้างขึ้นมาซ้ำได้ แต่ตายไปแล้วก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรสาขาย่อยเมืองตงเหมิงก็กลายเป็นตัวถ่วงมานานแล้ว ข้อมูลที่ทางนั้นสามารถส่งมาให้มีน้อยเกินไป” ชายตัวผอมอีกคนพูด เขาเหลือบมองชายชราคนนั้น จากนั้นก็กระแอมเบาๆ เพราะเรื่องหมายเลข 1 เขาไม่รู้จะพูดปลอบอย่างไรดี ก็สองคนนั้นบอกไว้ชัดเจนเสียขนาดนั้นว่าหมายเลข 1 ได้หายตัวไปแล้ว

“แต่นี่มันกำลังเหยียบหัวพวกเราชัดๆ คนที่สามารถล่มสาขาย่อยเมืองตงหมิงได้ ต้องเป็นยอดฝีมือของกองกำลังอื่นแน่ๆ สาขาย่อยเมืองตงหมิงไม่มีฝีมือ แต่ซ่งจินเซินกับเฉินเล่อที่พาหมายเลข 1 ไปด้วย ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ นะ อีกฝ่ายทำตัวเหมือนมังกรแกร่งกดหัวงูเจ้าถิ่น*อย่างเหิมเกริม ต้องมีการเตรียมตัวกันมาอย่างดีแน่นอน” ชายอีกคนพูด (มังกรแกร่งไม่กดหัวงูเจ้าถิ่น แปลว่า แม้จะเป็นผู้มีอำนาจหรือพลังใหญ่โต ก็สู้พลังของเจ้าถิ่นไม่ได้อยู่ดี)

คำพูดของเขาเอนเอียงไปในทางใส่ความโดยไม่มีหลักฐานมากกว่า ทว่าทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา

ชายตัวผอมพยักหน้าแล้วบอกว่า “ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน สมาชิกของสาขาย่อยสองคนนั้นไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย บอกแค่ว่าพวกนั้นจุดพลุล่อพวกเขาออกไป นั่นมันเห็นกันอยู่แล้วว่าจงใจพุ่งเป้าไปที่สาขาย่อยเมืองตงหมิง ไม่แน่พวกนั้นอาจรู้เรื่องหมายเลข 1 อยู่ก่อนแล้ว และตั้งใจออกมาตามล่ามันก็ได้”

“จะรู้ได้อย่างไร?” ชายคนหนึ่งถาม หนอนบ่อนไส้? เรื่องนี้ก็มีความเป็นไปได้ แต่การส่งต่อข้อมูลออกไปไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ

“ถ้าอย่างนั้น ไม่แน่ว่าพวกนั้นอาจหมายหัวหมายเลข 0 ก็ได้ สาขาย่อยเมืองตงหมิงมีสมาชิกรอบนอกอยู่จำนวนมาก ได้ยินมาว่าสมาชิกระดับ 9 หลายคนอยู่ในกองกำลังผู้รอดชีวิตอื่น คนที่มีสายสัมพันธ์ทางจิตกับหมายเลข 0…ผมบอกแล้วว่าสมาชิกรอบนอกพวกนั้นไว้ใจไม่ได้ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะสาขาย่อยเมืองตงหมิงสร้างปัญหาแท้ๆ” ชายตัวผอมกอดอก แล้วขมวดคิ้วพูดอย่างไม่พอใจ

ทว่าพอเขาพูดจบ ทั้งห้องก็เข้าสู่ความเงียบในช่วงเวลาสั้นๆ อีกครั้ง

ไร้ข้อสงสัยใดๆ คำพูดเหล่านี้ล้วนวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล ใครจะคาดคิดว่ามีคนบ้าที่สนใจซอมบี้มากอยู่จริงๆ แล้วยังสามารถพาซอมบี้เก่งๆ หลายตัวไปทำลายล้างสาขาย่อยได้กันล่ะ?

ดังนั้นความคิดผิดๆ จึงนำพาพวกเขาไปยังข้อสรุปที่ผิดอีกครั้ง ถึงแม้เวลานี้ไม่มีใครพูดอะไร แต่ในใจกลับคิดว่าสิ่งที่ชายตัวผอมพูดนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง

ส่วนการคาดเดานี้จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่นั้น ต้องไปพิสูจน์ก่อนถึงจะรู้ แค่เบื้องบนผงกหัวตัดสินใจ มอบหมายภารกิจให้สมาชิกเดินทางไปตรวจสอบ เรื่องก็ง่ายเพียงเท่านี้

แต่การจะผงกหัวตัดสินใจอะไรก็ต้องมีหลักฐานอ้างอิงด้วย เพราะต้องตัดสินใจให้ถูกจุด

พวกเขาวิเคราะห์กันมามากมายขนาดนี้ แต่สุดท้ายก็ต้องรอฟังคำสั่งจากบอสใหญ่อยู่ดี

“ถ้าอย่างนั้น…” บอสใหญ่เอ่ยขึ้น “แปลว่ามีคนคิดจะต่อกรกับนิพพานของเรา?”

