บทที่ 155 ดึกดื่นรบกวนชาวบ้าน

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

เยวี่ยปู้ชิงกุมผีผาหยกทะเลไว้มั่น จ้องมองจินเฟยเหยาอย่างตื่นตระหนก ในใจนึกแค้นที่เหตุใดอาจารย์เพียงแค่ถ่ายทอดเสียงมา กลับไม่แนบภาพเหมือนมาด้วย แบบนี้ตนเองได้พบคนผู้นี้เพียงครั้งเดียวคงจดจำได้นานแล้ว ไยต้องแส่หาความลำบากใส่ตัวเป็นฝ่ายมาหาเองถึงที่

เขาไหนเลยจะรู้ สำนักใหญ่น้อยล้วนล่วงรู้ว่ามีคนปล่อยจอมมารหลงไป ทว่ากลับไม่รู้ชื่อของคนผู้นี้ ส่วนภาพเหมือนที่เทียนกงเจินเหรินและหลินอวี่มอบให้ยังเสริมเติมแต่ง แม้แต่ภาพเหมือนที่ถูกเติมแต่ง ตึกซ่างเซียนและหอฉีเทียนก็ไม่ได้มอบให้สำนักอื่นๆ แต่เก็บเอาไว้เองทั้งหมด

ไม่ได้มีความหมายมากนัก เพียงคิดจะให้ตนเองหาจินเฟยเหยาพบก่อน สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่โลหิตตานมารหลายหยดมีประโยชน์ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น พวกเขาเกรงว่านางจะมีความสัมพันธ์กับจอมมารหลง คิดจะสอบถามเรื่องของจอมมารหลงจากจินเฟยเหยา

จอมมารหลงอยู่ขั้นแปลงจิต พวกเขายั่วโทสะไม่ได้ เพียงคิดจะหาคฤหาสน์อีกหลังของจอมมารหลงที่ทิ้งไว้ในโลกระดับดินของเผ่ามนุษย์ในตอนนั้นผ่านจินเฟยเหยา

ครั้งที่แล้วจอมมารหลงนำพาเผ่ามารโจมตีโลกเผ่ามนุษย์อย่างโอหังบังอาจ ยึดครองพื้นที่หนึ่งในสิบส่วนของโลกระดับดินเผ่ามนุษย์ เป็นเวลายาวนานถึงสามร้อยกว่าปี หลังจากเชิญผู้บำเพ็ญเซียนเผ่ามนุษย์ขั้นว่างเปล่าในโลกระดับเทพลงมา จึงใช้หินผลึกกักมารขังเขาไว้ได้ เผ่ามนุษย์ฉวยโอกาสชิงพื้นที่ซึ่งถูกยึดไปกลับคืนมา

ได้ยินว่าจอมมารหลงหลังจากทำศึกยึดได้ดินแดนกว้างใหญ่ ชื่นชอบสถานที่แห่งหนึ่งเป็นพิเศษ สร้างคฤหาสน์อีกแห่งหนึ่งขึ้น ตอนนั้นผู้บำเพ็ญเซียนของโลกระดับเทพมาอย่างรีบร้อน จอมมารหลงจึงจมคฤหาสน์ทั้งหมดไว้ใต้ดิน ไม่ทันได้ย้ายสิ่งของด้านในออกมา

ถ้าตอนนี้สามารถหาคฤหาสน์อีกแห่งหนึ่งพบได้ สิ่งของมีค่าในนั้นเพียงพอจะให้พวกเขายกระดับพลังขึ้นหลายขั้น

ตึกซ่างเซียนและหอฉีเทียนไม่กลัวว่าจอมมารหลงจะไปหาคฤหาสน์แห่งนี้ สำนักใหญ่แต่ละสำนักในโลกวิญญาณเป่ยเฉินล้วนมีจานขับไล่มาร ขอเพียงภายในรัศมีห้าร้อยหลี่ปรากฏปราณมาร จานขับไล่มารจะชี้บอก แม้แต่ประตูเมืองก็มีจานขับไล่มารแขวนไว้ จอมมารหลงไม่มีทางหาคฤหาสน์อีกแห่งของเขาพบ

