ณ สำนักเทียนลู่
ฉู่หลิวเยว่เริ่มจัดการปรุงยาภายใต้สายตาที่จับจ้องของจั่วหรงและอาจารย์ท่านอื่นๆ
ประการแรกนางหยิบเปลือกสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือออกมาแล้วฝนลงบนหินบดยาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่นานผงสีขาวละเอียดก็ร่วงลงมา
ของสิ่งนี้มีเนื้อสัมผัสที่หนักและหนาจึงทำให้ฝนลำบากมาก ฉู่หลิวเยว่ฝนมันมาได้ประมาณสิบห้านาทีแล้ว แต่ก็ยังคงเหลืออยู่อีกมากกว่าครึ่งหนึ่ง
เสวียนชางที่อยู่ข้างๆ อดทนแล้วอดทนเล่า จนทนไม่ไหวที่เห็นฉู่หลิวเยว่ทำอะไรดูเงอะงะไปหมด และในที่สุดเขาก็เอ่ยปากขึ้นมาว่า
“ฉู่หลิวเยว่ ตกลงเจ้ารู้หรือเปล่าว่าเขาไม่ได้จัดการกับหอยงวงช้างกันเยี่ยงนี้!”
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ
“ตายจริง! แต่ในตำราเขียนเอาไว้ว่าต้องฝนให้หอยงวงช้างให้กลายเป็นผงก่อนถึงจะใช้ได้ผลมิใช่หรือเจ้าคะ”
เสวียนชางนวดคลึงระหว่างคิ้วด้วยความปวดหัว
“คำพูดนี้ถูกต้อง แต่ถ้าทำตามความเร็วในตอนนี้ของเจ้า ต้องใช้เวลานานเท่าใดในการบดหอยงวงช้างให้เป็นผงจนหมด ที่สำคัญนี่เพิ่งแค่อันแรกเท่านั้น ยังมีอีกอันในกล่อง! เจ้าคิดดูสิว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่”
ฉู่หลิวเยว่เก้อเขิน จากนั้นนางก็ขอคำชี้แนะด้วยความถ่อมตน
“ถ้าอย่างนั้น…ท่านว่าต้องทำอย่างไรเจ้าคะ”
เสวียนชางส่ายหน้าอย่างผิดหวัง แล้วจึงหันไปพูดกับจั่วหรงว่า
“เจ้าดูท่าทางเงอะงะของนางสิ ดูฉลาดเสียที่ไหน แค่หอยงวงช้างอันเดียวยังจัดการไม่ได้ แล้วจะปรุงยาต่อไปได้อย่างไร! ข้าว่าพวกเราไม่ต้องอยู่ดูนางที่นี่อีกต่อไปแล้ว วิธีการของนางดูไม่น่าเชื่อถือมาก พวกเราคิดหาวิธีรักษาของเลี่ยวจงซูเองจะดีกว่า!”
หลังจากที่พูดจบ เสวียนชางก็ไม่สนใจที่จั่วหรงรั้งไว้ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปทันที
อาจารย์ที่เหลือต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“จั่งหรง…คือว่า…ที่เสวียนชางกล่าวมาก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลนะ ฉู่หลิวเยว่บอกเองว่านางไม่ได้คิดตำรับยานั้นขึ้นมาเอง แต่นางไปลักจำมาจากผู้อื่น ทั้งยังจำได้ไม่แม่นยำอีกต่างหาก ส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับการคาดเดาทั้งนั้น ฉะนั้นมันยากที่จะบอกว่าวิธีการนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่!”
“ข้าได้ยินมาว่าตอนสอบเข้าสำนัก นางกระเสือกกระสนสอบผ่านมาได้ พิจารณาดูแล้วนางคงไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆ จั่วหรง คราวนี้เจ้าน่าจะคาดหวังมากเกินไปแล้วล่ะ”
“ข้าว่าจะกลับไปหาวิธีกับเสวียนชางดีกว่า! ทุกท่าน ข้าขอตัวก่อน!”
