ตอนที่ 333 ขายหนังสัตว์ / ตอนที่ 334 ร้านผ้าสกุลโม่

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 333 ขายหนังสัตว์

หรูเอ๋อร์ดีใจสุดขีด นางโผไปถึงเบื้องหน้าของไป๋จื่อทันที แล้วยื่นมือกอดต้นขาของอีกฝ่ายไว้ “พี่ไป๋ดีที่สุดเลย”

อาอู่ก็รู้สึกเบิกบานใจ เขาชี้ไปยังเจ้าตัวเล็ก “เจ้าช่างร้ายกาจนัก เมื่อวานยังบอกว่าพ่อดีที่สุดไม่ใช่หรือ เหตุใดวันนี้เปลี่ยนใจเสียแล้วล่ะ”

ใบหน้าเล็กของหรูเอ๋อร์ฝังอยู่ในเสื้อผ้าของไป๋จื่อ หัวเราะคิกคักไม่ยอมหยุด

หูเฟิงยืนอยู่ข้างๆ มองภาพที่อบอุ่นนี้ ในใจคิดว่าในอนาคตเขาจะต้องมีบุตรสาวที่ติดเขาแจ และมีเสียงหัวเราะเสนาะหูเช่นระฆังเงินสักคนเช่นกัน นางจะต้องงดงามมาก งดงามยิ่งกว่าไป๋จื่ออย่างแน่นอน สายตาของเขาที่ทอดมองไปยังใบหน้าของไป๋จื่อในตอนนี้อบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง

ไป๋จื่อมองข้ามสายตาอบอุ่นของเขา นางหันหลังให้เขา แล้วจูงมือหรูเอ๋อร์เดินออกไปข้างนอกรั้ว

จ้าวหลานออกมาจากครัวด้านหลัง เห็นเงาหลังคนตัวใหญ่สาม ตัวเล็กหนึ่งเดินออกไปข้างนอก นางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา “ซู่เอ๋อ ก่อนหน้านี้เจ้ากลุ้มใจว่าจะลำบากที่หมู่บ้านนี้ กลัวว่าจะถูกคนรังแก ตอนนี้เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง ยังกลัวอยู่หรือไม่”

จ้าวซู่เอ๋อยิ้มจางๆ “มีแม่นางไป๋และอาเฟิงอยู่ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วเจ้าค่ะ ยิ่งท่านหัวหน้าหมู่บ้านยืนอยู่ข้างเดียวกับพวกข้า ข้าก็ไม่กลัวอะไรแล้ว”

จ้าวหลานตบมือของซู่เอ๋อเบาๆ พลางกล่าวเสียงนุ่มนวล “เจ้ากับอาอู่ล้วนเป็นคนดี ต่อไปก็อยู่กับพวกข้านี่แหละ มีพวกข้าอยู่ที่ใด ก็จะมีพวกเจ้าอยู่ที่นั่น”

จ้าวซู่เอ๋อรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก นางพยักหน้าพร้อมขอบตาแดงๆ “เจ้าค่ะ ขอบคุณท่านน้าหลานมาก”

“ขอบคุณอะไรกัน เมื่อบ้านใหม่เสร็จแล้ว ครอบครัวของพวกเจ้าก็ย้ายมาอยู่กับพวกข้านะ” จ้าวหลานโบกมือ

“ได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ พวกข้าอยู่ที่บ้านของท่านหัวหน้าหมู่บ้านก็ดีมากแล้ว” จ้าวซู่เอ๋อรีบตอบ เดิมทีนางคิดว่าเมื่อได้ส่วนเงินส่วนแบ่งจากการขายหนังสัตว์มาแล้ว จะให้อาอู่คืนค่าเช่าบ้านก่อนหน้านี้ให้แม่นางไป๋ นางช่วยพวกตนมามากแล้ว ไม่อาจขออะไรไปได้มากกว่านี้อีก

“บ้านของท่านหัวหน้าหมู่บ้านดีก็จริง แต่แม้บ้านของพวกเขาจะดีอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นบ้านของผู้อื่น ไหนเลยจะสบายใจเท่าอยู่บ้านของตนเองเล่า ต่อจากนี้ไปพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยกเจ้าและข้าอีกต่อไป” จ้าวหลานกล่าว

ในที่สุดน้ำตาที่จ้าวซู่เอ๋อพยายามกลั้นไว้ก็ไหลออกมา เหตุในนางถึงโชคดีเช่นนี้ เหตุใดครอบครัวของนางถึงโชคดีเช่นนี้ ถึงได้พบคนดีบนโลกอันโหดร้าย ไม่ใช่ญาติหรือมิตรแท้ๆ แต่กลับยื่นความช่วยเหลือให้พวกนางอย่างไม่เห็นแก่ตัว ทั้งยังช่วยเหลืออย่างไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน

