ตอนที่ 238 มีใจคิดสังหาร

พันธกานต์ปราณอัคคี

สายตาของมั่วชิงเฉินตกไปบนตะกร้าไม้ไผ่เล็กๆ ใบหนึ่ง

 

 

สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาป่าไผ่ก็คือทะเลไผ่ผืนนั้น ยามว่าง กู้หลีจะใช้ไม้ไผ่สานของเล่นประณีตแบบต่างๆ ประเภทเก้าอี้ไม้ไผ่ม้านั่งไม้ไผ่ที่พวกเขาใช้ในชีวิตประจำวันเขาล้วนเป็นคนสานขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินชอบนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ดูตอกไม้ไผ่เส้นเล็กๆ โบยบินทะลุไปมาระหว่างนิ้วที่เรียวยาวของกู้หลี ไม่นานนักก็ปรากฏของประณีตขึ้นชิ้นหนึ่ง

 

 

เจอของที่ถูกใจ นางจะเก็บเข้ากำไลเก็บวัตถุของตนโดยตรงอย่างไม่เกรงใจ ทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น กู้หลีเพียงแต่ส่ายหน้าหัวเราะ แล้วสานใหม่อีกชิ้นหนึ่ง

 

 

ตะกร้าเล็กตรงหน้าใบนี้ ก็คือหนึ่งในของที่นางปล้นมาได้ ยามนี้ได้ใช้ประโยชน์อย่างใหญ่หลวงจริงๆ แล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินเปิดฝาของตะกร้าไม้ไผ่ออก เก็บขวดที่กระจัดกระจายตามพื้นลงในตะกร้าทั้งหมด จากนั้นปิดฝาลงแล้วแบกไว้ข้างหลัง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำมองมั่วชิงเฉินเก็บของอย่างคล่องแคล่วเสร็จ แล้วก้มหน้าดูของที่กองเต็มพื้นของตน อดเหลอหลาเล็กน้อยไม่ได้ ถามว่า “ยังมีตะกร้าเช่นนี้อีกหรือไม่?”

 

 

“ไม่มี” มั่วชิงเฉินหน้าก็ไม่เงย ตอบอย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเม้มปาก แคว่กเสียงหนึ่งฉีกผ้าออกจากตัวมาชิ้นหนึ่ง ห่อของตนไว้

 

 

“มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้จัดการเช่นไร?” มั่วชิงเฉินชี้ถุงที่ทำขึ้นง่ายๆ หยาบๆ ที่วางอยู่ข้างๆ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์มีแต่กลืนลงไปทั้งเป็นถึงได้ผล หากตายเมื่อไรก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงแล้ว ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุด ก็คือกินพวกมันให้หมด”

 

 

“กินให้หมด?” มั่วชิงเฉินตกใจ มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์นับร้อยตัว หากกินลงไปตัวหนึ่งสามารถเพิ่มตบะได้สามเดือนละก็ ต่อให้สองคนแบ่งเท่าๆ กัน หลังจากกินเข้าไปหมดอย่างน้อยก็ต้องเท่ากับการบำเพ็ญเพียรสิบปี!

 

 

นึกถึงตรงนี้นางแอบพิจารณาผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำ คนตรงหน้านี้มีตบะระดับสร้างรากฐานระยะปลายแล้ว หากกินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ลงไปอีก นั่นไม่เท่ากับสามารถไปถึงระดับสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์ทันที สามารถทะลวงระดับก่อแก่นปราณได้ทุกเมื่อหรือ?

