บทที่ 145 ระดับสร้างฐานก็ต้องโดนฟ้าผ่าหรือ

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

เมื่อเผชิญหน้ากับเสิ่นเทียนที่มีเพลิงปราณน่ากลัวลุกท่วมตัวและดูโอหังอย่างยิ่งแล้ว เถาจองจำเซียนอีกสามต้นที่เหลือต่างหวาดกลัวสุดขีด

เช่นนี้จะให้สู้อย่างไร เจ้ามนุษย์นี่สวมเกราะเต่าดำ การโจมตีของพวกมันทะลวงเกราะไม่ได้ และที่ไร้สาระไปกว่านั้นคือเส้นรากของมันมีการป้องกันเป็นหนึ่ง แม้แต่กระบี่เซียนสมบัติวิเศษยังตัดขาดได้ยากมาก

แต่เมื่อมาถึงมือเสิ่นเทียน เขากลับไม่มีแรงกดดันใดๆ ราวกับเคี้ยวอ้อย กินอย่างมีความสุขส่งเสียงดังแจ๊บๆ

สู้ก็สู้ไม่ได้ กัดก็กัดไม่เข้า เดิมทียังใช้เถาวัลย์มัดเขาไว้ได้ แต่ตอนนี้ขนาดมันยังมัดไม่อยู่แล้ว

เห็นๆ อยู่ว่าเจ้ามนุษย์นี่อยู่แค่ระดับสร้างฐาน ไม่ว่าจะความเร็ว พละกำลังหรือการป้องกันมันบ้าเกินไปหมด อุปกรณ์ในตัวยังเจ๋งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังรูดบัตรเติมเงินได้ นี่มันจะรังแกเถาเกินไปแล้วกระมัง!

ตอนนี้เห็นเสิ่นเทียนผมตั้งชี้อยู่ในสภาวะทุ่มสุดตัวอย่างเห็นได้ชัดแล้ว เถาจองจำเซียนพวกนี้ก็เลือกที่จะหนีไป

ดังนั้นเถาจองจำเซียนสามต้นจึงตวัดเถาวัลย์ตบพื้นพร้อมกัน แบ่งออกเป็นงูเหลือมยักษ์จำนวนมากพุ่งไปหาเสิ่นเทียน

เสิ่นเทียนตะโกนเสียงดังว่ามาได้จังหวะพอดี ค้อนม่วงทองกับกระบี่วารีครามในมือโคจรพลังฤทธิ์กับต้นกำเนิดพลังเข้าต้านเถาวัลย์พวกนี้

บึ้ม!

ค้อนม่วงทองทุบไปที่เถาวัลย์อย่างแรง แต่เสิ่นเทียนกลับไม่รู้สึกถึงแรงต่อต้านใดๆ เถาวัลย์ของเถาจองจำเซียนสามต้นนั้นขาดสะบั้นทันที

แต่อีกด้านหนึ่ง ต้นหลักของเถาจองจำเซียนสามต้นควบคุมส่วนรากสุดกำลัง ก้าวจังหวะก้าวแปลกๆ หนีไปยังส่วนลึกของหมอกวิญญาณ

‘ท่านแม่เถา เจ้ามนุษย์นี่เก่งมาก สู้ไม่ไหวเลย ท่านเซียนไว้ชีวิตด้วย จะฆ่าเถาแล้ว!’

ปีศาจจำพวกพืชมีสติปัญญาสู้มนุษย์ไม่ได้เลย กระทั่งเทียบกับสัตว์อสูรระดับเดียวกันไม่ได้ เถาจองจำเซียนระดับแก่นพลังทองก็มีสติปัญญาเทียบเท่ากับเด็กน้อยสองสามขวบ

ตอนนี้เห็นเสิ่นเทียนฆ่าเพื่อนร่วมเผ่าต่อเนื่องกันไปเยอะขนาดนั้น พวกมันจะกล้ามาพัวพันต่อหรือ

ต้องหนีสิ

ครู่เดียวก็หายไปจากสายตาของเสิ่นเทียน

ตอนแรกที่เถาจองจำเซียนสามต้นหนีไป เสิ่นเทียนก็ว่าจะตามไปแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะหน้าตาไม่ดี แต่ว่ารสชาติดีมาก

ทว่าเมื่อเสิ่นเทียนนึกถึงผลที่ตนล่าสังหารเถาจองจำเซียนก่อนหน้านี้แล้วก็หยุดชะงักทันที

ช่างเถอะ!