“รอข้าด้วย! ข้ายังมีธุระที่ต้องกลับไปสะสาง…”
เสวียนชางพาอาจารย์สองท่านออกไปพร้อมกัน คราวนี้จึงเหลือเพียงแค่จั่วหรงกับอาจารย์อีกหนึ่งท่าน
บรรยากาศดูอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่ขอโทษถาม
“อาจารย์จั่งหรงเจ้าคะ ศิษย์ทำอะไรผิดหรือเจ้าคะ”
จั่งหรงกระแอมไอ
“เปล่า ไม่มีอะไร พวกเขาแค่มีธุระของตนเองที่ต้องไปจัดการ เจ้าไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก แค่ปรุงยาของเจ้าก็พอ!”
ฉู่หลิวเยว่น้ำท่วมปาก แต่นางก็ยังคงไม่กล่าวสิ่งใดออกมา จากนั้นนางจึงหันไปฝนเปลือกหอยงวงช้างต่อไป
ใช้เวลาไปพักใหญ่ๆ ก่อนที่นางจะฝนมันออกมาให้เป็นผง
นางถึงกับต้องปาดเหงื่อ จากนั้นก็หยิบหอยงวงช้างอันที่สองออกมาเพื่อเริ่มฝนมันอีกครั้ง
และในที่สุดอาจารย์อีกท่านก็ทนไม่ไหว ก่อนจะจากไปหลังจากขอโทษขอโพยจั่วหรง
จั่วหรงมองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยความมึนงงสงสัย
หรือว่าเป็นเพราะเขาที่มองผิดไป
หรือแท้จริงแล้วพรสวรรค์ของฉู่หลิวเยว่ไม่ได้โดดเด่นอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้
ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริง…นางจะผ่านด่านอุปสรรคของพวกชุยเหยามาได้อย่างไร
จั่วหรงจ้องฉู่หลิวเยว่ตาไม่กะพริบ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นมีความคิดที่คลุมเครือผุดขึ้นในหัวใจของเขา
…หรือว่าฉู่หลิวเยว่มีเจตนาซ่อนความสามารถเอาไว้
แล้วนางจะทำไปเพื่อการใดกันล่ะ
เป็นความฝันของใครหลายคนที่จะมีพรสวรรค์ด้านหมอเทวดา
ด้วยศักยภาพดังกล่าว ทุกคนแทบรอไม่ไหวที่จะแสดงความสามารถให้ผู้อื่นเห็น แต่มีเพียงฉู่หลิวเยว่เท่านั้นที่เก็บซ่อนเอาไว้…ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
จั่วหรงไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาเองก็ไม่อยากกระโตกกระตากไป ดังนั้นเขาจึงหาเหตุผลที่จะออกไปเช่นกัน
จนในที่สุดก็เหลือเพียงฉู่หลิวเยว่ผู้เดียวที่อยู่ภายในห้อง
นางถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
นางไม่ต้องการให้คนเหล่านี้เห็นสิ่งใดทั้งนั้น ฉะนั้นนางจึงจงใจแกล้งทำเป็นว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย
พวกเขาจะดูถูกเหยียดหยามอย่างไรก็ได้ไม่ว่า แต่ที่สำคัญคือนางต้องปรุงยาออกมาให้ดีที่สุด
แล้วดูเหมือนว่าจั่วหรงจะระแคะระคายอะไรบางอย่าง แต่ก็มิได้สืบสาวราวเรื่องต่อไป
ฉู่หลิวเยว่ปิดประตูและหน้าต่างก่อนที่จะตั้งใจจดจ่อไปที่กองยาสมุนไพรอีกครั้ง
เพราะว่าตอนนี้มีเวลาไม่มากแล้ว…
…
เฉินหู่สืบถามทั่วทั้งสำนัก และยืนยันได้ว่ากู้หมิงเฟิงไม่ได้กลับเข้าสำนักมาสองวันแล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจจะไปขอลาอาจารย์ เพื่อออกไปตามหาเขาด้วยตนเอง
หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างเขาไม่มีทางตามหากู้หมิงเฟิงเจอแน่นอน โชคดีที่เฉินหู่ยังพอมีพรรคพวกพี่น้องอยู่ในเมืองหลวงบ้าง เพียงแค่ตะโกนเรียก พวกเขาก็รีบมาให้ความช่วยเหลือแล้ว
หลังจากที่วิ่งค้นหามาทั้งวันแล้ว จวบจนได้เวลาพลบค่ำ ในที่สุดเขาก็เจอกู้หมิงเฟิงอาศัยอยู่ในบ้านเก่าทรุดโทรมเล็กๆ หลังหนึ่ง
แต่ทว่าเมื่อได้เห็นสภาพของกู้หมิงเฟิง เฉินหู่ถึงกับต้องตกตะลึงสุดขีด
เพราะว่าตามใบหน้าและลำตัวของเขามีแต่บาดแผลเต็มไปหมด!