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณลมระดับก่อแก่นปราณระยะต้นคนหนึ่ง ต่อให้นางสำแดงอานุภาพครึ่งหนึ่งของไหมเกล็ดน้ำแข็งออกมาก็ยากจะหนีรอด

 

 

เพียงสิ่งเดียวที่คุ้มแก่การรู้สึกโชคดีก็คือในแดนไร้วิญญาณนี้พวกเขาสองคนไม่ว่าใครก็ไม่อาจเลื่อนขั้นได้ ยามนี้กลับไม่ถึงกับต้องหวาดหวั่น

 

 

ทว่าหากออกจากที่นี่เมื่อไร ยืนยันว่าไม่มีอันตรายแล้ว คนคนนี้ต้องลงมือต่อตนเองแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ละก็ต่อให้ยามนั้นตนโชคดีสามารถหนีรอดไปได้ วันหลังกลับต้องกลายเป็นดั่งหอกข้างแคร่

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ยามที่อยู่ในแดนไร้วิญญาณนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการกำจัดเขา?

 

 

ชั่วเวลาหนึ่งมั่วชิงเฉินเกิดลังเลขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

โดยปกติแล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่เป็นศัตรูกันตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้ ที่ต้องทำเป็นสิ่งแรกก็คือการวางบุญคุณความแค้นลงแล้วร่วมกันหาโอกาสรอดทั้งนั้น หาน้อยที่จะเข่นฆ่ากันเองอีก นี่ก็เป็นสาเหตุที่มาถึงแดนไร้วิญญาณได้ครึ่งปีกว่าแล้ว สองคนยังอยู่โดยสวัสดิภาพ

 

 

นึกถึงสุดท้าย มั่วชิงเฉินแอบกัดริมฝีปาก ก็เอาเช่นนี้แล้วกัน ฉวยโอกาสยามนี้ที่เขาไม่มีกระทั่งแรงมัดไก่ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ ต่อให้ในสภาพสิ้นหวังนี้ไม่รู้อนาคตคาดเดาความเป็นตายไม่ได้ อย่างไรก็ดีกว่าวิกฤติในวันหลัง ใครใช้ให้ตบะของตนต่ำกว่าคนเขาล่ะ

 

 

เมื่อมั่วชิงเฉินตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ก็กลับรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา

 

 

“เจ้าคิดจะฆ่าขา?” จู่ๆ เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินตกใจทันที นางคิดว่าหลายปีมานี้ฝีมือการไม่แสดงความรู้สึกบนใบหน้าของตนถือว่าดีมาก ไยกลับถูกคนคนนี้มองทะลุในปราดเดียวนะ?

 

 

หากนางรู้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำคนนี้ถูกประเมินค่าในบรรดาคนคุ้นเคยกันว่า ‘มากปัญญาเกือบจะเป็นปีศาจ’ ก็จะไม่ตกใจแล้ว

 

 

ในโลกนี้มีคนบางคนโดยกำเนิด อาศัยเห็นสิ่งที่ต่างออกไปเพียงเล็กน้อยก็สามารถสันนิษฐานความจริงโดยประมาณของเรื่องหนึ่งได้ บางทีพวกเขากระทั่งไม่ต้องการคำพูด ใช้เพียงสัญชาตญาณก็พอแล้ว!

 

 

ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเพียงแค่เห็นมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์กัดมั่วชิงเฉินทีหนึ่ง ก็สรุปได้ทันทีว่านางมีไฟอัศจรรย์ กระทั่งสามารถตัดสินว่าที่นางมีต้องเป็นเพลิงแก้วใจกระจ่างอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

ก็เหมือนดังที่เขาอาศัย ‘กินให้หมด’ เพียงคำถามเดียว ก็เดาได้ทันทีถึงความกังวลของมั่วชิงเฉิน และรู้อย่างถ่องแท้ว่านางเกิดความคิดจะฆ่าตนเองด้วยการนี้