จ้าวหลานเห็นพวกนางเป็นครอบครัวของตนเองจริงๆ ทีแรกอาจจะเป็นเพราะยังไม่มีความเชื่อใจเท่าไรนัก ทว่าตั้งแต่วันที่อาอู่ออกไปกลางดึกเพียงลำพัง เพื่อพาหูเฟิงและไป๋จื่อที่ได้รับบาดเจ็บจากใต้เนินต้นงิ้วกลับมา แม้กระทั่งไปที่ภูเขาลั่วอิงด้วยตัวคนเดียว ช่วยไป๋จื่อกลับมาจากปากเสือ นางก็รู้ว่าว่าจ้าวซู่เอ๋อและอาอู่เห็นพวกตนเป็นผู้มีพระคุณ แล้วไหนเลยนางจ้าวหลานจะไม่เห็นเช่นนั้น

“สตรีอย่างพวกเจ้าชอบร้องไห้นัก ซาบซึ้งหรือไม่ก็น้ำตาไหลเสียแล้ว เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ควรจะยิ้มสิ!” หูจ่างหลินกล่าวกลั้วหัวเราะอยู่ข้างๆ

“จริงด้วย ควรจะยิ้มถึงจะถูก!” จ้าวหลานหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้จ้าวซู่เอ๋อ ขอบตาของตนเองก็แดงเช่นนั้น นางได้รับความลำบากมาทั้งชีวิต แต่ก่อนนางมีชีวิตเพียงเพื่อจื่อเอ๋อร์ เห็นจื่อเอ๋อร์เป็นญาติเพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ ต่อมาพวกนางแม่ลูกมายังสกุลหู หูจ่างหลินดีกับนางมาก ถือว่ามีพระคุณต่อพวกนางสองคน ทั้งชีวิตนี้ชดใช้ให้อย่างไรก็ไม่หมด

นางค่อยๆ เห็นหูจ่างหลินและหูเฟิงเป็นญาติพี่น้อง ตอนนี้มีอาอู่และจ้าวซู่เอ๋ออีก ทั้งยังมีเด็กหญิงตัวเล็กที่น่ารัก ในที่สุดครอบครัวนี้ก็คึกคักขึ้นมาแล้ว

ตลาด

เมื่อหูเฟิงกับอาอู่เพิ่งวางแผ่หนังเสือและหนังหมาป่าที่หน้าตลาด ก็มีคนไม่น้อยมุงดูในทันที

“หนังสือผืนนี้ใหญ่มากจริงๆ เสือตัวนี้จะต้องหนักอย่างน้อยสามสี่ร้อยชั่งกระมัง”

“ข้าว่าไม่ใช่ คาดว่าจะต้องหนักถึงห้าร้อยชั่งทีเดียว”

……….

ตอนที่ 334 ร้านผ้าสกุลโม่

หูเฟิงปวดหัวเพราะเสียงเอะอะของฝูงชน จึงกล่าวเสียงเย็น “พวกเจ้าจะซื้อหรือไม่ หากจะซื้อก็เสนอราคามา ไม่ซื้อก็ไปเสีย”

สีหน้าของหูเฟิงเย็นชานัก ยามพูดจาก็เยือกเย็น ท่าทีกดข่มผู้อื่นทีเดียว อาอู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็มีรอยมีดบนใบหน้า บวกกับล่าเสือและหมาป่าตัวใหญ่ขนาดนี้มาได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา ครั้นเขาเอ่ยปาก คนที่ส่งเสียงดังเหล่านั้นก็เงียบไปในทันที ไม่กล้าพูดจามากความอีกแม้สักประโยค

เมื่อเห็นว่าผู้คนจะแยกย้ายกันไป ไป๋จื่อก็กล่าวกับชายวัยกลางคนผู้หนึ่งว่า “ท่านลุงผู้นี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าร้านรับซื้อหนังสัตว์เช่นนี้ในเมืองอยู่ที่ใด” คนที่มาจับจ่ายในตลาดส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านทั่วไป และข้ารับใช้ของครอบครัวที่ร่ำรวย ไหนเลยพวกขาจะมีเงินซื้อหนังสัตว์

ชายวัยกลางคนยิ้มตอบ “นับว่าเจ้าถามถูกคนแล้ว เมื่อครู่ก็คิดจะบอกพวกเจ้าอยู่เหมือนกัน หนังสัตว์คุณภาพดีเช่นนี้วางขายอยู่ตรงนี้คงจะขายไม่ได้ เจ้าว่าคนที่นี่เหมือนคนที่จะซื้อหนังสัตว์เช่นนี้ไหวด้วยหรือ”

ไป๋จื่อยิ้มเช่นกัน “รบกวนท่านลุงชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ”

อีกฝ่ายเห็นไป๋จื่อมารยาทดี ดังคำกล่าวที่ว่า ‘มือที่ยื่นมาย่อมไม่ตบคนที่ส่งยิ้มให้’ นางถามเช่นนี้แล้ว เห็นทีเขาอมพะนำต่อไปคงจะไม่ดีนัก จึงกล่าว “มีร้านผ้าสกุลโม่อยู่ทางใต้ของเมือง พวกเขารับซื้อหนังสัตว์พวกนี้ แม้ร้านผ้าอื่นจะรับซื้อเช่นกัน ทว่าแต่ไหนแต่ไรสกุลโม่ล้วนแต่ใจกว้าง หนังสัตว์คุณภาพดีจึงขายได้เงินมากที่ร้านของพวกเขา”

