บทที่ 45.2 สร้างชื่อในโรงเรียน (2)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ในชั่วพริบตานั้น สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่พวกเขา หรือพูดให้ถูกก็คือ ส่วนมากจ้องมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ อย่างไรเสียนักเรียนส่วนใหญ่ของที่นี่ก็เป็นเหล่าชนชั้นสูง บางคนถึงกับเป็นตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ เมื่อพวกเขาจ้องมองไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นักเรียนสามัญชนหญิงผู้ที่มีทั้งความงามเป็นเลิศและมีท่าทางสง่างามราวชนชั้นสูง พวกเขาจะไม่ถูกเธอดึงดูดได้อย่างไร สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับพวกสามัญชน เธอคงไม่มีคนหนุนหลังและไม่มีใครกล้าปกป้องเธอแน่ แม้ว่าพวกเขาจะแย่งชิงเธอด้วยความรุนแรงก็คงไม่มีใครว่าอะไรได้ แน่นอนว่าพวกเขาทั้งหมดก็ไม่สนใจโจวเหว่ยชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอเช่นกัน

โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ถึงเหล่าสายตาที่จับจ้องมาทางซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองและกล่าวอย่างสบประมาทอยู่ในใจ ‘พวกเจ้าดูได้แต่ตา มืออย่าต้อง!’

เห็นได้ชัดว่านับตั้งแต่วินาทีที่เขาและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก้าวเท้าเข้ามาในโรงเรียน พวกเขาก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงปัญหาได้ หากมีซ่างกวนปิงเอ๋อร์อยู่ใกล้ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้กวักมือเรียก แต่ปัญหาก็จะตามหาตัวเขาจนเจอ เขาไม่เคยพูดเรื่องนี้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่ทว่าก็เตรียมใจเอาไว้แล้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรีบกักเก็บทักษะต่างๆ เอาไว้ นั่นเป็นเพราะเขาจำเป็นจะต้องมีพลังเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ ด้วยความขัดแย้งระหว่างนักเรียนชนชั้นสูงและนักเรียนสามัญชน เมื่อรวมกับปัญหาเรื่องความงามของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ นั่นน่าจะดึงดูดปัญหาเข้าหาเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชีวิตของพวกเขาจะไม่พบกับความสงบสุขแน่นอน อย่างไรก็ตามความคิดของโจวเหว่ยชิงนั้นเรียบง่ายมาก ถ้าใครกล้าแตะต้องภรรยาเขา เขาก็จะอัดมันให้น่วม เมื่อทุกคนถูกเขาสั่งสอนจนเละเป็นโจ๊กแล้ว พวกนั้นก็จะตระหนักได้เองในที่สุด หลังจากนั้นทั้งคู่ก็จะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ประมาทหรือชะล่าใจกับปัญหาที่จะเกิด ประการแรกคือเขามั่นใจกับความสามารถในการต่อสู้ของตนมาก ในหมู่นักเรียนคนอื่นๆ นั้นยากจะหาใครสักคนที่มีฝีมือและสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ การต่อสู้กับ      หมิงฮัวเมื่อวานนี้ก็ยิ่งทำให้ความมั่นใจของเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีก ด้วยระดับพลังปราณของหมิงฮัว ทักษะธาตุที่หายาก ประสบการณ์การต่อสู้และชุดศาสตรามณียุทธ์ของเธอ โจวเหว่ยชิงไม่เชื่อว่าจะมีคนมีพลังมากกว่าเธอในโรงเรียนแห่งนี้แล้ว นอกจากนี้เขายังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาในการต่อสู้เมื่อวานนี้เลยด้วยซ้ำ…อาชีพที่แท้จริงของเขายังคงเป็นนักธนู ไม่ใช่นักรบต่อสู้ระยะประชิด!

