ตอนที่ 137 ไม่มีชื่อเรื่อง

แม่ครัวยอดเซียน

“ได้ยินหรือยัง ผู้เฒ่าคูกู่ถูกคนสังหารแล้ว”

“ใช่ แต่ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร”

“ได้ยินมาว่าคูมู่กลายเป็นเถ้ากระดูกไปแล้ว แต่เพลิงดาราทมิฬที่สุดยอดของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย”

“ใช่ ไม่รู้ว่าคนฝ่ายธรรมะหรือมารเป็นผู้ได้ไป หากเผ่ามารได้ไปคงจะเกิดหายนะแน่”

“ดูจากการต่อสู้แล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็เหมือนจะมีเพลิงอัคคีเช่นเดียวกัน”

“คงไม่ใช่ผู้ถูกเลือกบ้านสกุลหลง หลงหลิวหลีใช่ไหม ได้ยินมาว่าเคล็ดวิชาคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณที่หลิวหลีบ้านสกุลหลงบำเพ็ญฝึกฝน จำเป็นจะต้องใช้เพลิงอัคคี”

“ไม่มีใครเห็นหลงหลิวหลีปรากฏตัวเลยนะ”

“แต่ได้ยินมาว่าหลงหลิวหลีไม่ได้อยู่ในโลกอสูรเทพ ออกไปแสวงหาโอกาสข้างนอกแล้วนี่นา”

“เฮ้อ เมื่อเทียบกับหลงหลิวหลีแล้ว พวกเราต่างจากนางมากจริงๆ อายุยังไม่ถึง 50 แต่พลังบำเพ็ญก็อยู่ช่วงแยกจิตขั้นสุดยอดแล้ว พวกเราอายุมากกว่านางตั้งหลายร้อยปีเพิ่งจะอยู่ในช่วงอมตะเอง ต่างกันมากจริง ๆ”

“พวกเราจะเทียบกับหลิวหลีไม่ได้ นางเป็นคนที่จะต้องมีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับผู้ถูกเลือกอย่างแน่นอน เมื่อเทียบกับนางแล้วจิตใจก็ฟุ้งซ่านไปหมด”

“หลงหลิวหลี น่าสนใจ” เยี่ยซิงหวงดื่มสุราศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้าจนหมดแล้วพูดขึ้น

“นายท่าน”

“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”

“หินมารรัตติกาลก้อนนั้นของคูกู่น่าจะอยู่ในมือของหลงหลิวหลี คูมู่ หลิวหลีน่าจะเป็นคนลงมือสังหาร เพราะเพลิงดาราทมิฬของเขาหลิวหลีก็เป็นคนเอาไป หลังจากนั้นหลงหลิวหลีก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย”

“ไปเถอะ กลับโลกมารเถอะ คาดว่าการปรากฏตัวครั้งหน้าของหลงหลิวหลี น่าจะเป็นตอนจัดอันดับผู้ถูกเลือก” หลงหลิวหลี ข้ารอคอยที่จะได้เจอเจ้าเสียจริง ๆ

หลงหลิวหลีที่อยู่ในมิติใช้เวลา 10 ปีเต็มๆในการพิชิตเพลิงดาราทมิฬ ปะทะจนกว่าจะเชื่อฟัง บอกได้ว่านางยังคงเคืองแค้นที่ตอนนั้นที่เพลิงดาราทมิฬล้อมหนานกงเวิ่นเทียนเอาไว้

10 ปีมานี้บาดแผลภายในร่างกายของหลิวหลีเกือบจะหายดีทั้งหมด แต่ประสาทเซียนกลับฟื้นฟูกลับมาแค่เพียงครึ่งเดียว หลิวหลีไม่กล้าบุ่มบ่ามดูดซึมเพลิงดาราทมิฬ

“ผ่านไปอีก 10 ปีแล้วหรือ” หลิวหลีถอนหายใจ ถึงแม้จะยังใช้พลังเซียนไม่ได้แต่ก็พอจะออกฌานได้แล้ว

“นังหนูออกฌานแล้วหรือ” เอ๋าเลี่ยลืมตาแล้วพูดขึ้น นังหนูฟื้นตัวได้เร็วจริงๆ

“นังหนู เจ้ายังไม่หายดีทำไมถึงออกฌานมาแล้วล่ะ” เอ๋าเลี่ยมองดูหลิวหลีที่เห็นได้ชัดว่ายังไม่หายดีแล้วถามขึ้น