ที่ราบหมอกลับแลนี่ชั่วร้ายเกินไป ต้องหาที่ปลอดภัยรักษาชีวิตไว้ก่อน

ขืนไล่ตามไป เกิดเจอเถาจองจำเซียนระดับดวงจิตดรุณอีกจะทำอย่างไร

เสิ่นเทียนไม่กล้ารับรองว่าตนจะหนีจากพันธนาการได้อีกครั้ง

ถึงอย่างไรเส้นทางเซียนก็มีเป็นพันเป็นหมื่น ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก

เสี่ยงอันตรายไม่ระวัง ญาติพี่น้องได้หลั่งน้ำตาเป็นสองสาย!

………..

เสิ่นเทียนตัดสินใจว่าจะปล่อยไปก่อน ออกจากที่ราบหมอกลับแลแล้วค่อยว่ากัน

ขอแค่ออกจากพื้นที่ปกคลุมหมอกลับแล เสิ่นเทียนก็ใช้ป้ายคำสั่งบุตรศักดิ์สิทธิ์แจ้งผู้อาวุโสแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้

ถึงตอนนั้นผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เคลื่อนไหว ต่อให้มือมืดเบื้องหลังจะแกร่งกว่านี้ เสิ่นเทียนก็ไม่เชื่อว่ามันจะต้านแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งไหว!

หลังจากกินของเหลวเถาจองจำเซียนไปจำนวนมากแล้ว เสิ่นเทียนพบว่าจิตสัมผัสและการมองเห็นของตนในหมอกวิญญาณได้รับผลน้อยลงไปอีกขั้น

การมองเห็นของเขาในตอนนี้สามารถมองผ่านหมอกวิญญาณไปได้ไกลหลายร้อยเมตร ส่วนจิตสัมผัสก็ควบคุมสมบัติวิเศษและยันต์วิญญาณในการต่อสู้ได้ง่ายขึ้น

การขี่กระบี่บินยังพอทำได้ แต่เร็วเกินไปไม่ได้ เพราะการขี่ในหมอกต้องลดความเร็วลง ไม่อย่างนั้นชนภูเขาขึ้นมาก็คงเป็นโศกนาฏกรรม

เท้าเหยียบปืนปทุมฆาตเทพ มือขวากำค้อนม่วงทอง มือซ้ายถือกระบี่วารีคราม ตัวสวมหมวกเกราะเทพเต่าดำ

แบกโล่เต่าดำไว้ข้างหลัง ปืนหยินหยางพิฆาตอสูรแปดกระบอกลอยอยู่รอบๆ ตัวเสิ่นเทียน พร้อมยิงทุกเมื่อ ตอนนี้เขาใส่อาวุธยันฟัน ขอแค่ระดับดวงจิตดรุณไม่ออกมาเขาก็ไม่เกรงกลัวใครแล้ว

มีปัญหาอย่างเดียวคือแม้เสิ่นเทียนจะมองผ่านหมอกวิญญาณได้ถึงร้อยเมตร แต่พื้นที่ที่ราบหมอกวิญญาณใหญ่เกินไป แค่ร้อยเมตรยังไม่เพียงพอเลย

เสิ่นเทียนเหยียบปืนปทุมฆาตเทพบินก้มหน้าก้มตาบินไปทางรอบนอกที่ราบหมอกลับแลหลายร้อยลี้แล้ว ปรากฏว่าก็ยังไม่บินออกจากพื้นที่หมอกวิญญาณสักที เขาจำได้ว่าเถาโง่สามต้นนั้นไม่ได้เดินมาไกลเช่นนี้นี่!