สิ่งที่เขากรุ่นคิดเป็นอย่างต่อมาก็คือที่นี่ยังคงเป็นสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง หรือก็คือโรงเรียนฝึกทหารแห่งหนึ่ง! ตราบใดที่เขายังเป็นนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ โรงเรียนที่เป็นของราชวงศ์เฟยหลี่ ไม่มีขุนนางคนใดกล้าที่จะสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่หรือนำคนจำนวนมากมาสร้างปัญหาในโรงเรียนแน่ อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นใจกลางเมืองหลวงอาณาจักรเฟยหลี่ ทุกอย่างอยู่ภายใต้จมูกของราชวงศ์และองค์จักรพรรดิเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงน่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนส่วนใหญ่ที่เป็นนักเรียน หรืออาจจะเป็นผู้คุ้มครองเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

โจวเหว่ยชิงพบว่าที่นั่งของนักเรียนสามัญชนชั้นปีที่ 1 ตั้งอยู่ใกล้ด้านหน้าเวที พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปที่นั่นเพื่อไปนั่งรอ ในกลุ่มนักเรียนทั้งหมดนั้นมีนักเรียนหญิงไม่มากนัก จากการพูดคุยกันเมื่อวาน โจวเหว่ยชิงได้เรียนรู้จากซ่างกวนปิง   เอ๋อร์ว่าในบรรดานักเรียนใหม่ทั้งหมดของปีนี้ นักเรียนหญิงมีทั้งหมดเพียง 6 คนเท่านั้น! ส่วนฝ่ายชายมีถึง 23 คน แสดงให้เห็นสัดส่วนที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก สรุปคือมีนักเรียนสามัญชนปีที่ 1 ทั้งหมด 29 คนรวมกันเป็น 1 ห้อง พิธีเปิดนี้ยังใช้เป็นช่องทางสำหรับแบ่งชั้นเรียนและเพื่อให้นักเรียนได้พบกับเพื่อนร่วมชั้นด้วย

“โจวเหว่ยชิง” พวกเขาเพิ่งจะหย่อนก้นลงนั่ง จู่ๆโจวเหว่ยชิงก็ได้ยินใครบางคนเรียกชื่อเขา เมื่อหันไปตามเสียงเรียก เขาก็เห็นรุ่นพี่หัวโล้นหลายคนกำลังยืนอยู่ ส่วนเบื้องหน้าของเขาคือซ่างหลาง ท่าทางของเขาดูปกติมาก ไม่มีวี่แววว่าเคยได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้เมื่อวันก่อนเลยด้วยซ้ำ

“หืม?” โจวเหว่ยชิงตอบอย่างเฉยเมย เขาไม่ยอมขยับจากที่นั่งและทำแค่เพียงเลิกคิ้วขึ้นถาม

ซ่างหลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “วันนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนวันแรก ไม่มีการเรียนการสอนหลังจากพิธีเปิด ข้าต้องคุยกับเจ้าหลังจากนั้น ตกลงไหม?”

เมื่อเห็นซ่างหลางเดินเข้าใกล้โจวเหว่ยชิง บรรยากาศระหว่างพวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของนักเรียนสามัญชนหลายคนที่อยู่รอบๆ ทันที ท้ายที่สุดแล้วนักเรียนสามัญชนแทบจะมีจำนวนไม่ถึง 1 ใน 10 ส่วนของประชากรในโรงเรียนทั้งหมดซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า 200 คนเสียอีก ซ่างหลางมีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่นักเรียนสามัญชน เพราะฉะนั้นด้วยข่าวลือเกี่ยวกับการต่อสู้ที่แพร่กระจายออกไปเมื่อวันก่อน ประกอบกับตอนนี้ซ่างหลางกำลังเดินเข้าหาเขา ความสนใจทั้งหมดจึงตกไปอยู่ที่โจวเหว่ยชิง บุคคลที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างไร้ตัวตน

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าตกลง จากนั้นก็หันหลังกลับไปโดยไม่แม้แต่จะมองซ่างหลางอีกครั้ง ส่วนซ่างหลางเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน เขากลับไปยังที่นั่งของตัวเองพร้อมกับลูกน้องของเขา

“ให้ตายสิ ไอ้เด็กใหม่นั่นใคร? เขาถึงกับกล้าท้าทายซ่างหลางเชียวเรอะ?”

“ชู่วววว…เจ้ารู้อะไรบ้างมั้ยเนี่ย?! ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวันก่อนซ่างหลางต่อสู้กับเด็กที่เป็นรุ่นน้องแล้วก็แพ้ เขาถึงกับได้รับบาดเจ็บจนสลบไปด้วยซ้ำ! ข้าเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าหมอนั่น เจ้าอย่ามองคนจากภายนอก เขาอาจจะไม่ได้ดูน่าเกรงขามเท่าไหร่ แต่เขาเป็นตัวอันตรายแน่นอน มีข่าวลือว่าเขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์มณี 3 ดวง ทรงพลังยิ่งกว่าซ่างหลางเสียอีก!”

