ระหว่างมองคนของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์จากไปอย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนตาปริบๆ คนในยุทธจักรที่เหลืออิจฉาเหลือเกิน แต่ว่าไม่มีคำสั่งของหลี่มู่ พวกเขาก็ไม่กล้าไปไหน ขนาดขยับยังไม่กล้า
พวกดวงซวยที่ธนูปักเข่าพวกนั้นเป็นตัวอย่างให้เป็นอย่างดี
ตอนนี้พวกเขายังนอนร้องโอดโอยบนพื้นอยู่เลย
ยามที่หลี่มู่กวาดสายตามา ต่อให้เป็นหัวใจของพวกจอมยุทธ์รุ่นเก่าก็ยังเต้นตุบๆ อย่างบ้าคลั่ง
ไม่มีใครไม่กลัวตาย
“เอ่อ…ขอโทษด้วยจริงๆ มานานขนาดนี้แล้ว ลืมถามไปเลย พวกท่านทั้งหลายมาที่ว่าการอำเภอหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”
หลี่มู่ถามขึ้น
คนในยุทธจักรพวกนี้ได้ยินคำถาม น้ำตาก็แทบจะไหลลงมาอยู่รอมร่อ
ใช่แล้ว พวกเขามาที่ว่าการทำไมกัน?
ทำไมต้องมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่?
อยู่ในอำเภอไปเงียบๆ มอบเงินค่าไถ่และทรัพย์สมบัติไปอย่างว่าง่าย พาคนในห้องขังจากไป แล้วหายไปจากอำเภอขาวพิสุทธิ์แต่โดยดี หากทำเช่นนั้น เรื่องอะไรพวกนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้นแล้วใช่หรือไม่?
แต่ว่า เหตุใดพวกเขาถึงต้องตามคนของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์มาคาดโทษยังที่ว่าการแห่งนี้ด้วย?
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า คนสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์แค่จ่ายค่าตอบแทนด้วยสาวงามก็มีชีวิตกลับไปได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ทิ้งลูกแกะรอเชือดอย่างพวกเขาให้เผชิญหน้ากับชะตาที่ยังไม่รู้กับราชาปีศาจหลี่มู่ผู้ไม่ประสงค์ดี จะทำอย่างไรดี?
เป็นเพราะไอ้แก่สมควรตายนั่น
เหล่าชาวยุทธ์ต่างโกรธแค้นขึ้นมา
เหตุที่พวกเขารวมตัวกันมาที่ว่าการครั้งนี้ ความจริงหลักๆ แล้วก็เพราะโจวเจิ้นไห่ซึ่งบอกว่าตัวเองเป็นน้องชายของผู้อาวุโสสำนักกระบี่คนนั้นคอยยุยงใส่ไฟ ขยายความไม่พอใจและความโกรธแค้นที่มีต่อหลี่มู่ของพวกเขา ทั้งยังให้ความหวังกัน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เอาชนะหลี่มู่ได้แน่ พวกเขาถึงได้มา
สุดท้ายตอนนี้…นี่มันโศกนาฏกรรมชัดๆ
เห็นศพของของเว่ยชง ผู้อาวุโสของสำนักดับนิวรณ์ หากตอนนี้ยังมีคนกล้าเอ่ยคาดโทษว่าอาศัยอะไรมากักขังคนของพวกเขาทำนองนี้ละก็ เช่นนั้นสมองของมันคงถูกลาเตะทิ้งไปแล้วเป็นแน่
“ใต้เท้าหลี่ พวกเรามาส่งมอบเงินค่าไถ่” ผู้อาวุโสพรรคมังกรฟ้าปราดเปรื่อง โค้งตัวคำนับ
คนอื่นก็ราวตื่นจากความฝันทันที
“ใช่แล้วๆ พวกข้ามาก็เพื่อส่งมอบเงินค่าไถ่”
“ข้ามาเพื่อศิโรราบให้กับความองอาจของใต้เท้า”
