เมื่อวานนี้ วันเปิดร้านเป็นไปอย่างครึกครื้นเกินไป ดังนั้นวันนี้ผู้ที่มาซื้อยาตลอดจนผู้มาเยี่ยมชมจึงมีจำนวนไม่น้อย ศิษย์พี่ทั้งสองท่านรับหน้าที่นั่งในห้องวินิจฉัย ส่วนหลินหลันประจำอยู่หลังร้านเพื่อจัดยา หลังจากยุ่งหัวปั่นมาตลอดทั้งช่วงเช้า ขณะที่กำลังจะพักหายใจให้ทั่วท้องสักประเดี๋ยว ฝูอานก็เข้ามา
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ คนของจวนท่านมหาบัณฑิตเผยมาเยือนขอรับ โดยกล่าวว่าต้องการเรียนเชิญเอ้อร์เส้าหน่ายนายออกตรวจอาการป่วยหน่อยขอรับ”
หลินหลันขมวดคิ้ว ท่านมหาบัณฑิตเผยเป็นหัวหน้าฝ่ายสูงสุดของหมิงอวิน ซึ่งยกยอปอปั้นและให้การสนับสนุนหมิงอวินตลอดที่ผ่านมา การเลื่อนขั้นของหมิงอวินในครานี้ เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของท่านมหาบัณฑิตเผยมิใช่น้อยๆ ในเมื่อเป็นคนของท่านมหาบัณฑิตเผยมาเรียนเชิญถึงที่จึงจำเป็นต้องไปอย่างแน่นอน
“ได้บอกกล่าวไว้หรือไม่ว่าผู้ใดป่วย” หลินหลันเอ่ยถาม
“ข้าน้อยถามไถ่ได้ความว่าเป็นเผยฮูหยินขอรับ โดยกล่าวว่ามีอาการปวดศีรษะข้างเดียว” ฝูอานกล่าวตอบ
หลินหลันหันไปเรียกหยินหลิ่วที่กำลังยุ่งอยู่ไม่แพ้กัน “หยินหลิ่ว วางมือจากตรงนั้นก่อน ไปหยิบกล่องยาแล้วตามข้าไปจวนท่านมหาบัณฑิต ”
ภายในจวนท่านมหาบัณฑิต เผยจื่อชิ่งกำลังนั่งอยู่หน้าเตียงผู้ป่วยพร้อมกับเกลี้ยกล่อมมารดาให้ดื่มยา
“ท่านแม่ ขืนยังมิดื่มยาเข้าไปมันจะเย็นหมดแล้วนะเจ้าคะ…”
เผยฮูหยินกุมขมับด้วยมือหนึ่งข้างและกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “ดื่มยานี่มาตั้งหลายวันแล้ว มิเห็นดีขึ้นเลยสักนิด จะดื่มหรือไม่ก็มิต่างกัน!”
เผยจื่อชิ่งกล่าวในแง่ดี “ท่านหมอฮว๋าก็ดันไปส่านซีเสียแล้ว มิเช่นนั้นจะได้เรียนเชิญเขามาปรับตัวยาให้ หรือไม่พวกเราเรียนเชิญหมอท่านอื่นมาดูไหมเจ้าคะ!”
