“คุณชายใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยและเยี่ยนมี่เอ๋อร์เพิ่งจะเข้าจวนมา ยังไม่ทันจะได้ทำอะไร ‘เจียจือ’ สาวใช้ข้างกายของทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็เดินยิ้มร่าโผล่มาต้อนรับหน้าประตู “ฮูหยินใหญ่ไม่ได้พบท่านมาหลายวัน คิดถึงเป็นอย่างมาก จึงอยากเชิญท่านไปพูดคุยที่เรือนหลังสักหน่อยเจ้าค่ะ!”
ท่าทีของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูเคร่งขรึมลงไปเล็กน้อย สีหน้าไม่ยินดีนัก แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร ยังคงเผยยิ้มสั่งการพวกจื่อหลัวให้นำพวกสิ่งของจัดเก็บเข้าที่เข้าทาง ตอนที่อยู่เรือนสดับวายุ เป็นเพราะซั่งกวนเจวี๋ยพานางออกจากจวนไปเดินเล่น จึงได้ซื้อของกระจุกกระจิกที่น่าสนใจมาไม่น้อย
“เจียจือ เจ้ากลับไปรายงานฮูหยินใหญ่ บอกว่าข้ายังมีธุระที่ต้องสะสางมากมาย หากมีอะไรอยากจะพูด ก็ไว้ค่อยพูดในเวลาอาหารเย็นเถิด!” สีหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่ดีนักเช่นกัน ไม่ได้พบหน้าหลายวัน คิดถึงเป็นอย่างมากอย่างนั้นรึ? เกรงว่าจะสร้างโอกาสให้ทั่วป๋าฉินซินพบตนเสียมากกว่า! เขาไม่มีกะจิตกะใจจะมาเล่นละครพวกนี้เป็นเพื่อนทั่วป๋าซู่เยวี่ยหรอก
“คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่คิดถึงท่านจริงๆ นะเจ้าคะ หากเชิญท่านไปไม่ได้ กลับไปบ่าวต้องถูกทำโทษแน่ๆ เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่ได้โปรดเมตตาด้วย!” เจียจือคาดไม่ถึงว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะกล่าวปฏิเสธทันที โดยไม่แม้แต่จะครุ่นคิดสักนิด ใบหน้าเผยความลำบากใจอยู่บ้าง กระนั้นยังคงพยายามรักษารอยยิ้มไว้
“หรือว่าธุระของข้าสำคัญน้อยกว่าเจ้าอย่างนั้นรึ?” ซั่งกวนเจวี๋ยสีหน้าดำคล้ำ คิดว่าพวกคนใช้ในบ้านนั้นควรจะถูกสั่งสอนให้หลาบจำเสียบ้าง นึกไม่ถึงว่าจะกล้าพูดวกวนกล่าวอย่างนั้นอย่างนี้
“บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ!” เจียจือตัวหดไปเล็กน้อย มองไปยังเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่คล้ายยุ่งอยู่กับงาน ก็ย่อกายคารวะ “อย่างไรขอสะใภ้ใหญ่ช่วยกล่อมคุณชายหน่อยเถิดเจ้าค่ะ หากฮูหยินใหญ่ไม่ได้พบคุณชาย ก็ยังไม่รู้ว่าจะโมโหถึงขนาดไหน?”
กล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่าตัวเองไม่คิดที่จะปล่อยคนไป? เยี่ยนมี่เอ๋อร์ช้อนตาขึ้นมอง กล่าวอย่างเรียบเย็น “ความหมายของเจ้าคือ หากคุณชายไม่ไปพบฮูหยินใหญ่ นั่นก็เป็นเพราะความผิดของข้า?”
“บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ! บ่าวเพียงอยากขอให้สะใภ้ใหญ่ช่วยพูดให้เท่านั้น!” เจียจือไม่ได้คิดว่าทั่วป๋าซู่เยวี่ยถึงขนาดส่งคนมาเชิญอย่างโจ่งแจ้งเพียงนี้เป็นการทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เสียหน้า รู้สึกได้เพียงว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นไม่ไว้หน้าตน ขอบตาจึงแดงก่ำขึ้นมา ใบหน้าเผยท่าทีน้อยใจอย่างพูดไม่ถูกอยู่บ้าง “บ่าวรู้ดีว่าตนเป็นคนต่ำต้อย คำพูดย่อมไม่มีน้ำหนัก เมื่อเชิญคุณชายใหญ่ไม่ได้ จึงอยากขอสะใภ้ใหญ่ให้เห็นแก่หน้าผู้ใหญ่บ้าง ช่วยพูดให้คุณชายใหญ่ไปเรือนหลังก็เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอื่นใดเจ้าค่ะ!”