“ข้าตั้งใจมาขอให้ใต้เท้ายกโทษให้โดยเฉพาะ ผู้เยาว์ในตระกูลไม่รู้ความ ทำให้ใต้เท้าโกรธเคือง พวกเรายินดีรับโทษทุกอย่าง” กลุ่มบุคคลที่นับว่ามีหน้ามีตาในยุทธจักรทิศพายัพ โดยปกติแล้วกำแหงอวดดี ทว่าตอนนี้แต่ละคนต่างเรียบร้อยว่าง่ายเหมือนลูกแกะเพิ่งเกิด บนใบหน้ามีรอยยิ้มประจบ ด้วยกลัวว่าจะทำให้หลี่มู่โกรธเคือง
เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องกลัวตายหรือไม่แล้ว
ถ้าล่วงเกินราชาปีศาจหลี่มู่ วันข้างหน้า พรรค สำนัก และตระกูลของเขาจะหากินอย่างไรในยุทธจักรแถบนี้? พวกเขาล้วนมีบ้านมีขีดจำกัด มีภาระครอบครัว ต่อให้หนีก็หนีไม่พ้นอยู่ดี หากราชาปีศาจหลี่มู่โมโหขึ้นมา พวกเขาก็อาจจะกลายเป็นเถ้าธุลีไปได้
นี่เป็นเรื่องของผลประโยชน์
ผลประโยชน์ โดยเฉพาะผลประโยชน์ของตระกูลและสำนักที่สำคัญยิ่งกว่าความเป็นความตาย
ทว่าหลี่มู่กลับเปิดโปงความเจ้าเล่ห์ของพวกเขาอย่างไร้เมตตา
“จ่ายเงินค่าไถ่? ไหนค่าไถ่เล่า? ทำไมจึงไม่เอามาด้วย? ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้พูดกับพวกเจ้าไว้ชัดเจนมากแล้วว่า ขอแค่ไปจ่ายเงินค่าไถ่และรับคนที่คุกก็ได้แล้ว ไยจึงต้องมาที่ว่าการอำเภอเล็กๆ? อีกทั้งจากที่ข้ารู้มา พวกเจ้ามาถึงอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้สองสามวันแล้ว แต่ก็ยึกยักไม่ยอมจ่ายเงินค่าไถ่ ไม่อยากจ่ายใช่หรือไม่?”
หลี่มู่พูดเสียงเข้ม
อันที่จริงครึ่งหลังเป็นคำพูดที่เขากล่าวไปมั่วๆ แต่กลับตรงกับความจริงทั้งหมด
คนในยุทธจักรยังอยากจะแก้ตัวอะไรอีก แต่หลี่มู่ไม่ให้โอกาส
“ในเมื่อมาแล้ว เช่นนั้นข้าคงปล่อยให้พวกเจ้ามาเสียเที่ยวไม่ได้…” ในใจของหลี่มู่มีความคิดอะไรไว้นานแล้ว เขาตวาดขึ้น “ทหาร เตรียมหมึกพู่กัน”
มือปราบที่รอคำสั่งอยู่นอกที่ว่าการเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นวางโต๊ะ ข้างบนวางหมึกพู่กันไว้พร้อม
“มีตัวเลือกให้พวกเจ้าสองข้อ เขียนหนังสือประกันตัวดีๆ จากนั้นก็ไปที่คุกรอคนมาประกันตัว” หลี่มู่ติดอกติดใจกับบทบาทราชาปีศาจ พูดด้วยจิตสังหารพวยพุ่ง “ไม่เช่นนั้นก็ข้าส่งพวกเจ้าไปปรโลก”
“นี่…”
“ใต้เท้า ท่าน…มะ…มันข่มขู่กันเกินไปหน่อยกระมัง”
“นี่มันจะบังคับขู่เข็ญกันเกินไปแล้ว พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อจ่ายเงินค่าไถ่ ใต้เท้า…ถ้าเรื่องลือออกไป ความน่าเชื่อถือของใต้เท้าก็หมดสิ้นแล้ว”
จอมยุทธ์หน้าเก่าทั้งหลายพูดอึกอัก
หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็น
“ถ้าจ่ายค่าไถ่อย่างว่าง่าย ข้าปล่อยพวกเจ้าไปตั้งนานแล้ว แต่พวกเจ้ากลับอิดออด ทดลองความอดทนของข้าและล้ำเส้นหลายครั้ง วันนี้ยังมาหาถึงที่อย่างดุดันอีก หากมิใช่ข้าเยี่ยมยุทธ์ไร้เทียมทาน เกรงว่าพวกเจ้าคงวางแผนจัดการข้าไปแล้ว…ไม่ต้องพูดให้มากความ ตัดสินเอาเองก็แล้วกัน เขียนรอด ไม่เขียนตาย!”
