การมาถึงของหยวนยู่ทำให้เมืองเฮิงแข็งแกร่งขึ้นมาก

เขาตั้งใจจะออกจากเมืองในวันพรุ่งนี้เพื่อจัดการกับศัตรู แต่ทว่าพวกต่างแดนกลับเก็บข้าวของเตรียมถอยทัพกลับกันแล้ว

และเหตุผลหลัก ๆ ที่พวกมันถอยไปนั้น ก็เพราะได้รับคำสั่งจากทางราชวังให้ล่าถอยกลับมานั่นเอง มิใช่กลัวหยวนยู่แต่อย่างใด

การนำทัพของถังหยินเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ไม่ใช่แค่บุกเข้าไปในวังได้เท่านั้น เขายังบีบบังคับให้ราชาของเบสซ่าหวาดกลัวจนต้องสั่งให้กองทัพถอยกลับมาได้ด้วย

จริง ๆ แล้วได้มีขุนนางผู้หนึ่งมาหาคนีสแล้วตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน แต่ทว่าเขายังลังเลที่จะรับคำสั่งนี้อยู่จนเวลาล่วงเลยไปมากกว่า 5 วัน แต่หลังจากที่ได้เห็นหยวนยู่ปรากฏตัวออกมา เขาก็ต้องยอมรับแล้วว่าพวกตนนั้นพ่ายแพ้และได้แต่ล่าถอยกลับไป

เมื่อเห็นว่าศัตรูล่าถอยออกไปแล้ว พวกเฟิงก็ดีใจเป็นอันมาก ด้วยศึกสงครามในครั้งนี้จบลงเสียที

ทว่าหยวนยู่กลับผิดหวัง และคิดจะควบม้าออกไปไล่ล่าพวกมันต่อ หากแต่ก็ได้หยวนจี้เข้ามาห้ามเอาไว้ โดยให้เหตุผลว่าในเมื่อพวกมันหนีไปแล้ว งั้นก็ไม่ต้องไปตามราวีมันหรอก

เมื่อพวกศัตรูไม่อยู่ บรรยากาศก็กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง พวกทหารปิงหยวนพากันล้มตัวลงนอนด้วยความไม่อยากจะเชื่อ พากันคิดว่าชัยชนะครั้งนี้นั้น มันราวกับปาฏิหาริย์ !

ระหว่างที่เก็บกวาดซากค่ายของพวกเบสซ่า พวกเขาก็ค้นพบหมวกของจางโจวแต่กลับไม่เจอศพหรือเกราะเลย นอกจากนี้ก็ยังมีซากศพกองพะเนินของทหารใต้บัญชาของจางโจวทั้งหมด 5 พันนายนั่นอีก จึงถือได้ว่าเมืองเฮิงสูญเสียไปมากทีเดียวในการต่อสู้ครั้งนี้

วันต่อมาถังหยินก็กลับมาที่เมืองอย่างปลอดภัย รวมทั้งทหารที่ติดตามไปด้วยเช่นกัน แต่ด้วยการแต่งกายที่ดูเหมือนพวกเบสซ่า จึงทำให้ทหารยามถึงกับต้องไปแจ้งเตือนว่ามีการบุกมาซ้ำอีกครั้ง หากแต่หลังจากพบว่าผู้มาเป็นใคร พวกเขาก็พากันเปลี่ยนท่าที

การลอบโจมตีของชายหนุ่มสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับพวกต่างแดนเป็นอย่างมาก นั่นหมายความว่าพวกมันจะหวาดกลัวและไม่กล้ามารุกรานเขตปิงหยวนไปอีกนาน

เมื่อเห็นว่าเมืองยังปลอดภัยดี ถังหยินก็โล่งอก เพราะสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือการที่เขาเจรจาสำเร็จแต่เมืองดันถูกตีแตกไปเสียก่อน และถ้าเป็นแบบนั้นเขาคงจะปวดใจไม่น้อยเลย

“ขอต้อนรับท่านแม่ทัพกลับมาขอรับ !”

