บทที่ 181 บรรพบุรุษตัวน้อย

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ใต้เท้าสวีกระอักกระอ่วนใจ จากนั้นจึงหัวเราะเสียงแห้งและพยักหน้าพูดว่า “เป็นกระหม่อมที่เลอะเลือน เลอะเลือน”

ยามนี้สวีฮูหยินผู้มองไม่เห็นพิรุธใดๆ ทั้งสิ้นกลับเอ่ยวาจาหยอกล้อขึ้นมาว่า “คุณชายหลินมีฐานะเป็นผู้ติดตามข้างกายเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่ดื่มสุราไม่เป็นใช้ได้ที่ไหนกันเล่า หากเซ่อเจิ้งอ๋องประทับอยู่ข้างนอกย่อมต้องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบปะสังสรรค์ ตามที่หม่อมฉันดูแล้วไม่สมควรให้เซ่อเจิ้งอ๋องช่วยดื่มสุราแทนคุณชายหลิน แต่ต้องเป็นคุณชายหลินช่วยดื่มสุราแทนเซ่อเจิ้งอ๋องเพคะ”

หลินชิงเวยเลิกคิ้วพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “สวีฮูหยินพูดถูกต้องแล้ว ครั้งหน้าข้าจะระมัดระวัง”

เดิมทีบุตรสาวทั้งสองของตนต้องเสียเปรียบให้กับหลินชิงเวย ในใจสวีฮูหยินจึงมีคำพูดไม่พึงพอใจอยู่แล้ว วันนี้ใต้เท้าสวีกลับต้องการให้หลินชิงเวยนั่งในโต๊ะแขก อีกทั้งยังปฏิบัติต่อนางด้วยท่าทีเคารพนอบน้อมเช่นนี้ จึงทำให้สวีฮูหยินรู้สึกอึดอับคับข้องใจอย่างเลี่ยงได้ยากจึงได้กล่าววาจาเช่นนี้ออกไป

ไหนเลยจะคิดว่าใต้เท้าสวีกลับถลึงตาใส่นางครั้งหนึ่ง และพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “มีผู้ใดพูดจากับแขกผู้สูงศักดิ์เช่นเจ้าบ้าง คุณธรรมของสตรีเล่า!” พูดแล้วก็หันไปพูดกับหลินชิงเวยอย่างรู้สึกผิดว่า “ฮูหยินไม่รู้จักหนักเบา ขอคุณชายหลินอภัยให้ด้วย”

สวีฮูหยินถูกเขาตะคอกใส่ประโยคหนึ่งจึงตกตะลึงและรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก

หลังจากผ่านอาหารยามกลางวันแล้ว ไฉนจะไม่มีรายการบันเทิงเพื่อเพิ่มความสุขใจเล่า อีกทั้งอวี้ย่วนและอวี้ม่านล้วนได้เตรียมการล่วงหน้าแล้ว สวีฮูหยินจึงเสนอให้คุณหนูทั้งสองบรรเพลงพิณให้เซ่อเจิ้งอ๋องฟัง

คุณหนูทั้งสองเพื่อแสดงความสามารถต่อหน้าเซ่อเจิ้งอ๋องได้ฝึกซ้อมอย่างยากลำบาก คนหนึ่งอุ้มพิณโบราณมาตัวหนึ่ง อีกคนหนึ่งอุ้มผีผามาตัวหนึ่ง ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก อีกทั้งบทเพลงที่บรรเลงออกมาก็ไพเราะเสนาะหู

หลินชิงเวยที่กินข้าวอิ่มและมีเสียงบรรเลงพิณจึงนั่งสัปหงก เพียงแต่หลินชิงเวยขดกายนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ เซียวเยี่ยนจึงเห็นแก่หน้าอย่างยิ่ง ไม่ได้ลุกขึ้นจากไปทันที เมื่อเป็นเช่นนี้คุณหนูทั้งสองจึงนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ในยามปกติทั้งหมดออกมาแสดงฝีมือ เมื่อแรกใต้เท้าสวีสนทนาเป็นเพื่อนเซียวเยี่ยนอย่างระมัดระวัง เซียวเยี่ยนเองก็รับคำเป็นพักๆ แต่ใต้เท้าสวีกลับค้นพบว่าที่เซ่อเจิ้งอ๋องอดทนฟังคุณหนูทั้งสองท่านบรรเลงพิณ น่าจะ…น่าจะเป็นเพราะ…ไม่อยากรบกวนการนั่งสัปหงกของคุณชายหลินกระมัง…