“สามารถขยับได้แล้วเลยอยากจะออกมาดูบ้าง แล้วค่อยเข้าฌานไปพิชิตเพลิงดาราทมิฬเพื่อบรรลุช่วงรวมกายา แต่ว่าอาเลี่ย ข้าเข้าฌานนานเกินไปงั้นหรือทำไมรู้สึกเหมือนมิติเปลี่ยนไป จะว่าอย่างไรดีล่ะ รู้สึกเหมือนมีความสมบูรณ์มากขึ้น” หลิวหลีนึกคำที่จะใช้ไปครู่หนึ่ง

“ดูออกด้วยหรือ มิติตอนนี้มีความสมบูรณ์แล้ว ตอนนี้กลายเป็นดินแดนเล็กๆที่สมบูรณ์ สามารถดูดพลังเซียนจากข้างนอกมาหล่อเลี้ยงมิติได้ นังหนู แต่ก็ไม่ใช่ว่าเจ้าจะสามารถทำอะไรตามใจชอบได้นะ” เอ๋าเลี่ยนึกขึ้นได้ว่านังหนูใช้มิตินี้เหมือนเป็นที่เก็บพลังเซียนเพราะเห็นความสำคัญน้อยเกินไป

“โม่หรานล่ะ ออกมานะ” หลิวหลีทำสีหน้าเคร่งขรึม

“หลิวหลี ออกฌานแล้วหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนพูดด้วยความประหลาดใจ

“นายท่าน ท่านเรียกข้าหรือ” โม่หรานมองหลิวหลีด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย นายท่านจะต้องพิชิตเพลิงอัคคีก่อนจึงจะสามารถออกฌานได้ไม่ใช่หรือ ทำไมแค่ 10 ปีก็ออกฌาณแล้วล่ะ ฮือ ฮือ ฮือ

“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วอย่าคิดที่จะเอามิติที่อยู่ในมือของเสี่ยวเทียนมา ไม่ฟังคำพูดของข้าเลยใช่ไหม” หลิวหลีทำหน้านิ่ง แอบปล่อยแรงกดดันออกมา

“หลิวหลี ข้าเป็นคนให้เขาเอง เจ้าอย่าว่าเขาเลย” หนานกงเวิ่นเทียนดึงนางไว้แล้วพูดขึ้น

“เสี่ยวเทียน ไม่ต้องแก้ตัวแทนเขา เขาบอกเจ้าใช่ไหมว่าหากนำหยกให้เขาข้าก็จะฟื้นขึ้นมาเร็วขึ้น” หลิวหลีกล่าว

หนานกงเวิ่นเทียนไม่ได้พูดอะไร เพราะว่าหลิวหลีพูดถูกทั้งสิ้น

“แต่ว่าเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาเร็วกว่าเดิมไม่ใช่หรือ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว

“มันคนละเรื่องกัน” หลิวหลีรู้สึกว่าภูตอาวุธที่ทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องปรากฏกายแล้ว

“เอาเถอะ นังหนู ไม่ว่าเจ้าจะโทษโม่หรานอย่างไรมิตินี้ก็คงไม่สามารถแยกออกมาได้แล้ว อีกอย่างอาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดีจะออกมาอวดเก่งทำไม” เอ๋าเลี่ยเห็นว่าหลิวหลียังโมโหอยู่ก็อดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องเป็นของเจ้าอยู่ดี เร็วขึ้นมาหน่อยจะเป็นอะไรไป

คำพูดนี้ถึงทำให้หลิวหลีสงบลง มันก็จริง นางจะแยกออกได้อย่างไรว่าอันไหนคือมิติในหยกของเสี่ยวเทียน

“โม่หราน มานี่ มอบวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของเจ้าให้เสี่ยวเทียน”

“หลิวหลี ไม่จำเป็น ถือว่าเป็นของขวัญที่ข้าให้เจ้า คืนของขวัญวันหมั้นที่เจ้าให้มาแล้วกัน” หนานกงเวิ่นเทียนส่ายหัวเพื่อบ่งบอกว่าไม่จำเป็น

“เสี่ยวเทียน เจ้าเสียเปรียบมากเกินไปแล้ว” หลิวหลีไม่เห็นด้วย

“นังหนู เจ้าลำเอียงมากเกินไป หากพูดเช่นนี้ สกุลฮัว สกุลจ้าน สกุลหลินก็เสียเปรียบเหมือนกันสิ” เอ๋าเลี่ยอดแซวไม่ได้

“เดิมใจคนเราก็มีความลำเอียงอยู่แล้ว พวกเขาจะเสียเปรียบหรือไม่เสียเปรียบแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย” หลิวหลีพูดด้วยสีหน้าท่าทางปกติ