“ม่านเหลียน คุมตัวนางกลับไปเรือนหลังให้ข้าเสีย!” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยใบหน้าเยือกเย็น กล่าวกับสาวใช้ที่ลอบมองอยู่ “บอกฮูหยินใหญ่ว่า ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก หากนางมีเรื่องสำคัญอะไรก็ให้มาพูดตอนก่อนเวลาอาหารเย็นแล้วกัน อย่าได้ส่งพวกประเภทที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมาทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดใจ อีกอย่าง หลังจากนี้ข้าไม่อยากพบสาวใช้ที่ไม่มีหูมีตา ไม่รู้จักความเหมาะสม ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเช่นนี้อีกแล้ว ขอให้นางอบรมดูแลพวกสาวใช้และแม่นมข้างกายให้ดีด้วย”
ม่านเหลียนมองข้ามเจียจือที่เปลี่ยนเป็นสีหน้าซีดเผือดในชั่วพริบตา กล่าวรับคำสั่งด้วยรอยยิ้ม “บ่าวน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ พี่เจียจือ เจ้าก็ได้ยินคำสั่งของคุณชายแล้ว คงต้องล่วงเกินแล้ว!”
พูดจบก็บอกเป็นนัยให้สาวใช้ข้างกายสองคน คุมตัวนางทั้งซ้ายทั้งขวาก่อนจะพาเดินออกไป ไม่เปิดโอกาสให้นางได้เผชิญหน้ากับเยี่ยนมี่เอ๋อร์อีก สาวใช้ใหญ่ข้างกายฮูหยินใหญ่มีข้อแตกต่างใหญ่ๆ จุดหนึ่งที่ไม่เหมือนพวกนาง นั่นก็คือสาวใช้ใหญ่ที่มีฝีมือข้างกายนาง เพื่อที่จะอบรมสั่งสอนพวกลูกหลาน ภายหลังก็จะได้เป็นอนุภรรยา เจียจือนั้นก็ถูกกำหนดเพื่อเตรียมเป็นอนุภรรยาให้คุณชายใหญ่ แต่กลับถูกคุณชายใหญ่ปฏิเสธอย่างเย็นเยียบ ทว่าในเวลานั้นคุณชายใหญ่ให้เหตุผลว่ายังไม่ได้แต่งงาน ไม่ควรที่จะรับอนุ แต่เมื่อมองยามนี้ ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็ยังคงไม่มีท่าทีว่าจะละทิ้งความคิดที่จะส่งคนเข้าไปในห้องคุณชายใหญ่ และเจียจือก็ไม่มีความคิดจะละทิ้งตำแหน่งอนุภรรยาเช่นกัน
ที่น่าเสียดายก็คือ อย่าพูดเลยว่าคุณชายใหญ่และสะใภ้ใหญ่เข้ากันได้ดั่งดนตรีที่บรรเลงสอดประสาน ทั้งรักกันได้อย่างหวานชื่น ถึงแม้คุณชายใหญ่จะไม่มีความรู้สึกอะไรกับสะใภ้ใหญ่ แต่ก็ไม่ต้องการสาวใช้ข้างกายของนางอย่างแน่นอน แค่อนุภรรยาหนิงคนเดียวก็มากเกินพอแล้ว!