เมื่อเทียบกับรังเก่าที่ภูเขาวั่นซั่นในโลกเผ่ามารของเขา คฤหาสน์อีกแห่งของจอมมารหลงเป็นคฤหาสน์ชั่วคราวที่อยู่ในหมู่บ้านอันห่างไกล ไม่คุ้มค่าที่เขาจะเสี่ยงอันตรายไป

ที่จริงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตและขั้นกำเนิดใหม่ของแต่ละสำนักล้วนอยากให้จอมมารหลงกลับโลกเผ่ามารใจแทบขาด แม้แต่ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นแปลงจิตของโลกวิญญาณเป่ยเฉิน ก็ไม่ยอมแตะต้องเขา

เจ้าหมอนี่กินคนได้ ชอบกินผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่เป็นของหวานที่สุด เจอเขาก็ไม่มีเรื่องดี กลับโลกเผ่ามารเร็วหน่อยเป็นดี ไม่เช่นนั้นถ้าหาร่องรอยพบ แล้วมีคนบ้าแนะนำให้ไปกำจัดมาร ต่อกรกับจอมมารหลงที่มีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นแปลงจิต มิต้องให้พวกเขาเหล่าคนเฒ่าออกโรงหรือ

แก่ชราถึงปานนี้แล้ว ไม่มีใครยินดีไปรนหาที่ตาย ถ้าไม่ไปก็บอกว่าไม่มีคุณธรรม รักตัวกลัวตาย ถ้าไป ตนเองมีชีวิตอยู่มาพันปีก็เพื่อเป็นของว่างให้จอมมารหรือ? ภายใต้สถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน เยวี่ยปู้ชิงรู้จักแต่กลับไม่มีภาพเหมือน จึงมาเจอจินเฟยเหยาที่นี่โดยไม่รู้อะไรสักนิด

เยวี่ยปู้ชิงพกพาความสงสัยในใจ โอบกอดความหวังสุดท้าย กัดฟันเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นคนปล่อยตัวคนเผ่ามารไปใช่หรือไม่!”

“เอ๋! เจ้ารู้ได้อย่างไร เจ้าพูดแบบนี้ กำลังบีบให้ข้าฆ่าคนปิดปากมิใช่หรือ?” ทุกคนถูกฟองแสงนรกปกคลุมไว้ ไม่กลัวว่าพวกเขาจะหนีไปได้ จินเฟยเหยาหัวเราะขึ้นมา

นางเป็นคนทำจริงๆ คนผู้นี้อาจจะรู้ตำแหน่งคฤหาสน์อีกแห่งของจอมมาร ถ้าจับนางได้ ใช้เวทค้นการรับรู้ตรวจสอบตำแหน่งของคฤหาสน์อีกแห่ง จากนั้นข้าจะได้ทรัพย์สมบัติในนั้นไปคนเดียว …แบบนั้นข้าก็สามารถออกจากสำนักลิ่วเหอที่เหมือนกับขายศิลปะการแสดงนี้ได้แล้ว

เยวี่ยปู้ชิงสองตาแดงก่ำ ความละโมบกลายเป็นความกล้า ทำให้ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ของเขาลุกไหม้

“เทพธิดาโปรยดอกไม้!” เขาพลันตวาดลั่น นิ้วมือดีดผีผาหยกทะเลอย่างรวดเร็ว เสียงผีผาอันไพเราะที่เต็มไปด้วยไอสังหารพุ่งเข้าใส่จินเฟยเหยา

จินเฟยเหยาปวดศีรษะแทบระเบิดราวกับมีเข็มนับหมื่นทิ่มแทงเข้าในสมอง สมองปั่นป่วน อดกุมศีรษะถอยไปหลายก้าวไม่ได้

“คุณชายรอง!”