เอ๋าเลี่ยหมดคำพูด นังหนูลำเอียงมากเกินไปจริงๆ อีกทั้งยังทำเหมือนเป็นเรื่องปกติแต่พูดไปมันก็ถูกแหละ

“นังหนู นี่คือของของเจ้า หรือว่าเจ้ากับข้าจะต้องแบ่งแยกทุกอย่างให้ชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนมองตาของหลิวหลีแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง

หลิวหลีไม่รู้จะทำอย่างไร หากว่าเถียงกันต่อไปคงจะได้ทะเลาะกันแน่

“มอบสิทธิ์ในเสี่ยวเทียน เขาจะสามารถเข้ามาที่นี่ได้ตลอดเวลา” นี่คือเงื่อนไขที่ง่ายที่สุดที่นางยอมได้

โม่หรานย่อมเข้าใจ นี่คือข้อเรียกร้องที่ง่ายที่สุดของนายท่าน เรื่องนี้เขาสามารถทำให้ได้ โม่หรานใช้มือขวากรีดนิ้วตัวเอง ของเหลวสีทองหยดหนึ่งลอยเข้าสู่หน้าผากของหนานกงเวิ่นเทียน หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกว่าตัวเองได้เชื่อมสัมพันธ์กับมิติแห่งนี้แล้ว

“เอาล่ะ นังหนู อย่าทำให้โม่หรานต้องตกใจกลัวอีกเลย” หนานกงเวิ่นเทียนพูดให้หลิวหลีใจเย็นลง

“ไม่หรอก ข้าเป็นคนนิสัยดีเช่นนี้จะทำให้คนอื่นตกใจกลัวได้อย่างไร” หลิวหลีไม่ยอมรับหรอกว่า นางแค่ทำให้คนที่กล้าหลอกนางตกใจกลัวเท่านั้นเอง

โม่หรานรู้สึกโล่งใจ เฮ้อ สามีของนายท่านดีจริงๆ ต่อไปเขาเกาะขาสามีของนายท่านไว้ให้แน่นจะดีกว่า

“เอาเถอะ นังหนู เจ้าจะกลับไปเข้าฌานอีกเมื่อใด”

“คงอีกสักพัก เพราะอาการบาดเจ็บของข้ายังไม่หายดี เสี่ยวเทียน เจ้าคิดจะไปที่ไหนหรือไม่” หลิวหลีถาม นางออกฌานมาก็เพื่อหนานกงเวิ่นเทียน

“ไม่แล้วล่ะ ช่วงนี้ได้รับรู้อะไรมาไม่น้อยเลยอยากจะเข้าฌาน บวกกับสภาพแวดล้อมในนี้ ไม่ว่าข้าจะโง่ทึ่มเพียงใดก็น่าจะสามารถเข้าสู่ช่วงรวมกายาได้” เมื่อหนานกงเวิ่นเทียนเห็นหลิวหลีไม่เป็นไรจึงตัดสินใจจะเข้าฌานอยู่ที่นี่ สภาพแวดล้อมดีขนาดนี้ หนานกงเวิ่นเทียนต้องบรรลุช่วงรวมกายาให้ได้

“ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะเข้าฌานแล้วล่ะ” จัดการเรื่องที่ค้างคาในใจเรียบร้อย หลิวหลีก็จะได้เข้าฌานอย่างสบายใจ

“อ่ะแฮ่ม นังหนู ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” เอ๋าเลี่ยกระแอมเบาๆแล้วพูดขึ้น

“ยังมีเรื่องอะไรอีกหรือ” หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ลืมอะไร

“นังหนู เจ้านี่ขี้ลืมจริงๆ หงหลินจะร้องไห้แล้ว” ดูสิดู ในใจของนังหนูมีแต่คู่หมั้นของนาง พอออกฌานก็คิดถึงแต่คู่หมั้นของตัวเอง หงหลินเชื่อฟังคำพูดของหลิวหลีพยายามเตรียมตัวเพื่อแปลงร่าง ในระหว่างนั้นหลิวหลีก็สูบพลังเซียนจากในมิติ หงหลินหัวรั้นขนาดนี้ สหายของนางกลับไม่เห็นเลยหรือ

“เอ่อ หงหลินยังสบายดีอยู่ใช่ไหม” นางลืมไปแล้วจริงๆจำได้เหมือนตอนนั้นนางเคยพูดว่าให้หงหลินกลายร่างก่อนค่อยออกฌาน ดูเหมือนนางจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ทำพันธสัญญากันก็ตาม