เผยฮูหยินกล่าวอย่างอ่อนใจ “มิใช่ว่าไม่เคยเรียนเชิญมา ทว่าล้วนมิสู้ท่านหมอฮว๋า มีเพียงยาของเขาถึงเห็นผล”
สาวใช้ผู้หนึ่งเข้ามากล่าวรายงาน “ฮูหยิน เสี่ยวเจี่ยะเจ้าคะ นายท่านให้ข้าน้อยมาบอกกล่าวว่านายท่านได้เรียนเชิญหมอจากร้านยาหลินจี้มาตรวจดูอาการป่วยของฮูหยิน ท่านหมอหลินกำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้เจ้าค่ะ”
เผยจื่อชิ่งนิ่งเงียบไปก่อนจะเอ่ยปากถาม “หมอหลินท่านไหนหรือ หรือว่าเป็นหมอสตรีท่านนั้น”
สาวใช้พึมพำ “เรื่องนี้ข้าน้อยมิทราบแน่ชัดเจ้าค่ะ”
เผยฮูหยินกล่าวภายใต้อาการอ่อนล้า “คงต้องเป็นภรรยาของหมิงอวินอย่างแน่นอน ได้ยินว่าทักษะการแพทย์ของนางไม่เลวทีเดียว ทว่าน่าเสียดายที่อาการป่วยของข้านี้เกรงว่าต่อให้เป็นหมอเทวดาก็รักษามิหาย”
เผยจื่อชิ่งกล่าวเชิงตำหนิ “ท่านแม่ ดูท่านสิ พูดไร้สาระอีกแล้วนะเจ้าคะ”
ขอบดวงตาเผยฮูหยินแดงระเรื่อขึ้นมา
เผยจื่อชิ่งโบกมือเป็นสัญญาณให้สาวใช้ออกไปแล้วจึงกล่าวปลอบใจด้วยเสียงอ่อนโยน “ครานี้ท่านพ่อทำเกินไปหน่อย ทว่าสตรีผู้นั้นก็ตั้งครรภ์แล้ว หลายปีมานี้ท่านพ่อรักและเอ็นดูลูกมาโดยตลอด ทว่าท่านแม่ก็รู้เช่นกันว่าภายในใจของท่านพ่อตามจริงแล้วอยากได้บุตรชายสักหนึ่งคน…”
เผยฮูหยินอดมิได้ที่จะยกมือขึ้นปาดน้ำตาและกล่าวด้วยความหดหู่ “ความอกตัญญูสามประการ ทว่าที่เป็นที่สุดของความอกตัญญูก็คือ การไร้ทายาทสืบสกุล ข้ารู้อยู่แล้ว”
“ดังนั้น การที่ครั้งนี้ท่านพ่อต้องการรับคนผู้นั้นเข้ามาในบ้าน ลูกเข้าใจดีว่าท่านแม่โกรธเคืองมากเพียงใด ทว่าในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะถกเถียงถึงความผิดถูกไปก็ไร้ความหมาย หากท่านจมปลักใช้ชีวิตอย่างตายทั้งเป็น คงมีแต่จะทำให้ท่านพ่อยิ่งเห็นคุณค่าสตรีนางนั้น กลับกลายเป็นท่านแม่ที่ไร้เหตุผลมิเข้าอกเข้าใจ หากท่านแม่ยอมให้ท่านพ่อได้สมดั่งใจหวัง ท่านพ่อจะต้องซาบซึ้งใจอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ และเมื่อสตรีนางนั้นให้กำเนิดบุตรมาแล้ว หากเป็นบุรุษจะต้องเลี้ยงดูไว้ภายใต้ชื่อของท่านแม่เท่านั้น เพียงเท่านี้สถานะของท่านแม่ก็จะมั่นคงดังเดิม ท่านแม่ ถอยหนึ่งก้าวเพื่อทำให้เราเห็นมุมมองที่กว้างไกลขึ้นอย่างไรล่ะเจ้าคะ!” เผยจื่อชิ่งเกลี้ยกล่อม ภายในใจรู้สึกจนปัญญาไม่น้อยเช่นกัน ทว่าจะมีวิธีอันใดอื่นอีกหรือ คนหนึ่งเป็นบิดาแท้ๆ อีกคนหนึ่งเป็นมารดาแท้ๆ นางจะว่ากล่าวผู้ใดก็ล้วนไม่ดีงามทั้งนั้น จึงทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมให้มารดาอดกลั้นไว้หน่อย การอาละวาดมิใช่ทางออกที่ดี และผู้ที่เสียเปรียบมากที่สุดก็ยังคงเป็นมารดาของนางเองมิใช่หรือ บนโลกใบนี้ คู่ที่รักเดียวใจเดียวตลอดกาล คงเป็นได้เพียงความหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
เผยฮูหยินมีสีหน้าอารมณ์เศร้าหมอง “ที่เจ้าพูดมาแม่ล้วนเข้าใจทั้งสิ้น เพียงแต่…ในใจของแม่ทำใจยอมรับมิได้!”