“อ่า งั้นเราควรเงียบไว้ก่อนดีกว่า ยังไงนั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราอยู่แล้ว”

ประสาทการได้ยินของโจวเหว่ยชิงค่อนข้างดี เขาจึงสามารถได้ยินเสียงซุบซิบนินทาของนักเรียนสามัญชนที่อยู่ใกล้ๆ ได้อย่างชัดเจน ในขณะนั้นเองเขาก็รู้สึกถึงมือเล็กๆ ที่นุ่มและอบอุ่นกำลังแตะเข้าที่มือของเขา เมื่อหันไปก็เห็นซ่าง กวนปิงเอ๋อร์กำลังยิ้มให้เขาอยู่

นี่คือหญิงสาวที่เขาสาบานว่าจะปกป้องด้วยชีวิต! โจวเหว่ยชิงลูบหลังมือของเธอเบาๆ เพื่อปลอบโยนให้คลายกังวล ทว่าหลังจากนั้นก็กุมมือเธอไว้ต่อไม่ยอมปล่อย ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขัดขืนเพียงเล็กน้อยก่อนจะยอมแพ้ ใบหน้าของเธอพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“เจ้าคือโจวเหว่ยชิง?” ทันใดนั้นอีกเสียงก็ดังขึ้น ครั้งนี้แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็ยังต้องประหลาดใจ เขาคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนมาหาเรื่อง แต่เขาเดาว่าน่าจะเป็นคนที่ต้องการเข้าใกล้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มากกว่า เขาไม่คาดคิดเลยว่าคนที่ถูกคนอื่นเข้าหาก่อนจะเป็นตัวเอง โจวเหว่ยชิงเหยียดยิ้มพลางคิดในใจว่า เป็นไปได้ไหมว่าข้ามีเสน่ห์น่าดึงดูดกว่าปิงเอ๋อร์? อืมม ไม่นานมานี้ข้าดูสง่างามมากขึ้นจริงๆ นั่นแหละ  ขณะที่เขาคิดกับตัวเองเช่นนั้น เขาก็หันศีรษะกลับไปอย่างอารมณ์ดี

กลุ่มคนที่ร้องเรียกโจวเหว่ยชิงกำลังยืนอยู่ตรงทางเดินข้างๆ ที่นั่งของพวกเขา คราวนี้มากันทั้งหมด 3 คน ทุกคนแต่งกายด้วยเครื่องแบบชุดนักเรียนชนชั้นสูง คนที่เอ่ยเรียกเมื่อสักครู่ยืนประจันหน้ากับเขา คนๆ นี้ดูเหมือนจะอายุประมาณ 20 ปี มีหน้าตาค่อนข้างธรรมดา ดูเหมือนว่าดวงตาของเขาจะเป็นเฉดสีเขียว ใบหน้าค่อนข้างซีดขาว ร่างของเขาผอมแห้งเหมือนเสาต้นหนึ่ง ถ้าโจวเหว่ยชิงต้องให้คำจำกัดความ เขาก็คงดูเหมือนคนที่ติดสุราร่ำนารี ดูเลวร้ายยิ่งกว่าขี้เมาเหลี่ยมจัดหลัวเขอตี้เสียอีก! ชายทั้ง 2 คนที่อยู่ข้างหลังเขามีกล้ามแข็งแรงบึกบึน แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ปฏิบัติต่อคนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในฐานะผู้นำ

“อืม ข้าคือโจวเหว่ยชิง” เขาตอบด้วยรอยยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มที่สุภาพและสง่างาม ท่าทางเหล่านั้นทำให้ผู้คนรอบข้างต่างก็ครุ่นคิดไปในทำนองเดียวกัน สรุปว่าใครคือชนชั้นสูงกันแน่?