“อาจไม่ถึงขึ้นเรียกว่าต่อกร แต่มีความเป็นไปได้มากกว่าว่าพวกนั้นหมายตาข้อมูลของพวกเรา กองกำลังสองกองที่ใหญ่ที่สุดในเมือง X คือกองกำลัง F กับฐานทัพฟอลคอน กองกำลัง F ไม่น่าจะทำเรื่องอย่างนี้ได้ พวกเขาอ่อนแอเกินไป แต่ฟอลคอนไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อพวกเขายึดกองทัพอากาศได้แล้ว ขอบข่ายข้อมูลของพวกเขาก็ได้ขยายตัวจนครอบคลุมไปทั่วมณฑล” มีคนพูดขึ้น

“ใช่แล้ว ถึงแม้พวกเราจะทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ แต่ก็เลี่ยงการสำรวจทางอากาศของพวกเขาไปไม่ได้อยู่ดี ฐานทัพฟอลคอนมีจุดแข็งเรื่องจำนวนคน การปลูกพืชผัก และเก็บรวบรวมทรัพยากรให้มากที่สุด ถึงแม้พวกเขาจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย แต่ยังห่างชั้นจากเราอีกไกล…” มีคนพูดเสริม

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เรื่องก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน ทุกคนต่างไม่มีใครมีความเห็นที่ต่างออกไป

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ข้อสรุปนี้ล้วนมีเหตุมีผล มีเพียงฟอลคอนเท่านั้นที่จะมีกำลังทำอย่างนี้ได้ และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่มีแรงจูงใจมากพอ หากเป็นคนธรรมดาจะสนใจข้อมูลที่นิพพานมีอยู่ในกำมือไปทำไมกัน? ไม่ใช่ว่าจะมีใครทำห้องทดลองขึ้นมาแล้ววิจัยด้วยตัวเองเสียหน่อย? เรื่องอย่างนั้นแค่คิดก็ไร้สาระแล้ว

แต่ถ้าหากมีใครรู้เข้าว่ามีคนที่สามารถอยู่ร่วมกับซอมบี้ได้ ซ้ำยังวิวัฒนาการร่วมกับซอมบี้ได้ด้วย พวกเขาคงไม่คิดว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องแปลกอีกต่อไป

“ใช่แล้ว…”

“ดูเหมือนว่าจะมีแต่ฟอลคอนที่จะ…”

บอสใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า “การริเริ่มวิจัยหมายเลข 1 เป็นหนึ่งในเบี้ยต่อรองที่เราใช้ในการเจรจากับสำนักงานกลาง ถึงแม้พวกเรายังสามารถสร้างหมายเลข 1 ขึ้นมาได้อีกหลายตัว แต่หากผลงานชิ้นนี้ถูกคนอื่นฉกฉวยไป มันต้องส่งผลต่อการเจรจาของเราแน่นอน…แต่ยังไม่ต้องรีบร้อนสร้างความขัดแย้งกับกับฟอลคอนโดยตรง…ส่งคนไปดูก่อน”

เขาว่า พลางพูดเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “สองคนนั้น พอถึงเวลาออกเดินทางให้พาไปด้วย พักนี้ให้จับตาดูพวกเขาไปก่อน ดูว่าพวกเขาน่าเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน ระวังตัวไว้ก่อนไม่เสียหาย เจ้าคนที่ชื่อหลิงเกอไม่น่ามีปัญหา แต่มู่เฉิน…จับตาดูเขาให้ดี”

สาขาย่อยเมืองตงหมิงล่มสลายแล้ว แต่สองคนนี้กลับรอดมาได้ แล้วยังเดินทางมาถึงสำนักงานใหญ่ได้อีก ยากที่จะตัดความน่าสงสัยออกไป แต่ก่อนที่ความจริงจะปรากฏ จะแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้

สองคนนั้นอุตส่าห์เสี่ยงตายเพื่อมาบอกข่าวสารถึงที่ แต่จู่ๆ กลับจะไปจับตัวพวกเขา มันเข้าท่าที่ไหนกัน?

แม้สมาชิกของนิพพานจะเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนกันมากแค่ไหน แต่ก็ยังรู้จักมารยาทการประนีประนอมพื้นฐานอยู่ ดังนั้นถึงจะต้องการตรวจสอบ แต่ก็ต้องทำอย่างลับๆ สักหน่อย

ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมล้วนเข้าใจข้อนี้ดี ดังนั้นจึงพากันพยักหน้าตอบ “เข้าใจแล้ว…”

ชายชราคนนั้นเบิกตา แล้วพูดอย่างนึกขึ้นได้ “พวกเขาเดินทางผ่านเมืองมาได้ตั้งหลายเมืองกว่าจะมาถึงนี่ได้ แสดงว่าต้องมีฝีมือบ้างสินะ? อีกไม่กี่วันมีเรื่องให้พวกเขาช่วยพอดี จะได้ลอบสังเกตไปด้วยว่าพวกเขาน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน”

พอเห็นชายชรายิ้มเย็นชา อีกหลายคนรวมถึงชายตัวผอมต่างก็อดเบนสายตาออกไปไม่ได้

“เจ้าดวงซวยสองคนนั้น ทำให้หัวหน้าไม่พอใจเสียแล้ว” ชายคนหนึ่งพูดเสียงเบา

“นี่มัน…” อีกคนขมวดคิ้ว นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรอ?