ต่อมาบุตรสาวทั้งสองของตนบรรเลงพิณกระทั่งนิ้วมือบวมแดงแล้วจึงยอมรามือ

เวลาพลบค่ำ ขอบฟ้าปรากฏให้เห็นสีแดงเพลิง ทำให้ชายคาเรือนใกล้ไกลล้วนกลายเป็นสีแดงเข้ม เมฆสีแดงบนท้องฟ้าค่อยๆ ลับหายไปทางเดียวกับที่ดวงตะวันลับเหลี่ยมเขาไป ท้องฟ้าเหมือนเกล็ดปลาทั้งผืนยังคงส่องสว่างระยิบระยับ

หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนกล่าวอำลาจวนสกุลสวี ไม่ว่าใต้เท้าสวีจะพยายามเหนี่ยวรั้งให้ทั้งสองคนกินอาหารเย็นที่จวนสกุลสวีก่อน ก็ไม่อาจรั้งพวกเขาเอาไว้ได้ ใต้เท้าสวีพร้อมด้วยสวีฮูหยินและคุณหนูทั้งสองอวี้ย่วน อวี้ม่านต่างออกมาส่งคนทั้งสองที่ประตูใหญ่ คุณหนูทั้งสองอ่อนเยาว์ราวกับจะคั้นน้ำได้ สายตาที่มองไปยังเซียวเยี่ยนนั้นเต็มไปด้วยความขัดเขินและชื่นชมบูชา เซียวเยี่ยนทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

เมื่อเห็นว่าสายตาของตนไม่ได้รับการตอบกลับ คุณหนูทั้งสองได้แต่คิดอย่างเจ็บปวดว่าคงหมดหวังแล้ว

หลังออกมาจากจวนสกุลสวี หลินชิงเวยเดินเอามือไพล่หลังอยู่ในตรอก “ดูไม่ออกว่าท่านอาไปที่ไหนล้วนได้รับการต้อนรับ”

เซียวเยี่ยนจูงม้าตัวหนึ่งในมือ และสะพายล่วมยาของหลินชิงเวย เขาพูดเรียบๆ ว่า “พวกนางเพียงแต่หลงใหลเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น”

ถนนสายนี้พวกเขาเดินไปมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งในระยะเวลาหลายวันมานี้ ในตรอกมีผู้คนสัญจรน้อยยิ่ง มีคนเดินสวนมาคนสองคนนานๆ ครั้ง เมื่อเห็นคนทั้งสองก็อดที่จะหันมามองอีกไม่ได้

ต่อมาระหว่างที่เดินผ่านตรอกนั้นได้ผ่านเรือนของชาวบ้าน เห็นลูกๆ ของชาวบ้านออกมาเล่นในตรอก มีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งไล่ลูกตะกร้อที่ทำจากหวายลูกหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครเตะมา ตะกร้อลูกนั้นกลิ้งมาไกลมาก มาหยุดอยู่ข้างเท้าของหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยน

เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งเตรียมจะตามมา ก็พบว่ามีผู้ใหญ่สองคนยืนอยู่ที่นั่น หลินชิงเวยยกเท้าเตะออกไป ลูกตะกร้อถูกส่งกลับไปให้พวกเขา เด็กน้อยจึงพูดอย่างมีมารยาทว่า “ขอบคุณพี่ชาย!” จากนั้นก็วิ่งออกไปเล่นกันต่อ

ผ่านไปครู่หนึ่ง สิงโตบูรพาของแต่ละเรือนเริ่มส่งเสียงร้องเรียกให้ลูกของตนกลับเรือนกินข้าวและเขียนการบ้าน เหล่าเด็กน้อยต่างกลัวว่าหากกลับไปช้าจะต้องถูกปรนนิบัติด้วยไม้หวายในมือของสิงโตบูรพา เมื่อสักครู่ยังล้อมวงเป็นผึ้ง เพียงชั่วพริบตาก็แยกย้ายกันไปรอบทิศเหมือนฝูงนกแตกรัง กระทั่งตะกร้อลูกนั้นก็ลืมที่จะเก็บขึ้นมาจึงถูกทิ้งไว้บนพื้นนั่นเอง

หลินชิงเวยเห็นพวกเด็กแยกย้ายกันไปแล้ว ยังมีเด็กน้อยคนหนึ่งยืนอยู่สุดปลายทาง นางจับจ้องสายตามองไปนี่มิใช่หวังเสี่ยวเป่าที่ได้พบเมื่อสองวันก่อนหรือไร หวังเสี่ยวเป่าผู้นี้มีสีหน้าโกรธเคืองจนหน้าพองลม อายุน้อยแค่นี้กลับถลึงตามองหลินชิงเวยราวกับเป็นศัตรูคู่แค้น ชัดเจนยิ่งนักว่าเขายังจดจำหลินชิงเวยได้ อีกทั้งยังเจ็บปวดอย่างที่สุด

