ท่านชายโจวหกสาวเท้ายาวก้าวออกไป สาวใช้และแม่นมต่างก้มหน้าแล้วหลีกทางให้ ก่อนจะมองชายหนุ่มจากไปพร้อมกับสายลมในฤดูหนาว
“ท่านชายหกดูเหมือนจะไม่พอใจ”
“เช้าตรู่เช่นนี้ ใครทำให้ท่านชายหกอารมณ์เสียอีก”
“อันที่จริงท่านชายหกก็มิได้มีความสุขมานานมากแล้ว…”
“ดูท่าทางท่านชายคงกำลังจะไปหาแม่นางเฉิง..”
ปั้นฉินหยุดเดินอย่างห้ามไม่ได้ พร้อมกับมองตามทางด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
นายหญิง…
“นี่เจ้า เดินให้มันเร็วๆ หน่อย เลี้ยงเสียข้าวสุกเสียจริง” หญิงสาวอีกคนตะโกนด้วยความโมโห
ปั้นฉินรีบก้มหน้าลง นางกำท่อนไม้ในมือแน่น ก่อนจะช่วยสาวใช้นางนั้นแบกชะลอมตักน้ำแล้วเดินต่อไปอย่างทุลักทุเล
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้าแกล้งกันหรือไร ไม่เต็มใจก็บอกว่าไม่เต็มใจสิ เหตุใดต้องทำให้ท่านแม่โมโหถึงเพียงนี้ด้วย”
ท่านชายโจวหกตะโกนพลางมองหญิงสาวที่นั่งหลังตรงอยู่เบื้องหน้า
“ท่านชายโจวหก นายหญิงของข้าป่วยอยู่นะเจ้าคะ” สาวใช้เอ่ยเสียงดังพร้อมขมวดคิ้ว
“อย่ามาแกล้งบ้าหน่อยเลย คำพูดเช่นนี้เก็บไว้หลอกคนอื่นเถอะ” ท่านชายโจวหกกล่าว
“เฉิงเจียวเหนียง เจ้าก็แค่เด็กคนหนึ่ง เจ้าคิดว่าพวกเราไม่ดูดำดูดีเจ้าอย่างนั้นหรือ เหตุใดถึงได้ทำกันเพียงนี้”
ท่านชายโจวหกจ้องมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้า ยิ่งยามที่ได้เห็นใบหน้าอันเย็นชาของนาง ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองมากขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอับอายแทนท่านแม่หรืออย่างอื่นกันแน่
“ความปรารถนาดีกลับกลายเป็นความเกลียดชังในสายตาของเจ้า เจ้ามีอะไรก็พูดออกมาให้หมดได้หรือไม่ อย่ามาพูดประชดประชันกันเช่นนี้”
“เงินของเจ้ามันก็แค่น้อยนิด ไม่มีค่าพอถึงกับต้องกลั่นแกล้งเจ้าหรอก! ”
“หาว่าพวกข้ากลั่นแกล้งเจ้าอย่างนั้นรึ เฉิงเจียวเหนียงเจ้าคิดว่าตัวเองเก่งกาจ ไม่เกรงกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว ตระกูลโจวของพวกเรานอกจากน่าขยะแขยงก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเจ้าเลยใช่หรือไม่”
“เฉิงเจียวเหนียง บัดนี้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดัง คิดว่าพวกเราจะพึ่งพาชื่อเสียงของเจ้า อยากได้ผลประโยชน์จากเจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลโจวของพวกเราต้องคอยปกป้องและเป็นร่มเงาให้เจ้าพักพิง หากไม่มีตระกูลเราคอยคุ้มครองเจ้า ไม่ช้าก็เร็วเจ้าคงถูกรุมทึ้งจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก”
เฉิงเจียวเหนียงวางแก้วน้ำในมือลง นางมองท่านชายโจวหกที่ยืนหน้าแดงก่ำอยู่ในห้อง นางทำเหมือนราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย สีหน้ายังคงนิ่งเรียบดังเดิม
“ใครจะกินข้าหรือ” นางเอ่ยถาม
ท่านชายโจวหกกัดฟันเสียงดัง
“เชิญเจ้าเสแสร้งต่อไปเถอะ! ” เขาพูดพลางหันหลังเดินจากไป
ภายในเรือนเงียบสงัดลงอีกครั้ง สาวใช้นั่งคุกเข่าลงด้วยความกังวลปนโมโห
“นายหญิงเจ้าคะ…” นางเอ่ยขึ้น