เผยจื่อชิ่งแอบถอนหายใจ นางเข้าใจที่ท่านแม่มิอาจยอมรับได้ หลายปีมานี้ท่านพ่อและท่านแม่เป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง ภายในบ้าน ท่านพ่อล้วนเชื่อฟังท่านแม่ทั้งสิ้น ข้างกายหาได้เคยมีสตรีอื่นใดเข้ามาแทรกแซงไม่ ทว่ายามนี้กลับมีสตรีผู้หนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน แล้วยังกำลังตั้งครรภ์อีก การที่ท่านแม่ของนางยังทำใจยอมรับไม่ได้ในเวลานี้ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าเพื่อความผิดพลาดของท่านพ่อ กลับทำให้ตนเองใช้ชีวิตเสมือนตายทั้งเป็นเช่นนี้เชียวหรือ เพื่ออันใดล่ะ
หงุดหงิดก็ส่วนหงุดหงิด ถึงอย่างไรก็ยังคงต้องเกลี้ยกล่อมเข้าไว้ เผยจื่อชิ่งจึงกล่าว “หลายวันมานี้ที่ท่านแม่ล้มป่วย ท่านพ่อก็รู้สึกแย่เช่นกัน ทุกครั้งที่มาหาท่านล้วนถูกท่านขับไสไล่ส่งด้วยน้ำเสียงและคำพูดเย็นชา ข้าเห็นท่าทีโศกเศร้าของท่านพ่อนั้น…เฮ้อ!”
ระหว่างสนทนา มีคนด้านนอกส่งเสียงบอกกล่าว “ท่านหมอหลินมาแล้วเจ้าค่า”
เผยจื่อชิ่งรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยเช็ดน้ำตาให้มารดา “เรียนเชิญเข้ามาได้!”
หลินหลันได้ยินเสียงนี้ก็รู้ได้ทันทีว่าคือเผยจื่อชิ่ง เมื่อเข้าสู่ห้องชั้นใน เผยจื่อชิ่งลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาต้อนรับ นางโน้มตัวโค้งลงเล็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงอ่อนหวาน “ข้าได้ยินว่าเป็นท่านหมอหลิน จึงคิดอยู่ว่าจะใช่หลี่ฮูหยินหรือไม่”
หลินหลันโน้มตัวโค้งลงคารวะกลับ “เผยเสี่ยวเจี่ยะ มิได้พบเจอกันนานเลยนะเจ้าคะ”
เผยจื่อชิ่งยิ้มเล็กน้อยโดยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ เจ้ามิได้พบเจอข้ามานาน ทว่าข้ากลับเพิ่งพบเจอเจ้าเมื่อไม่นานมานี้เอง
หลินหลันเบนสายตามองไปยังเผยฮูหยินซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงแล้วคารวะให้อย่างนอบน้อม “ข้ามิทราบว่าฮูหยินสุภาพมิค่อยดี ทั้งที่เดิมทีควรมาเยี่ยมเยียนฮูหยินแต่เนิ่นๆ ถึงจะถูกเจ้าค่ะ”
เผยฮูหยินคิดจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าทันทีที่ขยับศีรษะก็เป็นอันต้องวิงเวียนจนอดส่งเสียงโอดครวญขึ้นมามิได้
เผยจื่อชิ่งรีบเข้าไปกดบ่าของมารดาเอาไว้ “ท่านแม่ ท่านอย่าขยับเลยเจ้าค่ะ”
หลินหลันมองดูสีหน้าเผยฮูหยินในขณะนี้ เห็นทีว่าอาการปวดศีรษะข้างเดียวของเผยฮูหยินจะสาหัสไม่น้อยทีเดียวเชียว นางส่งสายตาให้หยินหลิ่ว หยินหลิ่วจึงรีบเปิดกล่องยาแล้วนำหมอนรองจับชีพจรส่งให้นายหญิง
“เผยเสี่ยวเจี่ยะ ท่านช่วยหลีกก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะได้ตรวจจับชีพจรท่านป้าได้ถนัดหน่อย”
เผยจื่อชิ่งลุกขึ้นหลีกทางให้พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงบางเบา “รบกวนเจ้าด้วย”