เด็กกลุ่มนั้นไม่เล่นกับเขาจึงทิ้งเขาไว้หลังสุด ยามนี้เขาเล่นตะกร้อเองได้แล้ว ดังนั้นจึงวิ่งมาข้างหน้าสองก้าวเพื่อเตะลูกตะกร้อมาทางหลินชิงเวยด้วยกำลังทั้งหมดที่มี

แต่เขามีแรงไม่พอจึงเตะเบี้ยวออกไป ยังไม่ได้ถึงตัวหลินชิงเวยก็ชนเข้ากับกำแพงเสียก่อน ยามนี้เสียงของยายหวังดังออกมา “เสี่ยวเป่า รีบกลับมากินข้าว ดูสิย่าเตรียมของอร่อยอะไรไว้ให้เจ้า”

สีหน้าลำพองใจชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังเสี่ยวเป่า เหมือนเขากำลังเย้ยหยันหลินชิงเวยว่า–ท่านดูสิ ท่านย่ายังคงดีต่อข้าเพียงนั้น

หวังเสี่ยวเป่าพูดกับหลินชิงเวยว่า “มะรืนนี้ ข้าก็จะเข้าไปศึกษาในสำนักศึกษาที่ดีที่สุดของเมืองหลวงแล้ว!” พูดแล้วก็หันหน้าวิ่งกลับเรือนไป

หลินชิงเวยยืนอยู่นอกเรือนที่คุ้นเคยหลังหนึ่ง หันหน้ามองเข้าไป ด้วยเพราะอากาศร้อนแล้ว สองย่าหลานจึงนำกับข้าวมากินในลานเรือน ใช้โต๊ะตัวหนึ่งวางอาหาร บนโต๊ะอาหารมีไก่ที่ตุ๋นเสร็จแล้วในชามกำลังส่งควันฉุย ทันทีที่หวังเสี่ยวเป่ากลับไปยังไม่ทันได้ล้างมือก็หยิบน่องไก่ในชามมากัดทันที มือหนึ่งถือน่องข้างหนึ่ง กัดด้านละสองคำ รอยายหวังไปหยิบน้ำกลับมาให้เขาล้างมือพบว่าเขากินน่องไก่จนแทบจะเหลือแต่กระดูกแล้ว จึงพูดว่า “ไอหยา เสี่ยวเป่า ไฉนเจ้าจึงไม่ล้างมือก่อนกินเล่า กินแล้วท้องเสียจะทำอย่างไรเล่า” นางทางหนึ่งเช็ดมือให้เสี่ยวเป่า หวังเสี่ยวเป่าใช้มืออีกข้างหนึ่งไปหยิบเนื้อไก่มากิน ยายหวังยังคงพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงปรานีว่า “ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ รออีกสองวันเจ้าก็จะไปร่ำเรียนในสำนักศึกษาแล้ว กลับมาย่าจะตุ๋นไก่ให้เจ้ากินทุกวัน”

หลานชายที่นางอบรมสั่งสอนก็คงเป็นได้เท่านี้ ดูเหมือนจะเลวร้ายลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ยายหวังยังคงรักเขา ขาดเพียงแต่ไม่ได้เห็นเขาเป็นเช่นบรรพบุรุษเท่านั้นเอง

ว่ากันตามฐานะของยายหวัง อย่าว่าแต่จะกินไก่ทุกวัน มีน่องไก่กินก็นับว่าเป็นเรื่องไม่เลวแล้ว แต่เมื่อดูจากสถานการณ์เบื้องหน้า ดูเหมือนฐานะของครอบครัวพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก

หลินชิงเวยอดที่จะขมวดคิ้วถามเซียวเยี่ยนไม่ได้ “ใต้เท้าสวีให้เงินครอบครัวพวกเขาไปเท่าใดกัน” ให้เงินมากมายแค่ไหนก็ถือเป็นการสิ้นเปลืองกระมัง นอกเสียจากว่าจะมีมอดเพิ่มขึ้นอีกตัวหนึ่ง ขณะนั้นหลินชิงเวยเพียงแต่ท้วงติงให้ใต้เท้าสวีจัดการเรื่องในภายหลังให้เรียบร้อย ด้วยเวลานั้นมีเพียงหวงยาที่เห็นเหตุการณ์ หวังเสี่ยวเป่ายังเล็กเช่นนั้นเขาไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้ต้องจัดการเรื่องในภายหลังให้เรียบร้อยก็ไม่ถึงกับต้องให้สองย่าหลานกินเนื้อไก่ทุกวันกระมัง