“โจวเหว่ยชิง มากับข้าซะเจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าช่างโชคดีจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสามารถเอาชนะซ่างหลางได้ ไม่เลวเลยนี่หว่า พี่ใหญ่ของเราชอบเจ้า เพราะฉะนั้นจงมากับเราเดี๋ยวนี้”

แม้ว่าคนๆ นี้กำลังคุยกับโจวเหว่ยชิง แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เห็นได้ชัดว่าลูกกระเดือกของเขากระดกขึ้นลงในขณะที่เขากลืนน้ำลายลงคอหลายอึก เขาไม่ได้พยายามจะแอบซ่อนสายตาหื่นกระหายที่จ้องมองเธอด้วยซ้ำ

“โอ้? ข้าขอถามหน่อย ใครเป็นลูกพี่ใหญ่ของพวกเจ้า เจ้านายของเจ้าน่ะ?” รอยยิ้มสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนของโจวเหว่ยชิงไม่ได้เลือนหายไปแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างใจเย็นโดยไม่มีการเปลี่ยนสีหน้าใดๆ

ชายคนนั้นกล่าวอย่างเหลืออด “หยุดถามคำถามไร้สาระได้แล้ว! เจ้าจะรู้เองเมื่อพบเขา แล้วปล่อยมือสกปรกๆของเจ้าออกไปด้วย กับคนงามๆเช่นนั้น เจ้ากล้าจับมือนางได้อย่างไร?! ตอนนี้รีบไปซะ ข้าจะลดตัวลงนั่งที่นั่งสามัญชนของเจ้าในวันนี้”

คราวนี้แม้แต่ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าน่าเกลียด แม้ว่าเธอจะไม่อยากสร้างปัญหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่พื้นฐานเป็นคนจิตใจดี แต่อย่างไรเสียเธอก็เคยอยู่ในสนามรบและเคยสังหารคนมาก่อน การถูกมองด้วยสายตาโจ่งแจ้งจากคนวิปลาสเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคนๆ นั้นไม่ใช่เจ้าคนไร้ยางอายโจวเหว่ยชิง เธอจะยังอารมณ์ดีอยู่ได้อย่างไร?

สีหน้าของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้งแล้ว เขาตอบว่า “โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว ลูกพี่ใหญ่ของเจ้าแซ่ “หวาง” ใช่ไหม ?”

รุ่นพี่คนนั้นเริ่มสับสน “ไม่ใช่ ลูกพี่ใหญ่ของข้าแซ่ ‘เย่’ “

โจวเหว่ยชิงส่ายหัวอย่างแน่วแน่และกล่าวว่า “ไม่ ไม่ ข้ามั่นใจมากว่าลูกพี่ใหญ่ของเจ้าแซ่หวัง เขาเป็นลูกชายคนที่ 8 ใช่ไหม? ส่วนเจ้าก็เป็นลูกกลมๆ ที่กลิ้งออกมาจากส่วนล่างเขา”

รุ่นพี่คนนั้นรู้สึกมึนงงกับคำพูดแปลกๆ ของโจวเหว่ยชิง แต่สำหรับนักเรียนสามัญชนที่นั่งอยู่รอบๆ พวกเขา คนแรกที่ตอบสนองคือหม่าฉุนร่างยักษ์ เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ทว่ารุ่นพี่คนนั้นกลับกล่าวออกมาอย่างใจเย็น “ไอ้เด็กนี่ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่?”

โจวเหว่ยชิงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รุ่นพี่ ท่านไม่รู้จักสัตว์ที่เรียกว่า ‘ตะพาบ[1]’ หรอกหรือ?” ในที่สุดคนรอบข้างก็เข้าใจว่าเขากำลังดูถูกเหยียดหยามอีกฝ่าย เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาเกรียวกราวทันที

อนิจจา รุ่นพี่คนนี้สมองค่อนข้างช้า เขาจึงยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราว…ทว่าเขากลับพูดออกมาว่า “ใช่! ข้ารู้จัก!”

โจวเหว่ยชิงพูดต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อันที่จริงสิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อสักครู่นี้คือเรื่องของตะพาบและการวางไข่ของตะพาบ”

ในที่สุดลูกน้อง 2 คนที่อยู่ข้างหลังรุ่นพี่คนนี้ก็อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป คนทางซ้ายรีบเอ่ยปากสอดว่า “เขาเรียกลูกพี่ใหญ่ว่าตะพาบ!” จากนั้นคนทางขวาก็พูดขึ้นต่อ “ตะพาบ…อะไรบางอย่างที่เป็นรูปกลมๆ กลิ้งออกมาจากท่อนล่าง…ไม่ใช่ ‘ไข่ตะพาบ’ หรอกหรือ? มันกำลังด่าท่านอยู่!”