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าใจหาย แอบคิดในใจว่าคนนี้เก็บไว้ไม่ได้แล้วจริงๆ เรื่องมาถึงขั้นนี้จึงแบไต๋ให้รู้แล้วรู้รอดไปว่า “ถูกต้อง”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำหัวเราะนิ่งเรียบขึ้นมาว่า “ใครๆ ก็ว่าที่อำมหิตที่สุดก็คือใจสตรี บัดนี้ข้าได้รับการสอนสั่งแล้วจริงๆ อย่างไรเสียพวกเราก็อยู่ด้วยกันมาครึ่งปีกว่า ต่อให้เจ้ามีความคิดเช่นนี้ จะรอให้ออกไปก่อนค่อยว่ากันไม่ได้หรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะเย้ยหยันว่า “ออกไป? รอออกไปเช่นนั้นก็มีเพียงเจ้าฆ่าข้าแล้ว”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำถอนใจว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก่อนหน้านี้ไยเจ้าถึงไม่ลงมือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินกวาดสายตามองมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ปราดหนึ่ง เอ่ยเบาๆ ว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาด เช่นนั้นก็พูดให้ชัดเจนไปเลย เดิมทีอยู่ที่นี่จะเป็นหรือตายยากจะคาดได้ ข้ากะว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็รอให้ออกไปก่อนค่อยว่ากัน ก็เหมือนอย่างที่เจ้าคิดไว้ แม้นว่าขอเพียงออกไปได้เจ้าต้องลงมือต่อข้าแน่นอน แต่ข้าก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีกำลังต่อกรเอาเสียเลย ใช้กำลังแลกด้วยไม่ได้ทว่าวิ่งหนีอย่างไรก็ไม่เป็นปัญหาหรอก ทว่าใครจะรู้ว่าดันให้พวกเราได้มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์มามากปานนี้ เมื่อไรที่เจ้ากินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ลงไป คิดว่าหลังจากออกไปก็ต้องกักตนก่อแก่นปราณ หึๆ เมื่อนึกถึงว่าวันหลังจะมีผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณลมระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งเตรียมพร้อมลงมือฆ่าข้าได้ทุกเมื่อ ข้าก็เหมือนมีหนามยอกอกน่ะ”

 

 

สายตาของผู้บำเพ็ญเพียรมองมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วถอนใจยาวเสียงหนึ่งว่า “นี่ก็คือสุขเอยซุกซ่อนโศก โศกเอยพึ่งพิงสุขกระมัง? บอกเจ้าตรงๆ ในยามที่ได้มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ ข้าก็คาดการณ์ได้แล้ว”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินมองมา ผู้บำเพ็ญเพียรหัวเราะนิ่งเรียบว่า “เจ้ากำลังคิดว่าข้ายังเก็บลูกไม้อะไรไว้ใช่หรือไม่?”

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบชั่วครู่ ยิ้มระทมว่า “ต่อหน้าเจ้า ข้าไม่ยอมรับไม่ได้ว่าตนก็เหมือนคนโง่คนหนึ่ง”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรในสายตามีแววเย้ยหยันวาบผ่าน “แล้วอย่างไรล่ะ ต่อหน้าพลังความสามารถเบ็ดเสร็จ สติปัญญาใดๆ ล้วนไร้ค่า”

 

 

แม้พลังความสามารถเบ็ดเสร็จนี้เป็นเพราะในแดนไร้วิญญาณนางแข็งแกร่งกว่าตน…เมื่อนึกถึงข้อนี้ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำก็อึดอัดจนจะกระอักเลือด นี่ช่างเป็นมังกรว่ายน้ำตื่นเจอกุ้งเกี้ยวจริงๆ เลย

 

 

“ว่ามาเถอะ เจ้าคิดเช่นไรไว้? ข้าไม่เชื่อว่าคนเช่นเจ้าจะนั่งงอมืองอเท้ารอวันตาย” มั่วชิงเฉินถอนใจว่า

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำมองมั่วชิงเฉินตาไม่กะพริบ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นหยิบถุงที่ทำขึ้นอย่างง่ายๆ หยาบๆ ที่ใส่มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์โยนไปที่นาง ปากก็พูดว่า “พวกนี้ล้วนเป็นของเจ้า”

 

 

มั่วชิงเฉินจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “ฆ่าเจ้าแล้ว พวกนี้ก็เป็นของข้าเช่นกัน”

 

 

“ข้ายอมสาบานต่อจิตมาร นับแต่นี้ไปจะไม่ลงมือต่อเจ้าอย่างเด็ดขาด เจ้าว่าเป็นเช่นไร?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