หยวนจี้ มูฉิงและทุกคนออกมาต้อนรับเขาอย่างยิ่งใหญ่ จากนั้นแม่ทัพใหญ่ของเมืองอย่างมูฉิงก็กล่าว “นายท่าน ข้าน้อยทำตามที่ท่านต้องการได้สำเร็จแล้วขอรับ”

ถังหยินมองเขาจากบนหลังม้าก็ยิ้มบาง ๆ สิ่งที่มูฉิงบอกเมื่อครู่นี้คือการบอกเป็นนัย ๆ ให้เขาอย่าลืมสัญญาที่บอกเอาไว้เมื่อก่อนที่จะออกเดินทาง ซึ่งชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก เขาพร้อมทำตามคำขออยู่แล้ว

เขาพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้ม “มูฉิง เจ้าทำได้ดีมาก”

“เพื่อตอบรับความต้องการของนายท่าน ข้าน้อยพร้อมทำทุกวิถีทางขอรับ”

ต่อหน้าถังหยิน เขาทำได้แค่พูดเยินยออีกฝ่ายให้รู้สึกดีเท่านั้น ด้วยตัวเขาเองนั้นก็ใช่ว่าจะเก่งในเรื่องการพูดจาทางเมืองเท่าใดนัก ซึ่งมันก็เป็นปกติของนายทหารอยู่แล้ว

ทุก ๆ คนอยากได้ยินคำพูดที่สวยหรู ไม่เว้นแม้แต่ถังหยิน

แต่แล้วชายหนุ่มก็หยุดหัวเราะเพราะเขาได้ยินคำพูดที่ไม่เข้าหูดังขึ้นมาจากในฝูงชน ซึ่งเมื่อหันไป เขาก็พบเข้ากับชายคนหนึ่งที่มีอาวุธแปลกตาอยู่ในมือ กำลังยืนอยู่ข้างหลังหยวนจี้

โดยไม่รอช้า หยวนอู่และหยวนเปียวพลันรีบลงจากม้า วิ่งเข้าไปหาทันที “พี่รอง !”

พี่รอง ? การที่สองพี่น้องนี่จะเรียกว่าพี่น้องได้ มันก็แปลว่าเขาต้องเป็นคนในตระกูลฉางกวงด้วย

หรือว่าจะเป็นหยวนยู่ ?

ถังหยินไม่คุ้นหูกับชื่อนี้เท่าใด เขาเพียงแค่เคยได้ยินมาว่าชายคนนี้เก่งกาจชนิดที่ว่าไม่มีใครสามารถล้มได้เท่านั้น

เมื่อเห็นน้องชายตัวเองรอดปลอดภัยกลับมา หยวนยู่ก็ดีใจมาก “พวกเจ้าไปที่เมืองหลวงของพวกเบสซ่าเพื่อรบจริง ๆ หรือ ?”

“ใช่แล้ว ! พวกเราเข้าไปในเมืองของพวกมันแล้วก็ปล้นของมามากมายเลยด้วย !” ทั้งสองพยักหน้า ก่อนที่จะปลดเกราะออกเพื่อหยิบแก้วแหวนเงินทองที่ปล้นมาได้มากมาย

หยวนยู่พยักหน้าให้และไม่คิดว่าถังหยินจะทำได้จริง ๆ ทำให้เขามองชายหนุ่มผู้นี้ใหม่อีกครั้ง

ถังหยินสบตาหยวนยู่ หยวนยู่จ้องตอบถังหยิน

พวกเขาเอาแต่จ้องหน้ากันและกันอย่างไม่ถอยหนี จนกระทั่งมูฉิงต้องพูดขึ้นมาเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ “นายท่าน นี่คือหยวนยู่ น้องชายของหยวนจี้ขอรับ !”