“ใกล้แล้ว หงหลินใกล้จะกลายร่างแล้ว ถึงตอนนั้นจะมีวิบากอัสนีบาต ที่นี่น่าจะไม่สามารถรับรู้ได้”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะเข้าฌานช้าหน่อย รอหลังจากหงหลินกลายร่างก่อนแล้วกัน” หลิวหลีกล่าว

“ไม่จำเป็น นังหนู ตอนนี้ข้าก็สามารถเข้าออกมิติได้อย่างอิสระ ข้าพาหงหลินออกไปรับวิบากแห่งสวรรค์เองก็ได้” หนานกงเวิ่นเทียนพูดแทรกขึ้นมา

“แต่ว่า”

“ข้าคิดว่าหงหลินน่าจะเข้าใจ อาการบาดเจ็บของเจ้าสำคัญกว่า” หนานกงเวิ่นเทียนรู้ว่าหลิวหลีจะพูดอะไร เดิมที่ท่านเอ๋าเลี่ยบอกว่าหลิวหลีเกือบจะลืมหงหลิน หลิวหลีก็รู้สึกผิด หากไม่ไปดูนางกลายร่าง นังหนูก็จะยิ่งรู้สึกผิด แต่อาการบาดเจ็บของนังหนูจะรอช้าไม่ได้

“ใช่ นังหนู หงหลินเข้าใจอยู่แล้ว อาการบาดเจ็บของเจ้าจะรอช้าไม่ได้” เอ๋าเลี่ยเองก็เข้าใจลำดับความสำคัญของเรื่องราว จึงพูดกับหลิวหลีด้วยเช่นกัน

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฝากบอกหงหลินว่าขอให้นางกลายร่างอย่างราบรื่น” หลิวหลีเห็นท่าทีหนักแน่นของทั้งสองคนก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย นางจะต้องรีบรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองให้ดีขึ้นจึงจะถูก

“แน่นอน นังหนู เจ้าไปรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองเถอะ” หนานกงเวิ่นเทียนรับประกัน

พอได้รับการรับประกันจากทั้งสองคน หลิวหลีก็กลับไปเข้าฌานต่อที่สระน้ำวิญญาณ ครั้งนี้หากนางไม่เข้าสู่ช่วงรวมกายานางก็จะไม่ออกจากฌาน

“เฮ้อ นังหนูนี่ขี้ลืมจริงๆ” เอ๋าเลี่ยกล่าว

“เข้าใจได้ เพราะอย่างไรเสียช่วงนี้หลิวหลีผ่านอะไรมามากมายเกินไป” หนานกงเวิ่นเทียนพูดแทนหลิวหลี

“เอาเถอะ รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนังหนู ข้าไม่เป็นห่วงหรือไง นางบาดเจ็บกลับมาทุกครั้ง แต่ข้าก็รู้สึกนับถือที่นางสามารถทำเรื่องที่คนอื่นทำไม่ได้ เพลิงอัคคีเพียงชนิดเดียวที่มีคนมากมายไม่สามารถทนแบกรับความเจ็บปวดนั้นได้ แต่นังหนูกลับกล้าฝึกบำเพ็ญคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ ทั้งยังฝึกได้อย่างราบรื่น ตอนนี้ข้าเริ่มเชื่อคำพูดของโม่หรานแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้ยังสงบสุขดีอยู่คงไม่มีใครอยากจะให้เกิดสงครามใหญ่ระหว่างเซียนกับมารขึ้นหรอก” เอ๋าเลี่ยปวดใจแล้วพูดขึ้นอย่างหมดหนทาง

“คำพูดพวกนี้อย่าบอกนังหนูเลย ข้าเป็นห่วงว่าหากนังหนูได้ยินแล้วจะยิ่งพยายามหนักขึ้นกว่านี้” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว

“ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน” เอ๋าเลี่ยเห็นด้วย

หลิวหลีเดินเข้าไปในสระน้ำวิญญาณ สูดหายใจเข้าลึก นางชอบประโยคหนึ่งมาโดยตลอด ‘ความแข็งแกร่งเกิดมาจากความวิปริต’ แต่ตอนนี้นางยังมีความวิปริตไม่พอ รอก่อนนะ ไม่ว่าช้าหรือเร็วนางจะต้องฝึกฝนไปอยู่จุดสูงสุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ให้ได้ หลิวหลีหลับตาลงเริ่มต้นรักษาอาการบาดเจ็บอีกครั้ง

………………………………………………….