เหล่าจอมยุทธ์อาวุโสทั้งหลายจนคำพูด
เรื่องนี้พวกเขาสู้ด้วยเหตุผลไม่ได้จริงๆ
หากไม่เห็นท่าทางเหี้ยมโหดของราชาปีศาจหลี่มู่ พวกเขาแต่เดิมวางแผนว่าจะรวมตัวกันโจมตี สร้างความลำบากให้กับที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์
หลี่มู่ไม่ปล่อยให้พวกจิ้งจอกเฒ่าพวกนี้ได้แก้ตัวอีกต่อไป
เขากวาดตามองจอมเวทวัยกลางคนชุดดำและเด็กชายข้างกายที่อยู่หน้าประตูที่ว่าการ แต่ก็ไม่ได้สนใจ หมุนตัว หยิบพู่กันขึ้นมา เอียงหัวขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเขียนไปบนกระดาษอย่างคล่องแคล้วลื่นไหล
ในช่วงที่ผ่านมานี้ ราชาปีศาจพอจะเข้าใจอักษรของโลกนี้บ้างแล้ว แต่ลายมือพูดได้ยากว่าสวย โย้เย้ยึกยือราวงูเลื้อย เขาเขียนอะไรมากมาย จากนั้นก็ตรวจทานอย่างละเอียดอีกหลายรอบ แล้วจึงจะโยนพู่กันไปอีกด้าน
“ของที่ข้าเขียนบนกระดาษแผ่นนี้ ใครเอามาได้ก็จะไปจากอำเภอขาวพิสุทธิ์ได้อย่างปลอดภัย หึๆ ของทั้งหมดสิบกว่าอย่าง เอามาก่อนปล่อยก่อน หากข้ารวบรวมสิ่งของที่อยู่บนนี้ได้ครบแล้ว คนไม่กระตือรือร้นที่เหลือก็อยู่ต่อที่อำเภอขาวพิสุทธิ์ให้ดีๆ แล้วรับโทษบำเพ็ญประโยชน์ไปเสียเถอะ ชั่วชีวิตนี้ไม่ต้องคิดจะออกไปจากที่นี่แล้ว”
หลี่มู่พูดแล้ว ก็ให้ทหารองครักษ์แขวนกระดาษแผ่นนี้
คนในยุทธจักรพวกนี้มองไป วิเคราะห์อย่างละเอียดถึงจะเข้าใจลายมือของหลี่มู่
สิ่งของบนกระดาษแผ่นนี้ไม่ใช่ตำราเคล็ดวิชาในยุทธจักรหรือทรัพย์สมบัติอะไร แต่เป็นต้นไม้ หยก หิน นก แมลง ดอกไม้ใบหญ้า ปลา ของสะเปะสะปะต่างๆ ข้างหลังของทุกชิ้นมีจำนวน ปี คุณสมบัติต่างๆ กำกับเอาไว้ นับว่าเขียนได้ชัดเจนนัก
“โอกาสมีเพียงแค่ครั้งเดียว ใครมอบจำนวนของชนิดหนึ่งได้ครบก่อนก็ไปได้ เมื่อข้ารวบรวมของที่ต้องการครบก็ไม่มีโอกาสที่ดีขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าคิดเอาเองแล้วกัน”
หลี่มู่พูดพลางยิ้มตาหยี
รอยยิ้มเช่นนี้ เมื่อตกอยู่ในสายตาของเหล่าจอมยุทธ์หน้าเก่าก็เหมือนรอยยิ้มเหี้ยมของปีศาจร้ายชัดๆ
ถึงแม้จะไม่รู้ว่า ‘โทษบำเพ็ญประโยชน์’ ที่ราชาปีศาจพูดถึงคืออะไร แต่คิดดูแล้วจะต้องน่ากลัวมากแน่นอน
แต่จะว่าไปแล้วครั้งนี้สิ่งที่ราชาปีศาจหลี่มู่ขูดรีดไม่ใช่ตำราเคล็ดวิชาต่อสู้ นี่ทำให้พวกเขาวางใจลงไปมาก ของบางอย่างที่ดูแล้วเป็นประเภทวัสดุก่อสร้าง ถึงแม้จะหายาก แต่เทียบกับตำราเคล็ดวิชาแล้วหารวบรวมง่ายกว่ามาก ซ้ำยังไม่กระทบถึงผลประโยชน์สำคัญของตระกูลและสำนักด้วย
หัวหน้ามือปราบคนหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างหัวไวว่า “ทุกท่าน โอกาสมีจำกัด มาถึงก่อนได้ก่อน คนนั้นเขียนก่อน…”