หลินหลันยิ้มอ่อนหวาน นางหย่อนตัวลงนั่งแล้วเริ่มตรวจจับชีพจรเผยฮูหยินอย่างละเอียด หลังผ่านไปเนิ่นนานพอตัวถึงกล่าวขึ้น “อาการป่วยของฮูหยินนี้ ถือเป็นโรคเก่าที่เรื้อรังมานาน จากการตรวจจับชีพจรฮูหยินดูเหมือนเกิดจากหยางตับพร่องกำเริบขึ้นส่วนบนของร่างกาย ทำให้เส้นลมปราณถูกปิดกั้น หยินกับหยางเสียสมดุล เลือดลมไหลเวียนสลับสับทวน นำมาซึ่งอาการปวดศีรษะข้างเดียวเจ้าค่ะ”
ทักษะการแพทย์ของหลินหลันที่แพร่งพรายอยู่ภายนอกว่าล้ำเลิศยิ่งนัก ทว่าตลอดที่ผ่านมาเผยจื่อชิ่งไม่ค่อยเชื่อเท่าใดนัก หลินหลันอายุน้อยถึงเพียงนั้น ผู้ที่มีทักษะด้านการแพทย์ล้ำเลิศในวัยเยาว์เสมือนคุณชายฮว๋าพบเจอได้น้อยนัก และทักษะการแพทย์ของคุณชายฮว๋าก็เป็นที่ขึ้นชื่อลือนามในเมืองหลวงแห่งนี้ ทว่าหลินหลันซึ่งดูเหมือนก็เคยรักษาภรรยาจิ้งปั๋วโหว์เช่นกัน แต่ก็ยังคงคิดมาโดยตลอดว่าเป็นการกล่าวชมเกินจริง ยามนี้พอได้ฟังหลินหลันวินิจฉัยสาเหตุของโรคอย่างแม่นยำ เผยจื่อชิ่งจึงเก็บความรู้สึกดูถูกเอาไว้แล้วหันมากล่าวถามอย่างกระตือรือร้น “แล้วมีวิธีรักษาหรือไม่”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะรักษาต้นตอโรคได้หรือไม่นั้น ข้ามิอาจรับประกันได้ ทว่าบรรเทาอาการป่วยยังพอทำได้”
ทันทีที่หลินหลันยื่นมือออกไป หยินหลิ่วก็ส่งเข็มเงินให้อย่างรู้งาน
“ข้าขออนุญาตลองใช้วิธีการฝังเข็มให้ฮูหยินนะเจ้าคะ ฮูหยิน ท่านหลับตาไว้และทำตัวให้ผ่อนคลายเท่านั้นเป็นพอเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนประดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เช่นนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายใจขึ้น
เผยฮูหยินมองไปยังเข็มเงินที่เรียวยาวและส่องสะท้อนแวววาวอย่างกังวลเล็กน้อย “จักต้องฝังเข็มด้วยหรือ”
หลินหลันกล่าวอย่างอ่อนหวาน “ฮูหยินท่านวางใจได้เจ้าค่ะ ไม่รู้สึกเจ็บแน่นอนเจ้าค่ะ”
หลินหลันนำเข็มเงินฆ่าเชื้อแล้วเล็งลงไปยังจุดไซว่กู่ซึ่งอยู่บริเวณขมับอย่างแม่นยำและฝังเข็มผ่านผิวหนังลงไปประมาณหนึ่งนิ้ว ก่อนจะฝังเข็มลงไปด้านหน้าและด้านหลังของของจุดไซว่กู่เสริมลงไปตามลำดับ เข็มสามด้ามเรียงแนวเป็นลักษณะใบไผ่ หลังจากนั้นจึงดึงออก
เผยจื่อชิ่งมองดูกรรมวิธีของหลินหลันด้วยความประหม่า เห็นมารดาทำเพียงขมวดคิ้วโดยสามารถอดทนจนผ่านไปได้ และเมื่อเห็นฝีมือการฝังเข็มของหลินหลันที่ดูคล่องแคล่ว ถึงค่อยๆ วางใจลง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เผยจื่อชิ่งออกไปส่งหลินหลันถึงนอกประตูด้วยตนเอง
“เผยเสี่ยวเจี่ยะมิต้องส่งแล้วละเจ้าค่ะ ยาของฮูหยิน อีกเดี๋ยวข้ากลับไปแล้วจะให้คนส่งมาให้ ไว้ทุกวันจากนี้หลังช่วงบ่ายไปแล้วข้าจะมาช่วยฝังเข็มให้ฮูหยินเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าว