“อ๊า!”

ผู้ติดตามขั้นสร้างฐานสี่คนที่เยวี่ยปู้ชิงพามา ร้องโหยหวน กุมศีรษะเกลือกกลิ้งบนพื้น โลหิตไหลออกเจ็ดทวาร ร่ำร้องราวกับภูตผีคร่ำครวญ ตะกายหลายครั้งก็ตายหมด

“อำมหิตจริงๆ คนของตนเองก็สังหาร!” จินเฟยเหยาปิดหูพลางเอ่ย นางไม่ได้ขยับ คนเหล่านี้หลังได้ฟังเสียงผีผาของคุณชายตนเองครึ่งเพลงก็ขาดใจตาย

เยวี่ยปู้ชิงไม่ได้คิดจะฆ่าคนปิดปากจึงสังหารผู้ติดตามตนเองทั้งสี่ เพิ่มมาคนหนึ่งก็ได้คนช่วยอีกแรง แต่เนื่องจากพลังทำลายล้างของเพลงนางฟ้าโปรยดอกไม้มีอานุภาพมากล้วนๆ โจมตีขึ้นมาก็เสมอภาค ไม่สนว่ามิตรหรือศัตรู โจมตีเข้าใส่ทุกคน

อานุภาพการโจมตีของเพลงอื่นๆ ไม่มากเท่านี้ เขาเกรงว่าหากจับจินเฟยเหยาไม่ได้ในกระบวนท่าเดียว จะทำให้ตนเองต้องเสียชีวิต แต่คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยายังยืนอยู่ได้ ผู้ติดตามทั้งสี่คนของตนเองกลับล้มลงก่อน

“อ๊า!” เขาคำรามลั่น ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปในผีผาหยกทะเลอย่างไม่คิดชีวิต พยายามดีดเพลงนางฟ้าโปรยดอกไม้ คิดจะสังหารจินเฟยเหยาให้ตาย

จินเฟยเหยาอุดหู พ่นเลือดกำเดาตะโกนลั่น “พั่งจื่อ!”

สิ้นเสียง พั่งจื่อก็กระโดดออกมา พองแก้มแล้วร้องขึ้น เสียงกบร้องแผ่ขยายออกไปบนเกาะ

“ท่านพี่ เหตุใดเสียงกบร้องจึงดังเอะอะเช่นนี้?” เกาะเหอจวงที่อยู่ใกล้เกาะเสี่ยวสือที่สุด มีตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนเล็กๆ อยู่อาศัยหนึ่งร้อยกว่าคน คนในตระกูลกำลังหลับสนิทก็ถูกเสียงร้องของพั่งจื่อปลุกให้ตื่น สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งลุกขึ้นนั่งอย่างไม่เข้าใจ ผลักบุรุษทางด้านข้าง

ภายใต้การบ่นพึมพำของภรรยา บุรุษบนเตียงพลิกตัว ดึงผ้านวมมาคลุมศีรษะ จากนั้นเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ต้องเป็นอนุภรรยาของบ้านใดถูกนายหญิงรังแกจึงไปร้องไห้อยู่ข้างสระน้ำ เจ้าไม่ได้ยินหรือ? ยังดีดผีผาด้วย”

“มีเสียงผีผาจริงๆ ด้วย นางปิศาจจิ้งจอกพวกนี้ช่างน่ารำคาญ ดึกดื่นค่อนคืนไม่หลับไม่นอน กำลังทำอะไรอยู่น่ะ จริงสิ เสี่ยวหงของเจ้าก็มีผีผา เจ้ากำลังแอบว่าข้ารังแกอนุภรรยาของเจ้าสินะ? คอยดูเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะริบผีผาของนาง ดูสิว่านางจะดีดผีผากลางดึกได้อย่างไร!” ภรรยาเดือดดาล เอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม

บุรุษผู้นี้ลุกขึ้นทันที คำรามอย่างหมดความอดทน “ดึกดื่นค่อนคืนเอะอะโวยวายทำไม ทั้งยังลากข้ามาเกี่ยวด้วย ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่ ข้าจะให้เจ้ากลับบ้านเดิม”

“เจ้าด่าว่าข้า คนไร้มโนธรรม ข้าแต่งงานกับเจ้าตอนอายุสิบหก เจ้ายังเป็นยาจก ข้าลำบากลำบนทำงานหนักเพื่อตระกูลนี้ เจ้าเลี้ยงอนุภรรยาก็ไม่ว่า ตอนนี้ยังมาด่าข้าอีก เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่” ภรรยาน้ำตาไหล ร่ำไห้ตรงนั้น

“เสียงดังแทบตายแล้ว อยากร้องก็ร้องให้พอ” บุรุษผู้นั้นเลิกผ้าห่มขึ้นสวมรองเท้าเปิดประตูพุ่งออกไปข้างนอกอย่างเดือดดาล

เห็นเขาปิดประตูเสียงดังออกไปแบบนี้ ต้องไปหาเสี่ยวหงคนนั้นแน่ ภรรยาก็ร้องไห้อย่างหนักทันที บนเกาะเสี่ยวสือเสียงดังรบกวนชาวบ้านแบบนี้ ทำลายชีวิตอันสงบสุขของคนอื่น แต่กลับไม่รู้เลยสักนิด

พั่งจื่อมีพลังการบำเพ็ญเพียรเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานช่วงปลาย เสียงร้องของกบและเสียงผีผาของเยวี่ยปู้ชิงที่ส่งออกมาเสมอกัน

เพียงแต่สภาพจินเฟยเหยาที่ติดอยู่ตรงกลางกลับไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด เสียงผีผาถูกสะกดข่มแล้ว แต่ตอนนี้ตนเองต้องรับการโจมตีจากพั่งจื่อและเยวี่ยปู้ชิงในเวลาเดียวกัน ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

เยวี่ยปู้ชิงใช้เสียงผีผาโจมตี เรี่องนี้ทำให้นางคาดไม่ถึง ตอนนี้นางแค้นการโจมตีที่ไม่แตกต่างกันแบบนี้แทบตาย ภายในเวลาไม่ถึงห้าอึดใจ ก็ทำให้จินเฟยเหยารู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

“ลุกไหม้! ข้าจะเผาพวกดีดพิณอย่างพวกเจ้าให้ตาย!” ศีรษะของจินเฟยเหยาเจ็บปวดไม่หยุด ทำให้นางคำรามลั่นเพลิงโทสะสูงเสียดฟ้า

เยวี่ยปู้ชิงเห็นฉากนี้ รีบตะโกนอย่างลนลาน “เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ บนร่างข้ามีตราประทับเป็นตาย…” เขายังเอ่ยไม่จบ ไฟนรกสีฟ้าดำก็ปะทุออกมาเยวี่ยปู้ชิงร้องโหยหวนคลอเสียงผีผา หายไปพร้อมกันในฟองแสงนรก

“ตราประทับเป็นตาย ตราประทับเป็นตายอีกแล้ว ตอนข้าอยู่ในตระกูล เหตุใดจึงไม่มีใครทำตราประทับให้ข้าบ้าง เผาพวกเจ้าตายแล้วอย่างไร น่ารำคาญแทบตาย เกลียดการสังหารบุตรหลานตระกูลเศรษฐีเหล่านี้ที่สุด ไม่มีอะไรก็ทำตราประทับไว้บนหลังพวกเขา ผู้อาวุโสของพวกเขาทำเหมือนรู้ล่วงหน้า ว่าเจ้าพวกนี้เวลาอยู่ข้างนอกไม่มีความสามารถทั้งยังทำเรื่องชั่วช้า จะถูกคนฟาดตาย ดังนั้นจึงทำยันต์คุ้มกายไว้ล่วงหน้า!” จินเฟยเหยาเก็บฟองแสงนรกและไฟนรกพลางบ่นว่าอย่างไม่พอใจ