จิ้งจอกเฒ่าในยุทธจักรทั้งหลายกรูกันไป
หลี่มู่แอบชอบอกชอบใจ
เขาจำหัวหน้ามือปราบคนนี้ได้ ชื่อว่าจินเซียวหราน เป็นคนสนิทของหม่าจวินอู่ รู้งานดี วันหลังเขาสามารถเลี้ยงดูไว้ได้
ส่วนจ้าวหลิงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ครั้นเห็นภาพนี้ ความประทับใจต่อหลี่มู่ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ไม่เพียงแต่ชั่วช้าสามานย์ แต่ยังขูดรีดหนักหน่วง ไม่มีเรื่องชั่วอะไรที่ไม่ทำจริงๆ
หลี่มู่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เดินไปยังเรือนด้านหลัง
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็หันกลับไปประสานมือให้กับจอมเวทชุดดำหน้าประตู ถือว่าได้ทักทายกันแล้ว ทว่าไม่มีความคิดจะเดินไปผูกสัมพันธ์ทำความรู้จัก
จะว่าอย่างไรดี
ถึงแม้สหายผู้นี้จะเอ่ยว่าสนับสนุนหลี่มู่ แต่จากความรู้สึกเขาเหมือนแค่พูดไปเท่านั้น ในยามที่เผชิญกับอันตรายจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เว่ยชงลอบโจมตีไล่สังหารวันนั้น ก็ไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะลงมือช่วยจริง ทว่าตอนที่ชิงเลือดเจียวกลับกระตือรือร้นนัก
หากอยู่บนโลก นี่คือพวกดีแต่พูดทว่าไม่ลงมือทำ
สำหรับพวกดีแต่พูด หลี่มู่ไม่สนใจอยากจะคบค้าสมาคมด้วย
อีกทั้งในวันนั้น เขาพอจะรู้สึกได้เลาๆ จอมเวทชุดดำคนนี้เป็นไปได้มากว่าจะเป็นสมาชิกขั้วอำนาจของเชื้อพระวงศ์ฉินตะวันตกสักคนหนึ่ง เช่นนั้นหลี่มู่ยิ่งให้ความเคารพและพยายามอยู่ห่างๆ
เวลาของเขาล้ำค่ามาก ต้องฝึกฝนวิชายุทธ์และออกไปจากดาวดวงนี้ให้เร็วที่สุด ไม่มีเวลาไปสนใจละครน้ำเน่าและการคบค้ากับบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิที่ว่า การแย่งชิงอำนาจฉกฉวยผลประโยชน์มีแต่จะให้จอมยุทธ์ใจวอกแวก
“หญิงรับใช้ เจ้าจะมัวอึ้งอยู่ทำไม? ตามข้าไปเรือนด้านหลัง”
หลี่มู่ตะโกนบอกจ้าวหลิง แล้วเดินไปเรือนด้านหลังทันที
จ้าวหลิงราวสะดุ้งตื่นจากฝัน มีอาการระแวดระวัง ในหัวคิดแต่ว่าหากหลี่มู่ลงไม้ลงมือจริงๆ จะทำอย่างไร นางเดินตามหลังเขาอยู่ไกลๆ ท่าทางเหมือนลูกแกะรอเชือด ก่อนเข้าไปในเขตเรือนด้านหลัง
ใบหน้าจอมเวทชุดดำวัยกลางคนเผยรอยยิ้มขื่น
ครั้งนี้ตามมาในทันทีเพราะคิดที่จะช่วยหลี่มู่จริงๆ
ศึกที่แอ่งน้ำตกข้างล่างน้ำตกเก้ามังกรวันนั้น เขาลังเลเพราะฐานะของเว่ยชง หลังจากนั้นหลี่มู่และเว่ยชง หนึ่งคนหนีหนึ่งคนไล่ตาม เขาก็ตามไปคิดจะแอบช่วยหลี่มู่ แต่เสียดายที่คลาดกันก่อน หลังจากกลับมายังเมืองอำเภอ เขาก็เคยคิดทบทวนเช่นกัน