“ไม่เป็นไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางมองออกไปที่ประตู “ยั่วโมโหข้าเช่นนี้ คงทำได้ไม่ถึงสามครั้งหรอก”
อะไรไม่เกินสามครั้ง เรื่องที่ท่านชายหกหยาบคายไร้มารยาทอย่างนั้นหรือ
และหากเกินสามครั้งจะเป็นเช่นไร
สาวใช้ตะลึงเล็กน้อย
“ข้าอยากฝึกเขียนหนังสือ เจ้าช่วยอ่านให้ที” เฉิงเจียวเหนียงพูดพลางถลกแขนเสื้อขึ้น
สาวใช้รีบตอบรับและหยิบหนังสือจากด้านข้างออกมา
เสียงอ่านหนังสือดังลอดออกมาจากภายในห้อง
ณ เมืองหลวงอันพลุกพล่าน แม้จะยังไม่ถึงเวลามื้ออาหาร แต่เรือนนางฟ้ากลับคึกคักเสียแล้ว
คณิกาสาวนั่งดื่มสุรากับแขกทั้งร้องทั้งบรรเลงดนตรี หวังให้แขกสั่งอาหารว่างและน้ำชา หญิงสาวหัวร่อต่อกระซิกเยินยอเหล่าชายไม่เอาการเอางาน ควันไอร้อนจากหม้อทองแดงทำให้ห้องโถงแห่งนี้ดุจดินแดนในสรวงสวรรค์ เสียงดังครื้นเครง
โถงชั้นหนึ่งเสียงดังจอแจ ขณะที่ห้องส่วนตัวบนชั้นสองกลับดูงดงามและเงียบสงบ มีเพียงยามที่บ่าวยกเครื่องดื่มมาให้เท่านั้น ถึงจะได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาจากประตูที่ถูกเปิดออก
โต้วชีก้าวเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้วรีบปิดประตูลง นี่เป็นห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ ด้านหน้าเขามีฉากกั้นลายดอกไม้ใบหญ้าตั้งอยู่ ทำให้มองเห็นเพียงเลือนลางว่าด้านหลังมีคนนั่งอยู่สองสามคน
โต้วชีฉีกยิ้มบนใบหน้าให้กว้างขึ้นกว่าเดิมก่อนจะเดินอ้อมผ่านฉากกั้นห้องไป ชายผู้หนึ่งอายุราวห้าสิบปีปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา ใบหน้าของเขาเป็นทรงเหลี่ยม ใบหูใหญ่ หนวดเคราขาวยาว ท่าทางดูน่าเกรงขาม
“ท่านปู่ขอรับ” เขาเอ่ยเรียกเสียงดังพร้อมก้าวไปข้างหน้าแล้วคุกเข่าลง
คณิกาสาววัยแรกแย้มของขุนนางสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยื่นกาเหล้าให้
โต้วชีรับแล้วถือไว้ในมือของตน
“ต้องขอบคุณท่านปู่ที่ประสานเรื่องให้ ถึงทำให้ขายสุราได้ขอรับ” เขากล่าว
แต่ไหนแต่ไรมาสุรานั้นผลิตโดยทางการ และการขายสุราภายในร้านอาหารจะต้องถูกทางการเก็บภาษีด้วย
ชายผู้นั้นรับจอกเหล้าแล้วตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งสงบ
“ไม่ใช่เหล้าดีหรอก เหล้าที่ทางการนำออกมาขายปลีก ไม่ดีเท่ากับเหล้าต้มพิเศษหรอก” เขาเอ่ยพลางจิบเพียงคำเดียวแล้วหยุดลง “รอสูตรเหล้าชั้นดีจากหอฮุ่ยเซียนก่อน”
โต้วชีดีใจเป็นอย่างมาก
“แต่ว่าหอฮุ่ยเซียน…” เขากังวลขึ้นมาอีกครั้ง
หากไม่มีขุนนางให้พึ่งพา เป็นไปไม่ได้ที่จะเปิดร้านอาหารและได้รับอนุญาตให้ต้มสุราเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูตรลับในการต้มสุรานั้น มีมูลค่ามหาศาลนัก มิใช่ว่าอยากได้ ก็จะได้มาง่ายๆเสียที่ไหนกันเล่า
“ผู้ช่วยราชเลขาธิการหนิวเหวินชิงประพฤติมิชอบ” ชายผู้นั้นเอ่ยเสียงเรียบ
โต้วชีเข้าใจทันที
นั่นเป็นที่พึ่งพิงของหอฮุ่ยเซียน หากขาดที่พึ่งไปก็ถึงเวลาที่จะต้องแบ่งปันผลประโยชน์กัน
“ขอบคุณท่านปู่มากขอรับ” เขารีบเอ่ยขอคุณเสียงดัง
มีทั้งนางฟ้าผ่านทาง มีทั้งเหล้าชั้นดี เช่นนี้แล้วเรือนนางฟ้าจะไม่ร่ำรวยได้อย่างไร!