“เจ้าเป็นอะไรไป ใครทำร้ายเจ้า”
เฉินหู่โมโห
“พวกข้าจะช่วยเจ้าแก้แค้นเอง!”
กู้หมิงเฟิงกระถดกายหนี ดูเหมือนเขาไม่อยากให้ผู้ใดเห็นสภาพน่าเวทนาเยี่ยงนี้ของตน แต่เมื่อได้ยินเฉินหู่กล่าวเช่นนั้น เขาก็หยุดชะงัก และในที่สุดก็ยอมเผยให้เห็นบาดแผลของตนเอง
มุมปากของเขากระตุก เพื่อขยับพูด
“ขอบใจมาก แต่…พวกเจ้ารับมือไม่ไหวหรอก ช่างมันเถิด”
เฉินหู่ถลึงตา
“จะช่างมันได้อย่างไร! ต่อให้ข้าสู้มันไม่ไหว แต่เราก็ยังมีหลิวเยว่และหงอวี๋นะ! พวกนางให้ข้าออกมาตามหาเจ้า ถ้าหากพวกนางได้มาเห็นสภาพเจ้า พวกนางก็คงไม่ปล่อยไปแบบนี้แน่ๆ!”
หัวใจของกู้หมิงเฟิงวูบไหว
“…พวกนางให้เจ้ามาหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ! เจ้าก็น่าจะรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าฉู่หลิวเยว่กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว! เดิมทีพวกเราตั้งใจจะไปเลี้ยงฉลองกันที่โรงเตี๊ยมเฟิ่งหวงกัน แต่เจ้ากับเลี่ยวจงซูกลับไปด้วยกันไม่ได้ พวกฉู่หลิวเยว่กำลังดูแลเลี่ยวจงซูให้อยู่ ขณะเดียวกันก็ให้ข้าออกมาตามเจ้ากลับไป”
กู้หมิงเฟิงรู้สึกราวกับมีอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ และนานสักพักกว่าเขาจะหาเส้นเสียงของตัวเองเจอ
“เป็นคนของตระกูลกู้”
เฉินหู่แผดเสียงลั่นทันที
“ตระกูลกู้? เหตุใดพวกเขาถึงต้องทำกับเจ้าขนาดนี้ เจ้าออกมาแล้ว…”
กู้หมิงเฟยมิเอ่ยคำใด
สาเหตุเพราะเขาถูกไล่ออกจากตระกูลกู้ ทำให้ใครหลายคนมาหาเรื่องทำร้ายเขาถึงที่นี่
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คนในตระกูลกู้ที่ไม่ชอบขี้หน้าเขานั้นมีมากมาย
คราวนี้ถ้าหากมีสิ่งใดที่ทำให้เขาอยู่ยากลำบากมากขึ้น และเป็นการเอาหน้ากับกู้อวิ๋นเฟย ทำไมจะไม่มีใครทำ
เดิมทีเขาคิดจะกลับสำนักหลังจากที่อาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้ว แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินหู่จะออกตามหา
เฉินหู่ตบไหล่เขาปุๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้าวางใจได้ พวกเราเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกัน พวกเราจะไม่เพิกเฉยเด็ดขาด ตอนนี้เรากลับกันก่อนเถิด ฉู่หลิวเยว่กับมู่หงอวี๋กำลังรอพวกเราอยู่!”
กู้หมิงเฟิงเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าตนเองรู้สึกเช่นไรน เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง
“ได้”