“มี่เอ๋อร์ เจ้านอนพักสักหน่อยเถิด ข้าจะไปดูว่าแผนการเดินทางของท่านพ่อและท่านแม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง!” ซั่งกวนเจวี๋ยเผยยิ้มกล่าวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “ของพวกนี้ ค่อยๆ จัดเก็บก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนจัดการในครั้งเดียว!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขอบตาดำคล้ำเล็กน้อย ทั้งดวงตายังยากที่จะปกปิดความเหนื่อยล้า นั่นเป็นผลเพราะเมื่อคืนไม่ได้นอนทั้งคืน ถลึงตามองผู้ร้ายที่เป็นตัวต้นเหตุสร้างเรื่องให้ตนไปที ก่อนเยี่ยนมี่เอ๋อร์จะพยักหน้า คล้อยหลังจื่อหลัวและเซียงเสวี่ยที่ลอบยิ้มในใจก็ประคองนางขึ้นบันไดไป
“สะใภ้ใหญ่ เอาแต่เล่นสนุกทุกคืนนั้นไม่ดีนะเจ้าคะ จะเสียสุขภาพเอา!” คำพูดน่าขันเช่นนี้มีเพียงเซียงเสวี่ยที่กล้าพูด จื่อหลัวจัดเตรียมเตียงนอนให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เสร็จแล้วก็ลงไป หลังจากเซียงเสวี่ยล้างเครื่องประทินโฉมให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์แล้ว มองเห็นขอบตาที่นับวันก็ยิ่งดำคล้ำของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็หัวเราะออกมาตรงๆ
“เด็กโง่…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยิกแก้มนางไปที ก่อนจะพูดอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง “เจ้าอย่าพูดเลย ข้านั้นแทบจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว…ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเขาได้เรียนวิชานอกรีตอย่างรวบรวมพลังหยินมาเพิ่มพลังหยางอะไรนั่นหรือเปล่า ดีที่ยังเป็นข้า หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคาดว่าคงจะทนไม่ไหวไปตั้งนานแล้ว”
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้แล้วเจ้าค่ะ” เซียงเสวี่ยก็กล่าวอย่างสงสารอยู่บ้าง “อย่างไรให้แม่นมจ้าวเตรียมยาบำรุงให้ท่านสักหน่อยดีกว่า! คุณชายใหญ่คนนี้ก็ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจเสียบ้าง!”
“เอาเถิด เจ้าไปจัดการเรื่องของเจ้าเถิด! ข้าได้นอนสักหน่อยก็คงดีขึ้นแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หาวออกมาอย่างไม่งามนัก ก่อนจะเอนตัวนอนลงไป ไม่นานก็ล่วงสู่นิทราทันที…
“อวี่ฮ่าว เจ้าคิดว่าชิงหวั่นเป็นอย่างไร?” ซั่งกวนเจวี๋ยไม่ได้พบสองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าว ทั้งสองคนนั้นออกไปจากจวนตั้งแต่เช้าก็ยังไม่กลับมา ดังนั้นจึงเปลี่ยนแผนไปหาซั่งกวนอวี่ฮ่าวที่กำลังกลัดกลุ้มกับเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ ไม่คิดอ้อมค้อมอันใดก็ถามออกไปตรงๆ ทันที
“พะ พี่ใหญ่ ท่านพูดอะไรกัน!” อวี่ฮ่าวคิดว่าแต่ไหนแต่ไรตนเองก็ไม่เคยร้อนตัวขนาดนี้มาก่อน หรือเรื่องที่ตนแอบไปหาหญิงสาวในยามค่ำคืนนั้นถูกคนพบเข้าแล้ว? ไม่น่าใช่ เขาระมัดระวังเป็นอย่างมาก ทุกครั้งล้วนไม่เคยทำให้ผู้ใดได้สงสัย!
“มีคนพบเจ้าและชิงหวั่นอยู่ด้วยกัน!” ซั่งกวนเจวี๋ยแสร้งกล่าวคลุมเครือกับเขา ท่าทีร้อนตัวเช่นนั้นของอวี่ฮ่าวทำให้เขาคิดว่าการคาดการณ์ที่ไม่มีเหตุผลของมี่เอ๋อร์นั้น ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาทันที มิเช่นนั้นเด็กคนนี้ก็คงไม่มีอาการเช่นนี้หรอก
“ใคร?” อวี่ฮ่าวไม่ทันได้คิดก็หลุดปากออกไป ในหัวนั้นจัดกลุ่มคนที่น่าสงสัยไปไว้อีกทางอย่างรวดเร็ว กระนั้นก็ยังคงคิดไม่ออก
“เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูก!” ความสงสัยในใจของซั่งกวนเจวี๋ยได้รับการพิสูจน์แล้ว คิดไม่ออกอยู่บ้างว่าเหตุใดอวี่ฮ่าวกับชิงหวั่นจึงได้…เฮ้อ ช่างน่าปวดหัวเสียจริง!
