ตอนที่ 89-3 จุดเริ่มต้นที่ดี

ชายาเคียงหทัย

องครักษ์ลับสองและสามรู้ดีว่าถึงแม้พวกเขาจะได้ชื่อว่าเป็นองครักษ์ลับ แต่เอาเข้าจริงพระชายาไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนคอยตามปกป้องอยู่ตลอดเวลา ที่พระชายาส่งพวกเขาออกไปปฏิบัติภารกิจต่างๆ ก็เพื่ออนาคตของตัวพวกเขาเอง หวังให้พวกเขาสามารถยืนอยู่ท่านกลางผู้คนได้อย่างมีเกียรติ มิใช่เพียงองครักษ์ติดตามที่ไม่สามารถออกมาเจอแสงสีได้ “ข้าน้อยรับบัญชา” องครักษ์ลับสองกล่าว ขณะเดียวกันก็ได้ลอบส่งสายตาไปทางหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีว่า ฝากความปลอดภัยของพระชายาไว้กับพวกท่านด้วย

 

 

           หัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉียักคิ้วตอบ ถือเป็นการตอบรับ

 

 

           “เตรียมการเรียบร้อยแล้วหรือยัง” เมื่อองครักษ์ลับสองและสามพาคนออกไปแล้ว เยี่ยหลีจึงได้หมุนตัวกลับมาเอ่ยถาม

 

 

           “เรียนคุณชาย เรียบร้อยแล้วขอรับ สามารถออกเดินทางได้ทันที”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า “ดีมาก แบ่งทหารออกไปสี่ทาง เข้าไปยังเขตการสู้รบจากทั้งสี่มุม หลังจากนี้อีกหนึ่งเค่อ ทุกคนที่เหลือเตรียมเคลื่อนพลได้”

 

 

           “ขอรับ”

 

 

สถานการณ์ในสนามรบดูเลวร้ายลงเรื่อยๆ จากช่วงแรกที่มีเพียงทหารฝ่ายข้าศึกหนึ่งถึงสองคนที่ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้สำเร็จแต่ก็ถูกสังหารทิ้งได้ทันที ช่วงหลังมานี้ข้าศึกที่ปีนขึ้นบนกำแพงได้สำเร็จยังสามารถฆ่าทหารทางด้านบนได้หลายคนอีกด้วย ถึงแม้ในตอนนี้จะยังไม่สามารถสร้างความหวั่นเกรงได้มากนัก แต่เชื่อว่าคงจะต้านไว้ได้อีกไม่นาน

 

 

ในที่สุดอวิ๋นถิงก็ไม่มีเวลามาเสียแรงตะโกนด่าอีกแล้ว เขากวัดไกวอาวุธโดยไม่แม้แต่จะส่งเสียง ใบหน้าหนุ่มปรากฏความเหนื่อยอ่อนพร้อมกับรังสีสังหารให้เห็นอย่างชัดเจน แขนขวาของซย่าซูมีแผลยาวจากการถูกฟัน จึงจำต้องเปลี่ยนมาใช้กระบี่ที่มือซ้ายแทน โชคดีที่ฝีมือกระบี่มือซ้ายของเขาร้ายกาจพอๆ กับมือขวา

 

 

           เมื่อการโจมตีระลอกแรกหยุดไปพักหนึ่ง การโจมตีระลอกใหม่ก็ตามเข้ามาทันที ซย่าซูยากกระบี่ขึ้นกวาดเอาข้าศึกคนหนึ่งให้ตกกำแพงไป แต่จู่ๆ บนกำแพงก็มีข้าศึกอีกคนปรากฏตัวขึ้น หมายจะเข้ามาสังหารด้วยความดุดัน “ซย่าซู!” อวิ๋นถิงตะโกนเรียก พร้อมกับผลักข้าศึกที่พุ่งเข้ามาให้ตกลงไป ซย่าซูเองก็ชะงักไปเพียงเล็กน้อย แต่กลับเห็นความตกใจบนใบหน้าดุดันนั้น ก่อนที่ตัวจะเสียหลักตกลงไป

 

 

           เงาสีดำยาวประหนึ่งลูกธนูอันแหลมคมสีดำวิ่งเข้ามาจากสี่ทิศ แทรกซึมเข้าสู่กองทัพขนาดหลายหมื่นคนด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านประหนึ่งเกิดลมพายุสีดำลูกยักษ์พัดผ่าน ทั้งยังได้แบ่งกองทัพขนาดใหญ่ออกเป็นส่วนๆ แล้วในสมรภูมิรบอันวุ่นวายก็ถูกเงาสีดำแบ่งออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อยอย่างรวดเร็ว

 

 

           “นั่นอะไรน่ะ” ทหารในชุดดำเคลื่อนตัวผ่านมาด้วยความรวดเร็วพร้อมง้างคันธนูในมือ ก่อนยิงธนูสามดอกออกมาพร้อมๆ กันโดยที่แทบจะไม่ต้องเสียเวลาเล็ง ลูกธนูสามดอกนั้นพุ่งเข้าหาตัวคนสามคนที่พยายามปีนข้ามกำแพงอย่างแม่นยำ จากนั้นก็มีลมพายุสีดำที่เคลื่อนผ่านด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่า แล้วบันไดที่พาดอยู่นอกกำแพงเมืองก็กลายเป็นเพียงเศษไม้อย่างรวดเร็ว จากนั้นทหารม้าก็วิ่งหายไปประหนึ่งไม่เคยเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นมาก่อน อวิ๋นถิงมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมอุทานขึ้นอย่างตกตะลึง

 

 

           ซย่าซูยกมือกดปากแผลที่เจ็บปวดเอาไว้ ยกมุมปากขึ้นยิ้ม “กองหนุน! เร็ว ยิงธนู!”