พั่งจื่อหยุดร้องเสียงกบ มองนางอยู่ทางด้านข้าง

“มีอะไรน่าดู ผู้ใช้ไฟนรกมีกบสีขาวติดตามตัวหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่รู้กันทั้งโลก แต่กบสีขาวที่ปรากฏขึ้นตัวเดียว กลับไม่มีใครสนใจ ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้มีประสบการณ์ออกหมายจับคนอื่นหรือไม่ มีภาพเหมือนก็ไม่นำออกมาแจกให้ทั่วเมือง โง่งมจริงๆ” จินเฟยเหยามองพั่งจื่อ ต่อไปต่อให้เจ้านี่ไม่ยินยอม ก็ไม่อาจออกมาอย่างเปิดเผยกับนางอีก

จินเฟยเหยาไม่รู้ว่าเยวี่ยปู้ชิงจะมาคืนนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้จัดเก็บสิ่งของบนเกาะล่วงหน้า ส่วนเยวี่ยปู้ชิงก็บอกว่าตนเองมีตราประทับก่อนตายอย่างโง่เขลา เตือนสตินางพอดี

นางรีบทะยานไปหน้าตึกหลิงหลง ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็โยนตึกหลิงหลงพร้อมกับเนี่ยนซีกับต้านิวที่นอนหลับอยู่ด้านในเข้าไปในอ่างมายาจิ่งเทียน จากนั้นเก็บศาลาข้างทะเลสาบ โยนพรมบินออกมาอย่างแคล่วคล่องว่องไว แล้วลากพั่งจื่อหลบหนีออกนอกเมืองวั่นเซียนสุ่ย

ไม่ปลูกหญ้าวิญญาณก็มีประโยชน์แบบนี้ ย้ายบ้านได้รวดเร็ว สะบัดมือโยนคราหนึ่งก็พกพาบ้านทั้งหมดไปได้

จินเฟยเหยาเพิ่งจากไป ก็มีแสงสีสันสดใสบินมาถึงเกาะเสี่ยวสืออย่างรวดเร็ว ผู้มาค้นหาไปมาบนเกาะอย่างลนลาน ทว่าภายใต้การกลืนกินของไฟนรก เยวี่ยปู้ชิงจึงไม่เหลือแม้แต่ผ้าสักชิ้น แล้วจะหาอะไรพบ

จากนั้นก็มีอีกหลายคนบินมาบนเกาะ เพียงกระทืบเท้าอย่างแรงก็มีคนพุ่งไปตึกซ่างเซียนตรวจสอบข้อมูลผู้เช่า

ส่วนคนตระกูลเยวี่ยอื่นๆ ก็หารือกันว่า เจ้านี่ฆ่าคนแล้วต้องหลบหนีไปนอกเมืองแน่ จึงทิ้งคนสองคนไว้ค้นหาเยวี่ยปู้ชิงบนเกาะเสี่ยวสือต่อ ถึงต้องขุดดินสามฉื่อก็ต้องหาศพเยวี่ยปู้ชิงให้พบ จากนั้นสามคนที่เหลือก็นำของวิเศษออกมาเหาะไปนอกเมือง

ตอนพวกเขากลับมาจากการตรวจสอบชื่อแซ่ผู้เช่าที่ตึกซ่างเซียน จินเฟยเหยาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว

เมืองวั่นเซียนสุ่ยไม่มีประตูเมือง รอบด้านเปิดโล่ง ตระกูลเยวี่ยสามคนเพียงแค่อาศัยความรู้สึกไล่ตามไป ขอบเขตกว้างใหญ่ถึงปานนี้ถ้าไม่โชคดีจริงๆ จะพบจินเฟยเหยาได้อย่างไร จึงพกพาความเดือดดาลค้นหาอย่างเสียเปล่าเช่นนี้อยู่หลายวัน

…………………………………….