“ข้ารู้!” อวี่ฮ่าวก้มหน้าลง ดูท่าเขาจะดีใจจนลืมตัวไปหน่อย คิดว่าปิดบังน้องสาวของชิงหวั่นและสาวใช้พวกนั้นได้ก็สามารถปิดบังผู้คนทั้งหมดได้ คาดไม่ถึงว่าการกระทำของตนจะถูกคนพบเข้า…หากเขาทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่เออออตามน้ำไป นั่นก็น่าหงุดหงิดแล้ว
“เรื่องนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ เจ้าลองว่ามาซิ!” ซั่งกวนเจวี๋ยคิดว่าเขายอมรับเรื่องที่เกิดความรู้สึกกับชิงหวั่นพวกนี้ ขอเพียงแค่ทั้งสองคนยังไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์อย่างจริงจังอันใด เรื่องทั้งหมดก็ยังคงทันอยู่
“ข้าจะแต่งงานกับนาง!” อวี่ฮ่าวเงยหน้าขึ้นมา กล่าวอย่างจริงจังเป็นอย่างยิ่ง “เป็นลูกผู้ชาย ทำแล้วก็ไม่ควรหลีกหนี แม้ว่าชิงหวั่นจะดื้อดึง ไม่ยอมใจอ่อนมาโดยตลอด แต่จูบก็จูบไปแล้ว กอดก็กอดไปแล้ว เรื่องที่แอบเข้าห้องนางก็ถูกท่านรู้แล้ว แม้นางจะไม่อยากแต่งก็คงไม่มีทางเลือกแล้ว!”
อะ อะไรนะ? ซั่งกวนเจวี๋ยแทบจะสำลักตาย! จูบแล้ว? กอดแล้ว? ดึกดื่นมืดค่ำลอบเข้าห้องก็ทำมาแล้ว? เขายังคิดว่าอวี่ฮ่าวรักนางข้างเดียวเสียอีก หรือมู่หรงชิงหวั่นคิดจะเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อน จึงได้ลอบส่งความนัยอะไรให้กับอวี่ฮ่าว ดังนั้นเด็กคนนี้จึงทำเรื่องบ้าคลั่งอย่างไม่สนใจอะไร?
“พี่ใหญ่?” อวี่ฮ่าวรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง ร้องเรียกออกไปอย่างระวัง
“มีเพียงแค่นี้? ไม่ได้…แค่กๆ…ไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ?” จู่ๆ ซั่งกวนเจวี๋ยก็พบว่าตัวเองนั้นแทบไม่รู้จักน้องชายคนนี้เลย เพราะเป็นลูกอนุภรรยา ไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นเขาอวี้ฉิงไปเรียนรู้ระบบระเบียบต่างๆ กลับต้องอาศัยอยู่ข้างกายอนุภรรยาหวังและท่านแม่อย่างสงบเสงี่ยม ทำเรื่องที่ลูกชายควรทำอย่างไม่ปริปากอันใด แต่ไหนก็ไรก็ไม่แก่งแย่งชิงดี ให้อะไรเขา เขาก็ล้วนรับไว้อย่างเชื่อฟัง ให้เขาทำอะไร เขาล้วนยินดีทำโดยไม่หวังผลอันใด เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ไม่โตดีผู้หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าเขากับชิงหวั่นจะ…แค่กๆ หยุดก่อน ไม่ควรคิดเลยเถิดไปไกล!