“รบกวนเจ้าแล้วจริงๆ ทำให้เจ้าต้องลำบากวิ่งมาไกลขนาดนี้ แล้วยังมิรับเงินไว้อีก” เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยความรู้สึกเกรงใจ
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากเจ้าเอ่ยถึงเงินทองอีกเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามองข้าเป็นคนนอก ท่านเผยเป็นอาจารย์ของหมิงอวิน และปฏิบัติต่อหมิงอวินอย่างดีมาโดยตลอด ความเมตตาเช่นนี้มิอาจตอบแทนได้ด้วยเงินทอง”
เผยจื่อชิ่งก็ไม่ใช่คนเซ้าซี้แต่อย่างใด จึงกล่าว “เช่นนี้ก็ขอบใจเจ้ามากนะ”
ขณะเผยจื่อชิ่งเฝ้ามองรถม้าของหลินหลันที่เคลื่อนตัวออกไปไกล นางแอบครุ่นคิดว่าตนเองคิดมากเกินไปแล้ว หลินหลันกันคุณชายฮว๋าอยู่ในแวดวงแพทย์เช่นเดียวกัน การรู้จักกันจึงมิใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใด ในวันนั้น ยามที่ทั้งสองอยู่ในศาลานั่น คงเป็นเพราะคุณชายฮว๋าต้องเดินทางไปเขตโรคระบาดที่ส่านซี ซึ่งมิแน่ว่า พวกเขาอาจพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการแก้ปัญหาเรื่องโรคระบาดก็เป็นได้!
ช่วงที่หมิงอวินไม่อยู่ ช่วงกลางวันยุ่งวุ่นวายจึงไม่รู้สึกคิดถึงมากมายนัก ทว่าพอตกค่ำ การนอนหลับคนเดียวยังเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย นางพลิกไปพลิกมา เนิ่นนานพอตัวกว่าจะหลับใหล และคุณภาพในการนอนหลับสนิทก็ลดลงไปมาก
หญิงชราเมื่อได้รับรู้ว่าวันที่ร้านหลินจี้เปิดทำการ บุคคลผู้สูงศักดิ์มากหน้าหลายตาล้วนมากล่าวแสดงความยินดี ความนึกคิดจึงแปรเปลี่ยนไป แน่นอนละ นางคิดว่าคนเหล่านี้ที่มาๆ กันล้วนเห็นแก่หน้าหมิงอวิน ดังนั้น หากหลินหลันไม่ตั้งใจทำให้ดีๆ ถึงตอนนั้นผู้ที่ต้องอับอายขายหน้าจะหนีไม้พ้นหมิงอวิน ด้วยเหตุนี้จึงกำชับหลินหลันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าต้องตั้งใจทำให้ดี
เพียงชั่วพริบตา หมิงอวินห่างบ้านไปเป็นเวลาสี่วันแล้ว วันนี้หลินหลันกลับมาช้าเล็กน้อย นางรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่กลับเข้ามาแล้วมุ่งไปคารวะหญิงชราที่โถงจาวฮุย
วันนี้ดูเหมือนพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายจะมีความสุขเป็นพิเศษ ทันทีที่เห็นหลินหลันจึงยิ้มออกมาอย่างหน้าชื่นตาบานกว่าปกติ แม้แต่หญิงชราก็เช่นกัน มีเพียงแม่มดชราเท่านั้นที่เผยรอยยิ้มอันเลือนราง
“หลินหลันเอ๋ย! เรื่องที่เจ้าและหมิงอวินบริจาคยาให้กองทัพทหารไยถึงไม่บอกกล่าวพ่อสักคำ วันนี้ฮ่องเต้ทรงเรียกพ่อเข้าไปพูดคุย พ่อยังงุนงงไปชั่วขณะ” พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เพียงแค่อยากทำให้ดีที่สุดเท่าที่พอทำได้ จึงมิกล้าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตไปเจ้าค่ะ”
พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายหัวเราะร่าแล้วกล่าวขึ้น “พูดได้ดีๆ วันนี้ฮ่องเต้ทรงชื่นชมการกระทำนี้ของเจ้าและหมิงอวิน เมื่อหมิงอวินกลับเมืองหลวงมาแล้วยังต้องการมอบรางวัลให้อีกด้วย”