และที่ไร้สาระไปกว่านั้นคือเมื่อเสิ่นเทียนบินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เขาพบว่ามีเมฆดำหนาปรากฏขึ้นเหนือศีรษะตน เห็นประกายสายฟ้าข้ามไปมาไม่หยุดกลางเมฆดำ ราวกับมังกรเทพสีม่วงหลายตัว แผ่กระจายพลังอำนาจไร้ที่สิ้นสุด

พลังอำนาจนั้นทรงพลังยิ่งใหญ่ อยู่ในจุดสูงสุด มาพร้อมกับความฮึกเหิมที่ทำให้คนอดก้มลงน้อมคำนับมิได้ แข็งแกร่งอย่างยิ่ง

เสิ่นเทียนฝึกฝนเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมจึงรู้สึกได้ชัดเจนว่านั่นคืออานุภาพเฉพาะของเคราะห์ภัยสวรรค์!

ยามนี้เสิ่นเทียนตกตะลึงในใจ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เหตุใดถึงปรากฏเคราะห์ภัยสวรรค์เหนือศีรษะข้า

ต้องรู้ว่าปกติผู้ฝึกบำเพ็ญจะต้องทะลวงจุดสูงสุดระดับหลอมรวมเทพก่อนถึงจะเหนี่ยวนำให้เกิดเคราะห์ภัยสวรรค์

เคราะห์ภัยสวรรค์จะชะล้างกายเนื้อของผู้ฝึกบำเพ็ญ หล่อหลอมกระดูกและกำเนิดไอเซียนขึ้นมา ทว่าเหตุใดที่ราบหมอกลับแลถึงปรากฏเมฆเคราะห์ภัย ทั้งยังคลุมหัวข้าอีกเล่า

หรือว่าข้าจะเป็นอัจฉริยะที่พานพบได้ยากตลอดกาลแห่งโลกบำเพ็ญเซียน อยู่ระดับสร้างฐานก็ต้องฝ่าด่านเคราะห์หรือ

บทนี้มันชั่วร้ายไปหน่อยกระมัง!

หรือว่าเพราะข้ามีความสามารถโดดเด่นมีพรสวรรค์เป็นเอกแห่งยุคตั้งแต่โบราณกาล เป็นยอดอัจฉริยะที่มีเอกลักษณ์ไม่ธรรมดากัน เลยถูกวิถีสวรรค์ดูถูก

เมื่อคิดได้ดังนั้นเสิ่นเทียนก็หยุดปืนปทุมฆาตเทพข้างทางเงียบๆ เก็บปืนพิฆาตอสูรที่ลอยอยู่รอบๆ ตัวทั้งหมดกลับไป

เมื่อฟ้าผ่าต้องออกห่างจากวัตถุโลหะให้ไกลที่สุด พยายามอย่ายืนในที่กว้างโล่งเกินไป พยายามหาที่กำบังที่เหมาะสม นี่คือสิ่งที่ครูอนุบาลสอนเขามา

เสิ่นเทียนปลอบตัวเองในใจว่าอย่างกังวลมากเกินไป ถ้าเกิดเคราะห์ภัยอัสนีไม่ใช่ของข้าล่ะ!

ตอนนี้มีเรื่องสำคัญคือต้องรีบหาที่กำบัง ไม่อย่างนั้นอันตรายมากแน่

เสิ่นเทียนก้มตัววิ่งไปกลางหมอกวิญญาณ จนในที่สุดก็เจอหุบเขาแห่งหนึ่ง

เสิ่นเทียนพลันดีใจใหญ่ รีบวิ่งไปทางหุบเขานั้น ขณะเดียวกันยังสวมหน้ากากขนหงส์ไว้

ตอนนี้เมฆสายฟ้าครึ้มขึ้นกว่าเดิมพร้อมจะผ่าลงมาทุกเมื่อ ยิ่งซ้อนการป้องกันหนามากเท่าไรยิ่งดี!

….

