เล่ม 2 เล่มที่ 2 ตอนที่ 46 เหตุใดฮองเฮาจึงติดพิษนี้ได้

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีกำหมัดแน่นจนมีเสียงบีบข้อต่อดังขึ้น ดวงตาของนางราวกับจะมองจ้องทะลุเยี่ยเซิน

        เยี่ยเซิน เจ้าคอยดู หากแค้นนี้ไม่ได้ชำระ ข้าก็ไม่ใช่สกุลซูแล้ว

        “พระชายาอ๋อง ในเมื่อเจ้าสามารถรักษาโรคเก่าของเฉินไท่เฟยได้ นั่นก็หมายความว่าทักษะทางการแพทย์ไม่ได้น้อยหน้าผู้ใด ทว่าเจ้าเพียงไม่ยินยอมวินิจฉัยฮองเฮาเท่านั้น อย่าทำให้ข้าจักต้องสงสัยเจ้าว่านี่เป็นการหาคำอ้างเหตุปฏิเสธการรักษา หรือว่าโยวอ๋องกับเฉินไท่เฟยยังจะมีความคิดอื่นใดอีกกัน”

        ฮ่องเต้มีพลังน่าเกรงขามที่ไม่สามารถปฏิเสธได้โดยง่าย ความหมายที่ลึกซึ้งในคำพูดนั้นชัดเจนมาก หากซูจิ่นซีปฏิเสธไม่รักษาให้กับฮองเฮาหรือหากโรคของฮองเฮาไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่ทำให้นางถูกกล่าวหาเพิ่ม ยิ่งกว่านั้นถึงขนาดที่ว่าโยวอ๋องและเสด็จแม่ก็คิดเป็นกบฏไปเสียแล้ว

        สมเป็นพ่อลูกกันจริงๆ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ทุกวันฮ่องเต้ก็คิดแต่พี่น้องตัวเองจะก่อกบฏ ดูจากกษัตริย์ในประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นนี้กันหมด

        “ฝ่าบาท สามารถเปิดม่านที่เตียงให้หม่อมฉันดูฮองเฮาก่อนได้หรือไม่เพคะ?”

        “เปิดม่าน! ”

        ฮ่องเต้ออกคำสั่ง!

        เมื่อม่านรอบเตียงถูกเปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นเหม็นนั้นก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น แม้ว่าใบหน้าของฮ่องเต้จะดูปวดใจและกังวลใจ ทว่าเขาก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากและจมูกเบาๆ ส่วนไท่จื่ออีกนิดก็เกือบจะอาเจียนออกมาแล้ว  ทว่ามีฮ่องเต้อยู่ก็เลยไม่กล้าที่จะอาเจียนจริงๆ

        ซูจิ่นซีเดินไปที่เตียงของฮองเฮาและตรวจสอบอีกครั้งในระยะใกล้ นางค่อนข้างแน่ใจว่าอาการป่วยของฮองเฮาเป็นอย่างที่ตนเองคิดไว้ก่อนหน้านี้ มันคือโรคฮวาหลิ่ว [1] ซึ่งในยุคปัจจุบันเรียกอีกอย่างว่าพิษเหมย

        ไม่แปลกใจเลยที่พวกหมอหลวงจนปัญญาไม่มีหนทางรักษา คาดไม่ถึงเลยว่าในฐานะฮองเฮาที่เป็นมารดาของประเทศจะเป็นโรคที่ไม่สามารถเอ่ยปากได้ แม้ว่าจะมีคนมองออก ก็ไม่กล้าที่จะพูด ยิ่งไม่กล้าที่จะเขียนใบสั่งยานี้เสียด้วย

        ในเวลานี้ซูจิ่นซีไม่มีเวลาและพลังงานที่จะวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าฮองเฮาติดเชื้อโรคนี้ได้อย่างไร เพราะว่าอ้างอิงจากระบบถอนพิษเมื่อเข้าประตูมาครั้งแรก บนร่างกายของฮองเฮายังคงมีพิษที่รุนแรงอยู่มาก

        นางก้าวเข้าไปมองอย่างละเอียด พบว่าท้องส่วนล่างของฮองเฮายกขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเหลืองราวกับเทียนไข ดูราวกับว่ากำลังทรงพระครรภ์ ทว่าตำแหน่งทารกในครรภ์ของพระนางไม่ถูกต้อง หากฮองเฮาตั้งครรภ์จริง ระยะความสูงของช่องท้องส่วนล่างควรใกล้เคียงกับการคลอดบุตร ร่างกายพระนางได้รับพิษหนักมากถึงเพียงนั้น และยังติดเชื้อพิษเหมยอีกด้วย หากต้องการรักษาให้หาย เกรงว่าทารกในครรภ์อาจไม่สามารถรักษาไว้ได้แล้ว