มั่วชิงเฉินมองใบหน้าซีดเผือดของเขา นัยน์ตาฉายแววชื่นชม ช่างฉลาดจริงๆ มีเพียงคนฉลาดที่แท้จริงถึงเสนอเงื่อนไขที่ทำให้คนไม่อาจปฏิเสธได้ออกมาโดยตรงในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่พยายามต่อรอง

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำสายตายิ่งเย็นชาลงว่า “มีมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้แล้ว ข้ารู้ว่าจะหาสมบัติฟ้าดินอีกชิ้นหนึ่งที่ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดก็อดทำใจไม่หวั่นไหวไม่ได้ หากยังมีเงื่อนไขอะไรอีกเจ้าเสนอมาได้”

 

 

มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดหนึ่ง นางยอมรับ ตนใจหวั่นไหวแล้ว

 

 

สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญเพียรเต๋าเช่นนาง หากไม่เพราะความจำเป็นไม่มีทางลงมือฆ่าคนหรอก เพื่อหลีกเลี่ยงจิตมารที่ติดมายามเลื่อนขั้นในอนาคต

 

 

พวกเขาสองคนที่กลายมาอยู่ในสถานการณ์ไม่เจ้าตายก็ข้าม้วยเช่นนี้ เพียงเพราะนางได้ยินบทสนทนาของพวกเขา อีกฝ่ายคิดปิดปากตนส่วนตนป้องกันตัวโจมตีกลับเท่านั้น หากเขาสามารถสาบานต่อจิตมารว่าจะไม่ทำร้ายตนเองอย่างเด็ดขาดได้จริง อีกทั้งมีผลประโยชน์มากมายเช่นนี้ เช่นนั้นจะฆ่าเขาไปไยล่ะ

 

 

อย่างไรเสียในสภาพสิ้นหวังเช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่จะอาศัยกำลังคนเพียงคนเดียวรอดออกไปยิ่งเลือนรางใหญ่ และที่ตนต้องการ ก็คือการมีชีวิตอยู่ต่อไปแสวงหาทางเซียนมิใช่หรือ

 

 

มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว เอ่ยเสียงกังวานว่า “เจ้าสาบานต่อจิตมาร ข้อหนึ่ง ชีวิตนี้ห้ามเป็นฝ่ายลงมือทำร้ายข้าก่อน ข้อสอง หากเราสองคนเดินออกจากที่นี่ สิ่งที่ประสบครั้งนี้ก็ห้ามเล่าให้ไม่ว่าใครก็ตามฟัง นอกจากนี้ เจ้ายังต้องรับปากเงื่อนไขข้าข้อหนึ่ง”

 

 

“เงื่อนไขอันใด?” ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำถามอย่างเย็นชา

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มนิ่งเรียบว่า “บัดนี้ข้ายังไม่มีเงื่อนไขใดๆ รอต่อไปมีแล้วค่อยไปหาเจ้า”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำสีหน้าเย็นเยียบ พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าไม่รู้สึกว่าเช่นนี้เกินไปหน่อยหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากมองดูท่าทางแอบแฝงความโกรธของเขา จู่ๆ ก็ยิ้มหวานว่า “เงื่อนไขพวกนี้ เทียบกับชีวิตของผู้บำเพ็ญเพียรรากวิญญาณลมอัจฉริยะที่ประมาณอนาคตไม่ได้ เกินไปจริงๆ หรือ?” พูดจบมองอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำเม้มปากแน่น ในใจแอบว่า เงื่อนไขสองข้อแรกก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียตนก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องฆ่านางให้ได้ ต่อให้หลังจากออกจากที่นี่นางแพร่งพรายเรื่องที่ได้ยินออกไป อย่างมากก็ทำเรื่องนั้นไม่สำเร็จ อย่างไรนั่นก็ดีกว่าต้องสูญเสียชีวิต พูดถึงที่สุด ไม่ว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการมีชีวิตอยู่ ทว่าเงื่อนไขสุดท้ายกลับยากจะให้คนยอมรับได้จริงๆ หากนางเสนอเงื่อนไขอะไรที่เกินเลยออกมา เช่นนั้นชีวิตนี้ของตนมิต้องถูกนางควบคุมหรอกหรือ