หยวนยู่ทำหน้าตาตื่นตกใจแบบหลอก ๆ ก่อนพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็ได้ยินเรื่องของเจ้ามาเยอะเหมือนกัน เขาว่าเจ้าเก่งกาจเอาเรื่องทีเดียว สนใจจะมาประลองกับข้าไหมเล่า ?”

หยวนจี้แทบจะสำลักน้ำออกมาทันที เขาไม่คิดว่าน้องชายตัวเองจะห้าวหาญเรียกฝ่าเท้าได้มากขนาดนี้

“นายท่าน… น้องชายข้ายังไม่รู้ประสีประสามากนัก ได้โปรดอย่าถือโทษโกรธ…” หยวนจี้พยายามแก้ตัวแล้ววโค้งตัวให้

ถังหยินยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเขา แล้วก็มองไปที่หยวนยู่ที่ยังคงยิ้มอยู่อย่างนั้น “การที่เจ้าคิดมาท้าข้าประลอง งั้นแล้วเจ้าต้องบอกมาก่อนว่าจัดการศัตรูได้กี่คนในสนามรบกัน ?”

ชายเลือดร้อนหัวเราะออกมา “ข้าจัดการได้มากกว่าเจ้าก็แล้วกัน”

“โฮ่ ขนาดนั้นเชียวหรือ แต่ไม่ว่าเจ้าจะเก่งขนาดไหน ก็ใช่ว่าจะล้มข้าได้หรอกนะ”

หยวนยู่รู้สึกหงุดหงิดในใจอย่างบอกไม่ถูก ก่อนจะถามกลับด้วยความขุ่นเคือง “แล้วเจ้าเล่า ?”

“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก”

คำพูดนี้ยิ่งทำให้หยวนยู่มีน้ำโหหนักขึ้นไปอีก “ไร้สาระ ! ถ้าเจ้าไม่รู้ก็อย่าพูดออกมาให้เปลืองน้ำลาย !”

ถังหยินยักไหล่ให้ “ถ้าเจ้าคิดว่าข้าพูดเกินความจริงล่ะก็ ลองมาอยู่ข้างข้าดูสิ จะได้รู้กันไปเลย”

“ก็ได้ !” ทันทีที่พูดออกไป หยวนยู่ก็รู้แล้วว่าตัวเองพลาดท่าเข้าให้แล้ว ถังหยินมันเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินไป จนสามารถยั่วยุ่ให้เขาโมโหแล้วสัญญาพล่อย ๆ ออกไปได้ “เจ้า…”

ชายหนุ่มพูดต่อ “เอาล่ะ ในเมื่อตกลงกันได้แล้ว งั้นก็ตามข้ามา” จากนั้นเขาก็โบกมือแล้วควบม้าเดินผ่านหยวนยู่ไป

ทิ้งให้ชายเลือดร้อนยืนมองเขาด้วยความโกรธเคือง ทว่าในขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ผู้เป็นพี่ชายของเขาก็ได้มาห้ามไว้ “หยวนยู่ เจ้าต้องยึดมั่นในคำพูดตัวเอง และก็เชื่อข้าเถอะ ถึงนายท่านจะดูหนุ่มไร้ประสบการณ์ หากแต่ความสามารถของเขาน่ะของจริง !”

เขาไม่ได้ขอร้องให้หยวนยู่เข้าร่วมกับถังหยินก็จริง แต่ด้วยความฉุนเฉียวขาดความยั้งคิดของน้องชาย มันก็ช่วยให้งานทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก และไม่ว่าน้องเขาจะอยากรับใช้จริงหรือไม่ หากแต่คำพูดนั้นมันก็ได้หลุดออกไปแล้ว

หยวนยู่ได้แต่ส่ายหัวด้วยความหงุดหงิดแล้วเดินออกไป

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอถังหยิน และความประทับใจแรกพบเกี่ยวกับชายคนนี้ก็คือ ‘น่ารำคาญ’ ยิ่งนัก !