ครั้งนี้ได้ยินว่าหลี่มู่กลับมาอย่างปลอดภัย เขาตระหนักได้ว่าคุณค่าของหลี่มู่มากกว่าที่ตนประเมินไว้มาก ดังนั้นจึงตัดสินใจ ต่อให้ล่วงเกินขั้วอำนาจสำนักดับนิวรณ์ก็จะต้องช่วยเหลือและดึงหลี่มู่มาเป็นพวกให้ได้
แต่ใครจะรู้ หลี่มู่ในวันนี้แข็งแกร่งน่ากลัวกว่าเมื่อหลายวันก่อนหลายเท่า แกร่งจนกระทั่งเว่ยชงยังโดนบดขยี้ซึ่งหน้า เอาชนะอย่างราบคาบ ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปช่วยเลย
ช่างน่ากระอักกระอ่วนนัก
หวางเฉินตื่นตะลึงกับการยกระดับพลังของหลี่มู่นัก ในใจยิ่งอยากดึงเขามาเป็นพวก หากได้การช่วยเหลือจากบุคคลที่เก่งกาจเช่นนี้ เชื่อว่าสถานการณ์ในราชสำนักขององค์หญิงและองค์ชายสองพี่น้องจะไม่ยากลำบากแบบนี้แล้ว
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ตัว จากการเพิ่มพลังอย่างรวดเร็วของหลี่มู่ ระดับความยากก็จะยิ่งมากขึ้น
นี่ทำให้เขายิ่งเสียใจที่ไม่ได้ยืนหยัดสนับสนุนหลี่มู่ในศึกมังกรเจียววันนั้น
หากคืนนั้นเขาช่วยหลี่มู่เอาชนะเว่ยชงโดยไม่สนค่าตอบแทนใดๆ และได้รับความซาบซึ้งใจจากหลี่มู่ เช่นนั้นตอนนี้หลี่มู่อาจจะยิ้มต้อนรับเขาก็เป็นได้ ต่อให้ไม่อาจดึงเข้าฝั่งขององค์หญิงได้ทันที แต่อย่างน้อยก็ผูกมิตรได้บ้าง ไม่เหมือนกับตอนนี้ แม้แต่จะเข้าไปชวนคุยยังยากเย็น
“พลาดเสียแล้ว”
หวางเฉินถอนหายใจ
แต่ว่า เขาไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ
ขอแค่อยู่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์ อย่างไรก็ยังมีโอกาสทำอะไรได้บ้าง
“ท่านอาจารย์ ขุนนางเมืองคนนี้เก่งกาจเหลือเกิน” เด็กชายน้อยฉินเจิ้งที่อยู่ข้างๆ รำพึงรำพัน ดวงตาฉายประกายเลื่อมใสและเฝ้าฝันถึง “หากข้ามีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ก็คงดี จะได้ทำให้พี่หญิงไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องลำบาก”
หวางเฉินลูบศีรษะของเด็กชายแล้วพูดขึ้น “ฟังคำขององค์หญิง ตั้งใจฝึกยุทธ์และอ่านตำรา เมื่อท่านเติบใหญ่จะได้แบกผืนฟ้าเพื่อองค์หญิง”
เด็กชายพยักหน้า
ต่างกล่าวกันว่าเด็กยากไร้เป็นผู้ใหญ่เร็ว แต่ที่จริงแล้วเด็กในราชวงศ์โตเร็วรู้ความ น่ากลัวว่าจะเร็วยิ่งกว่าเด็กยากไร้มากนัก
“ไปเถอะ วันหลังมีโอกาสจะพาท่านไปรู้จักกับขุนนางเมืองผู้นี้” หวางเฉินพูดยิ้มๆ
เขาพาเด็กชายไปจากที่ว่าการอำเภอ
ก่อนจากไป เขาจำสิ่งที่หลี่มู่เขียนบนกระดาษแผ่นนั้นได้ทั้งหมด
เขาสงสัยนัก หลี่มู่ขูดรีดของประหลาดพวกนั้นไปเพื่ออะไรกันแน่?
……………………………………………………