 

 

“วางใจ เงื่อนไขข้อนั้นต้องอยู่ในขอบเขตที่เจ้าสามารถทำได้แน่นอน” เสียงนิ่งเรียบของมั่วชิงเฉินลอยมา

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำหลับตาลงแล้วลืมขึ้นอีก มองไปที่มั่วชิงเฉินว่า “สหายเต๋าให้เรียกเช่นไร?”

 

 

“มั่วชิงเฉิน” มั่วชิงเฉินเอ่ยเสียงกังวาน

 

 

ในเมื่อจะสาบานต่อจิตมาร นางจำเป็นต้องบอกชื่อจริงออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินแจ้งชื่อออกมาปุ๊บ ประกายในตาผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำวาบผ่านทันที เอ่ยทันทีว่า “สหายเต๋ามั่ว คิดว่าเจ้าเยือนจวนหลัวกลางดึก คงไม่ใช่เพราะอยากรู้อยากเห็นอย่างเดียวกระมัง?”

 

 

มั่วชิงเฉินแบบมือ “จู่ๆ ข้าก็เสียใจที่ถูกข้อเสนอที่เจ้าเสนอมาดึงดูดเสียแล้ว”

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำโมโหจนนิ่งงัน

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มหวาน มองเขาอย่างใจเย็น

 

 

“ข้าชื่อหลัวอวี้เฉิง” เสียงเย็นชาของผู้บำเพ็ญเพียรชุดดำลอยมา จากนั้นสาบานต่อจิตมารว่า “ข้าหลัวอวี้เฉิงยินดีสาบานต่อจิตมาร ชีวิตนี้จะไม่เป็นฝ่ายทำร้ายมั่วชิงเฉินก่อนเป็นอันขาด หลังจากออกจากที่นี่สิ่งที่ประสบในครั้งนี้จะไม่พูดถึงกับผู้อื่นเด็ดขาด และรับปากเงื่อนไขข้อหนึ่งของมั่วชิงเฉินภายในขอบเขตความสามารถของตน” พูดถึงตรงนี้เสียงยิ่งเย็นลงอีกว่า “เช่นนี้แล้วเจ้าพอใจหรือยัง?”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็กินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์พวกนี้ลงไปก่อนเถอะ”

 

 

หลัวอวี้เฉิงชะงัก

 

 

มั่วชิงเฉินแสยะมุมปากว่า “เจ้าพูดเองนะ มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ต้องกินยามมีชีวิตอยู่ถึงได้ผล มดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์มากมายปานนี้ข้าเอาไปก็ไร้ประโยชน์”

 

 

ภายใต้สถานการณ์โอสถเพียงพอ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานระยะกลางธรรมดาคิดจะบำเพ็ญเพียรให้ถึงสุดยอดและสามารถทะลวงระยะปลายได้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณยี่สิบปี นี่ก็เป็นสาเหตุที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ล้วนหยุดอยู่ที่ระยะต้น และกลาง

 

 

มั่วชิงเฉินอายุสามสิบสามปีเข้าสู่ระยะกลาง บัดนี้ยังไม่ถึงสามสิบหกปี นับเช่นนี้แล้วกินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์ลงไปเจ็ดแปดสิบตัวต้องสามารถถึงสุดยอดระยะกลางแน่นอน ถึงเวลานั้นหากไม่เลื่อนขั้นละก็พลังวิญญาณก็จะไม่เพิ่มขึ้นอีก มีมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์มากเพียงใดก็ไร้ความหมาย

 

 

ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนต่างคนต่างนั่งขัดสมาธิลง แล้วกินมดผลึกไฟวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปอีกตัวหนึ่ง