หุบเขานี้ใหญ่มาก ลำพังแค่ความสูงก็หลายพันลี้ แทงลึกเข้าไปกลางเมฆนภา

ระดับความกว้างก็น่าตกใจมากเช่นกัน เสิ่นเทียนมองซ้ายมองขวาไม่เห็นสุดขอบเลย แต่ดูไร้พรมแดน อีกทั้งยังไม่รู้ว่าได้รับผลจากเคราะห์ภัยสวรรค์หรือไม่ หมอกวิญญาณในหุบเขานี้เลยไม่ได้หนาเป็นพิเศษ แต่ดูเบาบางมาก

เสิ่นเทียนใช้กระบี่ขุดถ้ำตรงกลางภูเขาก่อนเอาทั้งตัวเข้าไปซ่อนในถ้ำ จากนั้นนำหินมาอุดปากถ้ำเอาไว้

เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จ เขาก็ถือว่าโล่งอกแล้ว

ตอนนี้ทำได้อย่างมั่นคงเช่นนี้ น่าจะไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วกระมัง!

เพราะเสิ่นเทียนคิดไปคิดมา เคราะห์ภัยอัสนีนี่ไม่มีทางเป็นของเขาเด็ดขาด

ตลก ต่อให้ระดับสร้างฐานต้องฝ่าเคราะห์ภัยอัสนี นั่นก็น่าจะเป็นเคราะห์ภัยอัสนีที่อ่อนแอสิ

ระดับความแกร่งของสายฟ้าบนฟ้าตอนนี้ ระดับสร้างฐานจะรับไหวหรือ ไร้สาระ!

ต่อให้เป็นผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณโดนสายฟ้าในเมฆเคราะห์ภัยนั่นผ่าไปทีต้องกลายเป็นเถ้าธุลีทันทีแน่นอน!

เห็นได้ชัดว่าเคราะห์ภัยอัสนีนี่น่าจะเป็นของคนอื่น ขอแค่ตนอย่าโดนลูกหลงก็พอ

เสิ่นเทียนนอนอยู่กลางถ้ำ ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลาย รู้สึกว่าร่างกายถูกสูบพลังไปจนหมด เขานำศิลาวิญญาณออกมาทีละก้อน เติมเต็มสภาพร่างกายใหม่

ขณะเดียวกันยังตัดเถาจองจำเซียนมาอีกหลายเส้น เอามาคั้นเป็นน้ำดื่ม

ชีวิตความสบายใจที่ห่างหายมานานก็เรียบง่ายเช่นนี้เอง

แต่เสิ่นเทียนมักจะรู้สึกว่าจนเหมือนจะมองข้ามอะไรไปบางอย่าง

……

ทันใดนั้น เสิ่นเทียนร่างสั่นสะท้าน

เขารู้แล้วว่าตนมองข้ามอะไรไป พระเจ้า!

ในเมื่อนี่ไม่ใช่เคราะห์ภัยอัสนีของเขา แล้วเป็นของใคร

จำได้แล้วว่าก่อนหน้านี้ได้ยินมารดาเถาพูดว่ารอนางฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะก่อนก็จะมาครอบครองเขา

ดังนั้น…เคราะห์ภัยอัสนีบนฟ้านี่ความจริงแล้วคือเคราะห์ภัยอัสนีเลื่อนเป็นผู้อริยะของมารดาเถาหรือ

แต่ว่าเหตุใดเคราะห์ภัยอัสนีเลื่อนเป็นผู้อริยะของมารดาเถาจองจำเซียนถึงปรากฏเหนือศีรษะข้าตอนนี้ล่ะ

ซี้ด~!

เสิ่นเทียนมีการคาดเดาน่าสะพรึงอย่างหนึ่งในใจ ‘หรือว่ามารดาเถาจะอยู่ใกล้ๆ นี่’

ก่อนหน้านี้ข้าขี่กระบี่บินมา คงไม่มาผิดทางหรอกกระมัง…

นี่เรียกว่าบุกเข้ามาถ้ำปีศาจชัดๆ!

…………………..