หากร่ำรวยแล้ว เหล่าพวกคนขี้อิจฉานั้น…
“ท่านปู่ คราวก่อนที่ข้าบอกท่านว่าถ้าหาก…” เขาเงยหน้าขึ้นเอ่ยในทันที
“มีอะไรหรือ” ชายผู้นั้นเอ่ยถามเสียงเรียบ
“เพียงแต่เจ้าของนางฟ้าผ่านทางนั้น…” โต้วชีกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“กุยเต๋อหลางแห่งตระกูลเจียงโจวหรือ” ชายผู้นั้นถามอย่างเหยียดหยาม “มีอะไรให้น่ากล่าวถึง”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ตระกูลโจวของเขาโดดเด่นยิ่งนัก เพราะสนิทสนมกับท่านอำมาตย์เฉินและถงเน่ยฮั่น แถมในบ้านยังมีเซียนที่เรียกคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ด้วย…” โต้วชีกระซิบ
“ฟื้นจากความตาย เซียนอย่างนั้นหรือ” ชายผู้นั้นยิ่งกล่าวยิ่งเย้ยหยันเข้าไปอีก “เรื่องผีสางเทวดาเช่นนั้น วิญญูชนสมควรออกห่าง ชาวเมืองปากตลาดจะเล่าลือกันอย่างไรคงห้ามมิได้ แต่พวกเขากลับกล้ายอมรับด้วยหรือ เป็นถึงขุนนางแห่งโอรสสวรรค์แต่กลับประโคมข่าวอย่างเปิดเผยเช่นนั้น ข้าว่าตระกูลโจวของพวกเขาคงมีเจตนาไม่ดี วางแผนมิชอบอยู่เป็นแน่ อย่างไรรึ จะบอกว่านางฟ้าผ่านทางนี้เซียนผู้นั้นเป็นผู้ให้สูตรมาหรือ หากพวกเขาใช้แล้ว ผู้อื่นจะใช้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
พูดถึงตรงนี้ก็โยนผ้าขนหนูเช็ดมือลงบนโต๊ะ
“บังอาจนัก!” เขาเอ่ยขึ้น รอยยิ้มแห่งความโลภปรากฏขึ้นที่มุมปาก “หากกล้าเช่นนั้นจริงๆ ก็ไม่เลว”
กล้าจริงหรือ เหตุใดถึงพูดว่าไม่เลวเล่า
โต้วชีรู้สึกงงงวยไม่น้อย
“ชุบชีวิตคนตายอย่างนั้นหรือ ช่างน่าสนใจนัก” ชายผู้นั้นพึมพำกับตัวเอง พร้อมกับหรี่ตาลง
ตั้งแต่รักษาบัณฑิตถงจนหายดีและแม้จากนั้นจะมีข่าวแพร่สะพัดว่าเฉิงเจียวเหนียงล้มป่วย แต่ก็มิสามารถต้านทานความประหลาดใจของผู้คนที่มีต่อเรื่องอัศจรรย์นี้ได้ และไม่อาจหยุดยั้งความคิดของผู้คนที่จะมาขอรักษาได้เลยแม้แต่น้อย ทว่ากฎเหล็กไม่รับรักษาทั้งสองข้อของเฉิงเจียวเหนียง ทำให้ผู้คนไม่ได้แห่มากันมากมายขนาดนั้น
นั่นเป็นเพราะคนที่ใกล้ตายจริงๆ นั้นมีไม่มาก ยิ่งเป็นคนรวยที่ใกล้ตายยิ่งน้อยลงไปอีก แต่มิได้หมายความว่าไม่มี
ในเช้าตรู่ของปลายฤดูหนาว ความเงียบสงบของตระกูลโจวก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงดังสนั่นอีกครั้ง
“รีบเรียกหมอเทวดามาช่วยเร็ว พ่อข้าจะไม่ไหวแล้ว”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น จนสองสามีและภรรยาตระกูลโจต้องปวดหัวไม่น้อย
“เจ้าว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ถึงได้มีคนหามคนตายเข้าบ้านไม่หยุดหย่อน ช่างอัปมงคลเสียจริง” ฮูหยินโจวบ่น
โชคดีที่ยามเฝ้าประตูหน้าเรือนตระกูลโจวได้รับบทเรียนและใจกล้ามากขึ้น หลังจากที่ตระกูลถงพังประตูเข้ามาเมื่อคราวก่อน ไม่ว่าจะเป็นใครจะเรียกชื่อใดออกมาก็ตาม ก็ไม่สามารถผ่านประตูเข้ามาได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป
“พวกเจ้าจะขวางอะไรนักหนา พวกข้ามิได้มาหาคนของตระกูลโจวสักหน่อย พวกข้ามาหาแม่นางเฉิงต่างหาก รีบเปิดประตูเร็ว” ฝูงชนที่อยู่นอกประตูกำลังเกรี้ยวกราด เสียงตะโกนดังปนกันกับเสียงร้องไห้ของหญิงมีอายุดังลอดเข้ามาด้วย
ฮูหยินโจวโมโหจนอยากจะกระแอมออกมา
ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลโจวของพวกเขาอย่างนั้นหรือ หมายความว่าอย่างไรกัน! คนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่!