หญิชรากล่าวหน้าตาชื่นมื่น “การทำตนเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีและกระทำเพื่อบ้านเมือง ประเด็นนี้หมิงอวินทำได้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
หลินหลันใช้โอกาสนี้กล่าวเยินยอ “ล้วนเป็นเพราะคำชี้นำสั่งสอนของท่านย่าในทุกๆ วัน อีกทั้งยังได้รับคำสั่งสอนจากท่านพ่อด้วยเจ้าค่ะ”
ด้วยการะประจบสอพลอนี้ทำให้ทั้งสองสำราญใจอย่างสูงจนเผยให้เห็นรอยย่นที่ปลายหางตาอย่างเด่นชัด
ภายในใจนางฮานกลับรู้สึกราวกับถูกกรงเล็บแมวขีดข่วนจนรู้สึกอึดอัดแทบแย่ เหตุใดเรื่องราวดีๆ ถึงตกไปอยู่ที่หมิงอวินเสมอ อย่างไรก็ตามนางยังคงพยายามปรับสีหน้าอารมณ์ เผยรอยยิ้มแข็งกระด้างออกมา “หมิงอวินไปเทียนจินก็สี่วันแล้ว เหตุใดถึงยังไม่กลับมาเสียที ตามหลักแล้วเขาเพิ่งได้เลื่อนขั้น จึงเป็นช่วงเวลาที่ควรแสดงฝีมือให้ดีๆ ไยถึงเลือกไปสวดขอพร ณ วัดว่านซงในช่วงเวลาเช่นนี้เสียได้”
พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของนาง “ความกตัญญูต้องมาเป็นอันดับแรก วันนี้ฮ่องเต้ยังทรงกล่าวว่าความกตัญญูเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หมิงอวินไปสวดขอพรให้แม่ของเขา ก็เป็นเรื่องที่ลูกกตัญญูพึงกระทำ มีหรือฮ่องเต้จะทรงไม่พึงพอใจ”
แม้ว่าหญิงชราจะไม่ชื่นชอบนางเยี่ย ทว่ายังคงเห็นดีเห็นงามต่อการกระทำนี้ของหมิงอวิน จึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เทียนจินอยู่ห่างจากที่นี่ไม่น้อย มิใช่ว่าวันสองวันก็กลับมาถึงได้ ฮ่องเต้ทรงอนุมัติวันหยุดให้แล้ว แล้วไยเจ้าต้องกังวลใจต่อเรื่องนี้กันเล่า”
นางฮานรู้สึกอับอาย ได้แต่กล่าวเสียงอ่อยอิ่ง “ลูกแค่เป็นห่วงหมิงอวินเจ้าค่ะ”
พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายกล่าวอย่างไม่แยแส “หมิงอวินมิใช่เด็กสามขวบเสียหน่อย อีกอย่างยังมีเหวินซานและตงจึติดตามไปด้วย มีอันใดให้น่าเป็นห่วงหรือ”
หลินหลันมองดูลักษณะท่าทางอับอายของแม่มดชราแล้วรู้สึกสะใจยิ่งนัก แม่มดชรานับวันยิ่งอยู่ในบ้านนี้โดยไม่ได้รับความพึงพอใจมากขึ้น เมื่อใดที่ทางด้านซานซีนั่นมีความเคลื่อนไหวขึ้นมา อยากเห็นเหลือเกินว่าพ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายจะจัดการนางอย่างไร
หลังรับประทานมื้อเย็น พ่อหลี่ผู้ไร้ยางอายนำตัวหมิงเจ๋อไปยังห้องหนังสือเพื่อทดสอบบทเรียน หลี่หมิงเจ๋อถึงกับคอตกด้วยอารมณ์เศร้าสลดเมื่อได้ยินดังกล่าว เผยสภาพราวกับมะเขือยาวถูกทุบจนเละ
ติงหลั้วเหยียนกล่าวว่ามีอาการไอเล็กน้อยจึงขอตัวกลับ หลินหลันรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและอยากกลับไปพักผ่อนแต่หัววันเช่นกัน ทว่านางฮานกลับกล่าวรั้งไว้ “หลินหลัน เจ้าอยู่ก่อนสักประเดี๋ยว ท่านย่ามีเรื่องต้องการพูดคุยกับเจ้า”