ไป๋จื่อกล่าวขอบคุณไม่ยอมหยุด ครั้นทุกคนแยกย้ายกันไปแล้ว พวกเขาก็รีบเก็บแผง นำหนังสัตว์ตรงไปยังร้านผ้าสกุลโม่ที่อยู่ทางใต้ของเมืองในทันที

ร้านผ้าสกุลโม่ตั้งอยู่บนถนนที่คึกคักที่สุดทางตอนใต้ของเมือง ตำแหน่งยอดเยี่ยม ทั้งเตะตาและสว่างเจิดจ้า

“พวกท่านจะซื้อผ้าหรือ” เมื่อพ่อค้าใจกว้างเห็นลูกค้ามาเยือน จึงรีบเข้ามาต้อนรับ

ไป๋จื่อชี้ไปยังหูเฟิงและอาอู่ที่อยู่ด้านหลัง “พวกข้ามาขายหนังสัตว์ รับซื้อหรือไม่”

พ่อค้ามองไปยังบุรุษสองคนที่อยู่ข้างหลังนาง คนหนึ่งแบกหนังเสือไว้บนไหล่ สีสันของหนังนั้นสดสว่าง มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของดี

อีกคนหนึ่งแบกหนังหมาป่าอยู่สองสามผืน คุณภาพไม่เลวเช่นกัน

“รับๆๆ เชิญพวกท่านด้านใน พวกข้ารับซื้อหนังสัตว์อยู่แล้ว เจ้าของร้านอยู่ข้างในแน่ะ เขาจะตรวจสอบสินค้าเอง” พ่อค้านำพวกเขาเจ้าไปยังโถงด้านหลัง

“หนังสัตว์นี้ของเจ้าอย่างมากมีค่าสองตำลึงเงิน” เจ้าของร้านอู๋วางหนังหมาป่าในมือลง แล้วลูบเคราแพะเล็กๆ ที่ใต้คางพลางกล่าว

ชายฉกรรจ์ผู้ขายหนังสัตว์พูด “แค่สองตำลึงเงิน? วันก่อนหลี่ปาจากหมู่บ้านของข้าก็นำหนังสัตว์มาขายที่นี่ หนังสัตว์ของเขาคุณภาพด้อยกว่าของข้าเสียอีก แต่ก็ยังขายได้ถึงสิบตำลึง แล้วของข้าจะมีค่าแค่สองตำลึงได้อย่างไร”

เจ้าของร้านอู๋ชี้ไปยังหนังสัตว์ที่อยู่บนหน้าโต๊ะ “ข้าจำหลี่ปาได้ หนังหมาป่าของเขาไม่ใหญ่เท่าของเจ้า แต่มันสมบูรณ์แบบ ไร้ความเสียหาย ส่วนของเจ้ากลับมีรอยขาด ไม่ใช่เพียงแค่จุดเดียว เมื่อครู่ข้านับดูคร่าวๆ แล้ว อย่างน้อยมีรอยขาดถึงหกจุด หากเป็นคนอื่นคงไม่ให้เจ้าถึงสองตำลึงแน่”

บุรุษผู้นั้นโมโหไม่น้อย ปากเอาแต่ต่อว่า “ต้องโทษภรรยาของข้า ไม่ให้นางแตะต้องก็ไม่ฟัง ยังบอกอีกว่าลอกหนังสัตว์ไม่ใช่งานง่ายๆ ดูตอนนี้สิ เสียเงินแปดตำลึงเงินไปเปล่าๆ”

ขณะนี้พ่อค้าเข้าไปกล่าวกับเจ้าของร้านอู๋ว่า “เจ้าของร้าน มีคนมาขายหนังสัตว์ขอรับ”

เจ้าของร้านอู๋ช้อนสายตาขึ้นมา เขาเห็นหนังเสือที่อยู่บนไหล่ของหูเฟิงในทันที หนังผืนนี้เงางามนุ่มลื่น สีสันสดสวยอย่างยิ่ง เขาจึงรีบดันบุรุษที่อยู่ข้างกายให้หลีกไป แล้วกวักมือเรียกหูเฟิงกับอาอู่ “มาๆๆ รีบนำมาให้ข้าดูเร็ว”

ทั้งสองคนก้าวเข้าไปวางหนังสัตว์บนไหล่ลง ปูลงบนโต๊ะตัวยาว

เป็นหนังหมาป่าเหมือนกันแท้ๆ ทว่าเมื่ออาอู่แผ่มันออก หนังหมาป่าที่มีรอยขาดหกจุดข้างๆ ก็ดูหมดราคาไปในทันที

ไม่กลัวสินค้าไม่เป็นที่รู้จัก กลัวก็แต่จะถูกเปรียบเทียบสินค้า!

บุรุษผู้นั้นอิจฉาอย่างมาก จึงชี้ไปยังหนังหมาป่าของอาอู่ แล้วถามว่า “หนังหมาป่าของเขาผืนนี้มีค่าเท่าไร”