“ไม่มี!” อวี่ฮ่าวใบหน้าแดงก่ำ ค้อมหน้าลงกล่าวกระอึกกระอัก ชิงหวั่นนับวันก็ยิ่งอ่อนโยน ทั้งนับวันก็ยิ่งชอบความใกล้ชิดของเขา แต่ทั้งสองคนล้วนรู้ดี อะไรที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ก็ยังคงไม่อาจก้าวข้ามได้ ถึงแม้ว่าเขาจะปรารถนาเป็นอย่างมาก แต่ก็จะเก็บเรื่องที่น่างดงามที่สุดและวิเศษที่สุดนั้นไว้ตอนคืนวันเข้าหอ สิ่งเดียวที่ทำให้เขากลัดกลุ้มก็คือชิงหวั่นยังไม่ยอมใจอ่อน ทั้งยังไม่ยอมให้เขาตามจีบนางอย่างเปิดเผย
“ดังนั้นเจ้าจึงจงใจเอาอกเอาใจพี่ใหญ่มู่หรง? อยากให้พี่ใหญ่มู่หรงพูดถึงเจ้าแต่เรื่องดีๆ?” ซั่งกวนเจวี๋ยหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ยังคงคิดว่าในที่สุดเด็กคนนี้ก็กล้าคิดกล้าทำบ้างแล้ว ไม่ได้เอาแต่เชื่อฟังกฎสามข้อที่อนุภรรยาหวังพูดอะไรนั่น (ห้ามแก่งแย่งชิงดี ห้ามออกหน้าออกตา ห้ามลืมตัวไม่รู้คุณ) รู้ว่าเป็นชายชาติชาตรีก็ควรยืดอกยืนอยู่เบื้องหน้าผู้คน ทำตัวเองให้เป็นที่สนใจ แต่คาดไม่ถึงว่าพอกล้าคิดกล้าทำขึ้นมา กลับคิดประจบประแจงพี่ชายภรรยาที่ยังไม่ทันได้เป็นด้วยซ้ำ
“ใช่…” อวี่ฮ่าวก้มหัวต่ำลงไปอีก ที่แท้เขาล้อมหน้าล้อมตามู่หรงปั๋วเย่ก็เพื่อดึงดูดความสนใจ เขาว่าแล้ว ดึกๆ ดื่นๆ ใครเล่าที่จะไม่ยอมหลับนอนมาเดินตามติดตัวเอง!
“แม้ว่าชิงหวั่นจะรูปลักษณ์งดงาม แต่ความคิดความอ่านของนางกลับไม่ได้หลักแหลมมากนัก!” ซั่งกวนเจวี๋ยยังคงติดภาพจำมู่หรงชิงหวั่นในงานประลองยุทธ์เมื่อปีนั้น ช่วงเวลาที่ไม่สนใจฐานะของตนเองและความรักนวลสงวนตัวของผู้หญิง กล่าวสารภาพรักต่อลู่เหยา ทั้งยังมีคุณหนูสุราที่กล่าววิจารณ์ว่า ‘สมองหมู’ อย่างไม่ไว้หน้า ส่วนความประทับใจอย่างอื่นก็ไม่มีแล้ว
“ข้าก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงที่ฉลาดมากมายนัก!” อวี่ฮ่าวกล่าวยืนยัน อนุภรรยาหวังก็เป็นผู้หญิงที่หลักแหลมคนหนึ่ง เทียบกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่แม้จะไม่ถึงกับโง่เขลาเบาปัญญา แต่กลับมีไหวพริบอยู่มากโข หากไม่ใช่ว่าอนุภรรยาหวังช่วยพลิกแพลงสถานการณ์ ยังไม่รู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะเสียเปรียบอนุภรรยาหนิงและอนุภรรยาอู๋ไปตั้งเท่าใด แต่ในทางตรงกันข้าม เขากลับชอบหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเสียมากกว่า ไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดของตน ผู้หญิงที่ฉลาดมากไปไม่ว่าอะไรก็ล้วนคุ้นชินไปกับการวางแผนเสียหมด ตัวเขาเองก็ได้เป็นคนเช่นนั้นแล้ว หากแต่งกับภรรยาที่เป็นเช่นนั้นอีกคน แม้แต่สวรรค์ก็ยังรู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ว่า…เหอะๆ แม้ว่าชิงหวั่นจะเปลี่ยนเป็นคนเช่นนั้นเขาก็ยังจะชอบอยู่ดี