        หากผู้ที่ตั้งครรภ์เป็นผู้อื่นก็ไม่เป็นอันใดมาก ทว่าบังเอิญเป็นฮองเฮา เด็กในครรภ์เป็นถึงบุตรของกษัตริย์ที่ผู้คนรู้จัก หากไม่สามารถรักษาเด็กคนนี้ไว้ได้ เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายกับฮ่องเต้และทุกคน

        ซูจิ่นซีหยิบผ้าไหมจากแขนเสื้อของนาง วางไว้บนข้อมือของฮองเฮา นางนิ่งเงียบเพื่อตรวจชีพจร เดิมทีคิดที่จะดูว่าครรภ์ของฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้าง ครรภ์นี้จะสามารถช่วยรักษาไว้ได้ไหม ทว่าเมื่อมือของนางสัมผัสกับข้อพระหัตถ์ของฮองเฮา นางก็ตกใจขึ้นในชั่วพริบตา

        ชีพจรเดินราวกับไข่มุกนั้นถูกต้อง ทว่าชีพจรที่เต้นอย่างรุนแรงนี้คล้ายกับโรคที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอย่างมาก ปกติผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในสถานการณ์นี้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่จะรักษาเด็กไว้เลย

        ทว่าฮองเฮานอกจากใบหน้าที่ซีดเหลืองเล็กน้อยก็บรรทมอย่างสงบบนเตียง การหายใจเป็นปกติสม่ำเสมอ ราวกับว่าพระนางกำลังบรรทมอย่างสงบ

        นี่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลเอามากๆ

        ในเวลาเดียวกัน ซูจิ่นซียังพบว่า ท้องที่ยกขึ้นของฮองเฮาดูเหมือนจะมีสิ่งใดไหลไปไหลมา ล้วนทำให้ผ้าห่มยกสูงขึ้น

        ความคิดที่น่ากลัวแวบเข้ามาในหัวของนาง ซูจิ่นซียกผ้าห่มขึ้นมาโดยพลัน

        “ซูจิ่นซี เจ้าต้องการที่จะกระทำสิ่งใด? ”

        ฮ่องเต้โกรธจัดและตะโกนอย่างตื่นตัว หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวเขาก็มาถึงด้านหน้าของซูจิ่นซีและคว้ามือของซูจิ่นซีที่ถือผ้าห่มไว้แน่นแล้วออกแรงกระชาก

        ทว่าซูจิ่นซีไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ เลย ดวงตากลมโตของนางค่อยๆ ถอยออกมาด้วยความตกใจอย่างไม่อยากจะเชื่อ

        ตอนแรกนางแค่เดาว่าท้องของฮองเฮาเป็นเพียงอาการท้องอืดหรือไม่ เพียงชีพจรใกล้เคียงกับการตั้งครรภ์เท่านั้น ทว่าเมื่อได้เห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวภายใต้เสื้อผ้าที่เบาบางของฮองเฮานางก็สับสนและตกใจ

        สิ่งนั้นคล้ายกับเท้าของเด็กอายุหนึ่งขวบ ตอนที่เคลื่อนไหวก็แทบจะทะลุท้องของฮองเฮาอยู่แล้ว

        “ฝ่าบาท ฮองเฮา ทรงตั้งครรภ์มากี่เดือนแล้วเพคะ? ”

        “กี่เดือนหรือ? จะเข้าปีสองแล้ว! ”

        ฮ่องเต้พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา จับมือของซูจิ่นซีด้วยความโกรธเล็กน้อย หลังจากที่ปล่อยมือของนางและประสานมือไว้ด้านหลังแล้ว ฮ่องเต้ก็หันหลังกลับ

        จะสองปีแล้ว?

        แม้ว่าในท้องจะเป็นเด็กนาจาก็ควรที่จะเกิดออกมาแล้วนะ

        ทว่าฮองเฮาจนถึงวันนี้ยังไม่ได้คลอดออกมา ก็มีเพียงสองอย่างที่เป็นไปได้……

        “ฝ่าบาท ถ้าหากหม่อมฉันกล้าใช้ชีวิตของตนเองเพื่อรับประกันว่าอาการป่วยของฮองเฮา หม่อมฉันสามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ ทว่าหม่อมฉันมีสองอย่างอยากจะขอร้องให้ฝ่าบาทรับปากหม่อมฉันเพคะ”

        “ซูจิ่นซี เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน? กล้าที่จะต่อรองกับเสด็จพ่อ”

        ความจริงแล้วไม่เคยมีผู้ใดกล้าที่จะมีข้อต่อรองกับโอรสสวรรค์เลย ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิหรือองค์รัชทายาทอย่างเยี่ยเซินก็ไม่เคยมาก่อน

        ทว่าฮ่องเต้หรี่ดวงตาสองข้างของพระองค์อย่างอันตราย มือที่ไพล่ไว้ข้างหลังกำแน่น ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาเลยเป็นเวลาสักพักหนึ่ง

        เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูจิ่นซีก็รู้ว่าความปราถนาของนางนั้นสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง สิ่งที่นางเดิมพันคือความรักของฮ่องเต้ที่มีต่อฮองเฮา