“อะไรนะ!? เจ้ากล้าด่าข้าหรือ?” รุ่นพี่คนนั้นหันไปหาลูกน้องทั้ง 2 คนด้วยความโกรธและตะโกนว่า “พวกเจ้า 2 คนรออะไรอยู่? จัดการมันซะ! กล้าดียังไงถึงดูถูกลูกพี่ใหญ่ของเราว่าเป็นตะพาบ?! แถมยังกล้าดูถูกข้าด้วย ฮึ่ม! ลูกพี่ใหญ่ของเราไม่ปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แน่!”

อย่างไรก็ตาม รุ่นพี่ร่างใหญ่ทั้ง  2 คนที่อยู่ข้างหลังเขากลับไม่ขยับตัวสักก้าว ไม่นานชายทางซ้ายกระซิบกับเขาว่า “พี่หลู เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้เป็นจ้าวมณีสวรรค์ระดับปฐมขั้นสูงสุดพร้อมด้วยมณีสวรรค์ 3 ชุด! พวกเราเอาชนะเขาไม่ได้หรอก! ลูกพี่ใหญ่ขอให้ท่านมาที่นี่เพื่อเชิญเขาไปคุยเท่านั้น”

“คุยกับหัวพวกแกน่ะสิ! มันถึงกับกล้าดูถูกลูกพี่ใหญ่ของเรา มีอะไรจะต้องคุยอีก เจ้าเด็กเหลือขอ! รอก่อนเถิด เจ้าได้กลายเป็นเนื้อตายแน่! คนที่อยู่สังกัดอยู่ในตระกูลเย่ จงแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้!” ประโยคสุดท้ายถูกตะโกนออกไปทางรุ่นพี่นักเรียนสามัญชนที่เหลือ

นักเรียนสามัญชนกว่าร้อยคนเงียบกริบ หลายคนแสดงสีหน้าโกรธเคือง แต่ก็ไม่มีใครส่งเสียงออกมา ซ่างหลางนั่งอยู่ในกลุ่มนั้นด้วยเช่นกัน กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขาก็ไม่ได้หันไปมองอีกฝ่าย

“บิดาเรียกพวกเจ้าให้ออกมา…อยากตายใช่ไหม? พวกเจ้าคิดว่าตระกูลเย่ของเราสนับสนุนพวกเจ้าไปเปล่าๆ? จ่ายเงินค่าศาสตรามณียุทธ์และทักษะกักเก็บของพวกเจ้าไปเปล่าๆ? ออกมาเดี๋ยวนี้…ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้รู้ผลที่ตามมาแน่” รุ่นพี่คนนั้นตะโกนออกมาอย่างถือดี

ขณะนั้นนักเรียนส่วนใหญ่ได้เข้ามาในหอประชุมแล้ว แม้ว่าจะมีอาจารย์อยู่บ้างประปราย แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นว่าเป็นเย่หลูที่ก่อความวุ่นวาย พวกเขาก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรเลย หลังจากนั้นไม่นาน นักเรียนสามัญชนประมาณสิบกว่าคนก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินตรงมาหาพวกเขา

ในขณะนั้นเอง โจวเหว่ยชิงก็ได้ยินเสียงของโข่วรุ่ยดังสะท้อนอยู่ในหูของเขา โข่วรุ่ยกำลังนั่งอยู่ที่แถวหลังของโจวเหว่ยชิงนั่นเอง “ลูกพี่ เมื่อวานข้าเพิ่งไปสอบถามและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลขุนนางมา ข้ารู้ว่าตระกูลของพวกเขาอยู่ในอันดับที่ 3 6 และ 9 ในโรงเรียนแห่งนี้ ตระกูลเย่มีอิทธิพลมากที่สุด หัวหน้าตระกูลเย่เป็นเสนาบดีของอาณาจักรเฟยหลี่และเขายังมีตำแหน่งเป็นขุนนางระดับที่ 1 อีกด้วย! ตระกูลของพวกเขามีอิทธิพลมากในอาณาจักร นับประสาอะไรกับโรงเรียนแห่งนี้ พวกเขามีสุนัขรับใช้ของตระกูลหลายคนอยู่ในโรงเรียนนี้”

………………………….