ทว่าหากปล่อยให้เอะอะโวยวายหน้าประตูเช่นนี้คงไม่งามนัก จำต้องยอมให้เข้ามาตามหนังสือร้องขอ
“มีอะไรหรือ ลูกสาวบ้านข้าไม่สบายอยู่” ฮูหยินโจวพูดอย่างไม่ใส่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางเห็นว่าหนังสือร้องขอนั้นมาจากตระกูลที่ไร้ชื่อเสียง ยิ่งทำให้นางโมโหขึ้นไปอีก
ทุกคนต่างรู้ว่าเฉิงเจียวเหนียงป่วยจนต้องเชิญหมอมารักษา และเมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้ที่มาขอความช่วยเหลือก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย ทว่าไม่ทันได้พูดอะไรออกมา สาวใช้เดินเข้ามาแล้ว
“ฮูหยินเจ้าคะ แม่นางเฉิงจะออกไปข้างนอก ให้เตรียมรถเจ้าค่ะ” นางกล่าว
ทุกคน ณ ลานกว้างต่างตกตะลึง
ออกไปข้างนอกได้ แสดงว่าไม่ป่วยแล้วสิ
ความเกลียดชังในใจของฮูหยินโจวพุ่งพล่าน จะมาบอกตอนไหนก็ได้ แต่เหตุใดถึงได้เลือกบอกเอาตอนนี้
นางไม่เข้าใจว่าตั้งแต่เฉิงเจียวเหนียงย้ายเข้ามาอยู่ในเรือน เหตุใดถึงจงใจหาเรื่องให้นางอยู่ตลอด
“แม่นางเฉิง แม่นางเฉิง” พอได้สติกลับคืนมาก็เรียกร้องขอพบในทันที
ตอนนี้นางคงรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว เลยต้องให้คนนำทางไป
พอมาถึงประตูรองก็บังเอิญเจอเสียแล้ว
เมื่อมองเห็นคนที่ถูกหามอยู่ตรงหน้า เฉิงเจียวเหนียงจึงยกหมวกขึ้นและชำเลืองมอง
“ตอนนี้ข้ารักษาให้ไม่ได้ เจ้าไปหาคนอื่นเถิด” นางกล่าว
ผู้มาเยือนถึงกับชะงัก คนของตระกูลโจวก็ตะลึงด้วยเช่นกัน
รักษาไม่ได้อย่างนั้นหรือ
เหตุใดถึงรักษาไม่ได้เล่า
รักษาไม่ได้ หรือว่าไม่ตรงตามกฎจึงไม่รักษาให้
หมายความว่าอย่างไรกันแน่
“แม่นาง แม่นาง” ผู้มาเยือนได้สติจึงรีบขอร้อง
“พ่อของข้าไม่ไหวแล้ว แม่นางเฉิงโปรดเมตตาด้วย…” พวกเขาร้องเสียงดัง
“พวกเรามีเงิน พวกเรามาพร้อมกับเงินหนึ่งหมื่นก้วน!” มีคนตะโกนขึ้นมา “ไม่สิ หนึ่งหมื่นห้าพัน
ก้วน สองหมื่นก้วนก็ได้ แม่นางเฉิงโปรดช่วยชีวิตด้วย! ”
สองหมื่น!
คนตระกูลโจวได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงเช่นกัน
………………………………………………………………