        ในประวัติศาสตร์สนมวังหลังผู้งดงามสามพันนางของฮ่องเต้ผู้ที่เดิมทีก็ไม่เคยขาดสตรีมาก่อน ซูจิ่นซีเชื่อว่าฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้ก็เช่นเดียวกัน

        ทว่าแม้จะมีสตรีสาวอยู่มากมาย ฮองเฮาก็ป่วยมานานถึงสองปี ฮ่องเต้กลับยังต้องการคนที่จะมารักษาให้ฮองเฮา ยิ่งไปกว่านั้นความสงสารและความเจ็บปวดที่ซูจิ่นซีเห็นจากสายตาของฮ่องเต้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถหลอกลวงได้เลย

        มิตรภาพของฮ่องเต้แม้ไม่ได้อยู่ลึกเท่าไร ทว่าขอให้มี ก็เพียงพอแล้ว

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงมั่นใจว่า ฮ่องเต้จะต้องรักฮองเฮาอย่างแน่นอน

        ขอเพียงยังมีรัก เขาจะไม่เพิกเฉยต่อความหวังที่ซูจิ่นซีมอบให้ เช่นนั้นเงื่อนไขสองอย่างที่นางอยากให้รับปากก็มีโอกาสชนะ

        เป็นอย่างที่ซูจิ่นซีคาดไว้ หลังจากนั้นไม่นาน “อืม เจ้าพูดมาก่อน สองเงื่อนไขนั้นคือสิ่งใด? ”

        รอยยิ้มบนปากของซูจิ่นซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย

        “ประการแรก เพื่อที่จะเข้าใจอาการโรคของฮองเฮามากขึ้น หม่อมฉันต้องการให้หมอจากสำนักหมอหลวงเข้ามาช่วย ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้พบหมอหลวงอวิ๋นที่มาดูอาการของเฉินไท่เฟย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ขอให้ฝ่าบาทรับสั่งให้หมอหลวงอวิ๋นมาที่ตำหนักจ้งหวานี้เพื่อช่วยหม่อมฉันรักษาฮองเฮาด้วยเพคะ”

        “อ้อ เรื่องนี้ไม่ยาก! ประการที่สองเล่า? ”

        “ประการที่สอง… ” ซูจิ่นซีมองไปที่เยี่ยเซินด้วยท่าทางที่จริงจังมาก

        ในใจของเยี่ยเซินเกิดความวิตกกังวลขึ้น ทว่ายังไม่เข้าใจถึงเหตุผลชัดเจน จึงรอฟังซูจิ่นซีพูด “ไม่ว่าหม่อมฉันกับไท่จื่อก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไร ทว่าตอนนี้หม่อมฉันเป็นพระชายาของเสด็จอาโยวอ๋อง เมื่อไท่จื่อพบหม่อมฉันก็ควรจะทำตามขนบธรรมเนียม ให้ความเคารพและเรียกหม่อมฉันว่าอาสะใภ้ ทว่าก่อนนี้ที่หน้าประตูตำหนักจ้งหวา ไท่จื่อเรียกเพียงแต่ซูจิ่นซี ซูจิ่นซี ขอบังอาจสอบถามฝ่าบาท ขนบธรรมเนียมในวังเปลี่ยนไปแล้วหรือเพคะ? แม่นมในจวนอ๋องเหตุใดไม่เคยสอนหม่อมฉันมาก่อนเลยเพคะ? ”

        “ซูจิ่นซี เจ้ากำลังฟ้องเสด็จพ่ออยู่งั้นหรือ? เจ้านี่มันไร้ยางอายเสียจริง! ”

        สีหน้าเยี่ยเซินมืดสนิท มือที่กำแน่นของเขาดูเหมือนอยากจะบีบที่คอของซูจิ่นซี เกลียดจนอยากจะบีบคอซูจิ่นซีให้ตาย

        ในตอนนี้ซูจิ่นซีไม่จำเป็นต้องสนใจเขา นางต้องการที่จะเจรจาเงื่อนไขกับฮ่องเต้เท่านั้น

        “พระชายาโยวอ๋อง เจ้าพูดเช่นนี้ เซินเอ๋อร์จะต้องขุ่นเคืองเจ้าเป็นแน่ ตามความคิดของเจ้าควรจะจัดการเช่นไร?”

        ใบหน้าที่น่าเกรงขามของฮ่องเต้ไม่ลดลงเลย

        “ไท่จื่อทรงเป็นองค์รัชทายาท มีเกียรติมีฐานะ จะให้กระหม่อมจัดการก็คงมิกล้า ขอเพียงก่อนหน้านี้ไท่จื่อมีมารยาทเสียหน่อย อย่างไรเสีย… หากในสายตาของผู้อื่น เรื่องที่องค์รัชทายาทโตมาอย่างไม่รู้จักมารยาทถูกพูดกันออกไป จะทำให้ราชวงศ์และตงกงเสียพระพักตร์ ทั้งยังส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของไท่จื่ออีกด้วยเพคะ! ”

……