“ไม่เป็นไร พวกนั้นคงไม่ถึงตายกับเรื่องแค่นี้หรอก ความจริงให้พวกนั้นอยู่ห่างจากสำนักงานใหญ่ชั่วคราวก็ดีเหมือนกัน เรื่องที่สาขาย่อยล่มสลาย อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไปจะดีกว่า” มีคนกำชับเสริม

“อาจแพร่งพรายออกไปแล้วก็ได้” หนึ่งในนั้นพูดขึ้นอย่างกังวล คนที่ชายแซ่หลีมารายงานให้ทราบก็คือเขานั่นเอง

“ไม่รู้จักเก็บงำความลับเลยสินะ” มีคนแค่นเสียงพูดขึ้น

ชายคนเดิมหางตากระตุก เขารีบค้านออกไป “พวกนั้นไม่บอกแล้วจะมีใครรู้?”

“เอาเถอะ ช้าเร็วอย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องหลุดออกไปอยู่ดี แต่การส่งตัวพวกเขาให้ออกไปอยู่ไกลๆ ก็เป็นการป้องกันไม่ให้เรื่องถูกแพร่งพรายออกไปจนเกินขอบเขต ถือเป็นวิธีที่ดี” ชายตัวผอมพูดเพื่อกู้สถานการณ์

“เอาตามนี้แล้วกัน” บอสใหญ่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว

ขณะที่สมาชิกระดับสูงของนิพพานกำลังประชุมกันอยู่นั้น คนที่บอสใหญ่บอกว่า “ไม่น่ามีปัญหา” กลับไม่ได้อยู่ว่างๆ

หลังจากพักผ่อนได้สิบนาทีกว่า หลิงม่อก็ฉวยโอกาสเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งทันที

เขากำลังเดินวนเวียนอยู่แถวทางเดินในอาคาร พอเห็นว่ามีคนเดินออกมาจากห้องก็แอบเข้าไปใกล้ๆ ขอเพียงอีกฝ่ายไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นดวงจิตบางเบานี้ เขาก็จะแทรกตัวเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว และยิ่งถ้าเป็นห้องที่ไม่มีใครอยู่ การเคลื่อนไหวของเขาก็จะยิ่งอุกอาจมากกว่าเดิม

ในทางเดินที่ไร้ซึ่งเงาคน ประตูห้องที่กำลังปิดแน่นพลันถูกเปิดออกเป็นช่องเล็กๆ เอกสารที่อยู่ในห้องลอยขึ้นกลางอากาศทั้งที่ไม่มีใครอยู่ จากนั้นมันก็ถูกพลิกเปิดด้วยมือที่มองไม่เห็น…

ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นในทุกซอกมุมของอาคาร ขณะเดียวกัน หลิงม่อก็เริ่มเข้าใกล้อาคารชั้นบนเรื่อยๆ

หลิงม่อพบว่าตัวเองค่อนข้างยึดติดกับภาพลักษณ์เดิมๆ ของกลุ่มวิจัย ในอาคารแห่งนี้ที่ไม่มีห้องใต้ดิน แต่ห้องทดลองที่สำคัญมากกลับถูกรวบรวมไว้ชั้นบน และจุดนี้ก็เป็นจุดที่เขาไม่คาดคิดตอนที่แฝงตัวเข้ามา แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อการเคลื่อนไหวของเขา ตลอดทางเขาได้ข้อมูลมาไม่น้อย ถึงแม้จะไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ แต่มันก็ช่วยให้เขาเข้าใจซอมบี้มากขึ้นทีละนิดๆ

เรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจ คือเขาเจอรายงานเกี่ยวกับการวิจัยสัตว์กลายพันธุ์

นิพพาน กลุ่มผู้รอดชีวิตที่มีสมาชิกกระจายตัวอยู่ทุกที่ย่อมมีข้อได้เปรียบเรื่องการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นรายละเอียดเล็กๆ อย่างนี้อยู่แล้ว พวกเขาไม่เพียงริเริ่มการวิจัยที่เกี่ยวกับซอมบี้ แม้แต่สัตว์กลายพันธุ์ก็ยังอยู่ในขอบเขตการวิจัยด้วย ทว่าข้อมูลเหล่านี้เพียงทำให้หลิงม่อรู้จักประเภทของสัตว์กลายพันธุ์เท่านั้น ไม่ได้มีประโยชน์ต่อการวิวัฒนาการของเสี่ยวป๋ายแต่อย่างใด

—————————————————————————–