“หญิงสาวที่หลักแหลมจะสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าได้!” ซั่งกวนเจวี๋ยนึกไปถึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ภรรยาตัวน้อยที่เขาสามารถวางใจฝากฝังเรื่องทางด้านหลังให้คนนั้น
“ข้าเป็นเพียงลูกนอกสมรส ไม่ได้มีภาระรับผิดชอบและหน้าที่มากมายถึงเพียงนั้น ทั้งยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ภรรยามาแบกรับความรับผิดชอบและหน้าที่ที่มากเกินไป!” อวี่ฮ่าวกล่าวอย่างหนักแน่น ชิงหวั่นไม่ชอบให้คนมาใช้แบกภาระรับผิดชอบ นางย่อมไม่คิดจะแก่งแย่งอำนาจหรือแทรกแซงเรื่องที่ไม่ควรยุ่ง เขาคิดว่าดีแล้ว รอหลังจากพวกเขาแต่งงาน เขาก็จะสามารถออกท่องเที่ยวไปทั่วกับนาง พูดแล้วก็น่าอาย ความรู้ของเขาจำกัดแค่ในตำรา ยังไม่กว้างขวางเท่าชิงหวั่นมากนัก
ใช่แล้ว! เขาเป็นเพียงลูกนอกสมรสคนหนึ่ง! เวลานี้ซั่งกวนเจวี๋ยอยากจะตำหนิอนุภรรยาหวังเป็นอย่างมากที่ปลูกฝังความคิดทดแทนบุญคุณ รู้จักเสงี่ยมเจียมตัวและเรื่องฐานะอะไรพวกนั้นให้กับอวี่ฮ่าว แม้จะทำให้อวี่ฮ่าวเจียมตัวไม่เหมือนอวี่ไข่ที่ไม่กระจ่างแจ้งในฐานะตนเอง แต่ก็ทำให้อวี่ฮ่าวเยือกเย็นไม่สนใจต่อภาระความรับผิดชอบเช่นกัน เดิมทีเขาก็มีน้องชายไม่กี่คน คนที่ตามติดๆ มาแบ่งเบาภาระของเขาก็ดันมาเป็นคนที่ประสงค์ร้ายผู้นั้น กว่าอวี่ฮ่าวจะเติบโตก็ไม่ใช่ง่ายๆ ทั้งยังมีความสามารถ เสียดายที่กลับไม่มีความคิดทะเยอทะยาน ซั่งกวนเจวี๋ยอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก
“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดเพียงชั่วครู่?” ซั่งกวนเจวี๋ยกล่าวถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
“พี่ใหญ่…” อวี่ฮ่าวมองสีหน้าที่ลำบากใจของซั่งกวนเจวี๋ย ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกล่าว “ที่จริงข้าชอบชิงหวั่นมาตั้งนานแล้ว!”
ซั่งกวนเจวี๋ยรู้สึกว่ามีเสียงฟ้าผ่าดังลั่นอยู่เหนือศีรษะ ตั้งนานแล้ว? หมายความว่าสี่ปีก่อน? หรืออาจจะนานกว่านั้น? ยามนั้นอวี่ฮ่าวเพิ่งจะเป็นเด็กอายุสิบสองปีคนหนึ่งที่มีรูปลักษณ์คล้ายผู้ใหญ่เท่านั้นเอง เขาก็ชอบชิงหวั่นเสียแล้ว?
“จริงๆ นะ!” อวี่ฮ่าวคิดว่าซั่งกวนเจวี๋ยไม่เชื่อ ก็กล่าวลนลาน “ครั้งแรกที่ข้าพบชิงหวั่นก็ชอบนางมากๆ แล้ว! แต่ยามนั้นนางเป็นดวงจันทราที่ลอยเด่นกระจ่างฟ้า ส่วนข้าเป็นดอกหญ้าริมทาง ทำได้เพียงแหงนมองนางอยู่ไกลๆ ขอเพียงได้มองนางมากขึ้นเสียหน่อยก็สุขสมใจแล้ว ไม่เคยคิดว่าจะสามารถใกล้ชิดนางได้ถึงเพียงนี้…ดังนั้น พี่ใหญ่ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าล้วนไม่ปล่อยชิงหวั่นไป!”
ซั่งกวนเจวี๋ยถูกฟ้าผ่าจนวิญญาณหลุดกระเจิดกระเจิง…ครั้งแรกที่อวี่ฮ่าวพบชิงหวั่นคือหกปีที่แล้ว เวลานั้นเขาเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง…
———————————–