 

 

ด้วยเพราะบันไดที่จะเข้าโจมตีเมืองถูกทำลายลงแล้ว ความตึงเครียดบนกำแพงจึงหายไปในพริบตา ซย่าซูรีบออกคำสั่งให้พลทหารบนกำแพงเมืองยิงธนูออกไปช่วยทหารม้าในชุดดำที่นอกเมือง พวกเขายืนอยู่บนกำแพงเมืองย่อมเห็นสถานการณ์ทุกอย่างอย่างชัดเจน กองหนุนที่มานั้นมีไม่มาก แต่ด้วยรังสีและความสามารถในการรบ รวมกับพลังของทหารม้าติดอาวุธหลายพันคนนั้น ทำให้ข้าศึกเกิดความตื่นกลัวจนวุ่นวายขึ้นเท่านั้นเอง

 

 

ทางตอนใต้น้อยนักที่มีจะมีทหารม้า เขามองทหารม้าในชุดดำที่อยู่เบื้องล่าง แล้วในใจซย่าซูก็ลิงโลดขึ้นทันที สายตาที่เดิมทีมีแววของความเหนื่อยล้า กลับมีไฟลุกโชนขึ้น “เร็ว อวิ๋นถิง เตรียมรับพวกเขาเข้าเมือง” ถึงแม้ทหารม้าเหล่านี้หนึ่งคนสามารถจัดการข้าศึกได้ร้อยคน แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในทัพใหญ่ที่มีจำนวนหลายหมื่นคนแล้ว การต่อสู้ที่ยืดเยื้อก็คงมิใช่ทางเลือกที่ดีนัก

 

 

           “ได้ ข้าจะออกไปรับพวกเขาเอง!”

 

 

           ซว่าซูส่ายหน้า “ไม่ต้อง คุ้มกันประตูเมืองไว้ พวกเขาฝ่าออกมาเองได้”

 

 

           อวิ๋นถิงเหลือบมองซย่าซูด้วยความสงสัย แต่ก็ตัดสินใจที่จะเชื่อฟังความเห็นของเพื่อนทหารที่อายุมากกว่าตนเล็กน้อยผู้นี้

 

 

           เมื่ออยู่ในสนามรบ หน่วยเฮยอวิ๋นฉีรวดเร็วประหนึ่งสายลม ด้านหลังกองทัพข้าศึก ม่อจิ่งหลีสังเกตุการณ์อยู่กับผู้บัญชาการทหาร เข้าไม่ค่อยเห็นเมืองเล็กๆ อย่างหย่งหลินอยู่ในสายตา ตลอดทางมานี้ทุกอย่างราบรื่นจนเกินไป ขอเพียงตีเมืองหย่งหลินได้สำเร็จ จะก็ประหนึ่งเขาครอบครองพื้นที่ได้เกือบครึ่งแคว้นแล้ว อันที่จริงแม้แต่ตัวม่อจิ่งหลีเองก็ยังไม่เคยคิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นเช่นนี้

 

 

เขาหันหน้าไปเหลือบมองผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ดวงตามีประกายเลือดเย็นปรากฏขึ้น คนที่สามารถหักหลังนายของตนได้ ก็ย่อมหักหลังนายคนที่สองของตนได้เช่นกัน คนผู้นี้เก็บไว้ตอนนี้ยังมีประโยชน์ ไว้รอให้…

 

 

           ฟิ้ว ฟิ้ว! อาวุธลับลอยแหวกอากาศเข้ามา พุ่งเข้าใส่คณะของม่อจิ่งหลี ม่อจิ่งหลีหันหลบด้วยความระแวดระวัง องครักษ์ที่อยู่ด้านข้างรีบล้อมเข้ามาโดยทันที “มีคนลอบสังหาร! อารักขาท่านอ๋อง!”

 

 

มีเงาคนพุ่งออกมาจากรอบทิศ แต่กลับไม่มีผู้ใดพุ่งเข้าหาม่อจิ่งหลีที่อยู่ท่ามกลางการอารักขาหลายชั้นนั้นเลย มีคนสามสี่คนออกมาล้อมรอบองครักษ์ไว้ หนึ่งในนั้นหมุนตัวพุ่งเข้าใส่ผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่หลบอยู่อีกด้าน ผู้ว่าการเขตหย่งโจวตกใจจนอยากร้องตะโกนออกมา แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตนเองแม้สักแอะ รู้สึกเพียงเย็นวาบขึ้นที่หัวใจ พร้อมกับกริชที่แทงเข้าที่หัวใจของตนเท่านั้น

 

 

เขาเงยหน้าที่หวาดกลัวขึ้นสบเข้ากับดวงตาที่เย็นเยียบ เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นที่ข้างหูเขาว่า “ด้วยบัญชาของพระชายาติ้งอ๋อง…คนคิดคดทรยศ ต้องฆ่าทิ้ง!”

 

 

           “ถอย!” เขาดึงมีดสั้นออกจากหน้าอกของผู้ว่าการเขตหย่งหลิน พร้อมเลือดที่พุ่งออกมาประหนึ่งตาน้ำ องครักษ์ลับสองหันกลับไปเอามีดปาดเข้าที่คอขององครักษ์ที่พุ่งตัวเข้ามา พร้อมหันไปพูดกับคนอื่นๆ ที่ติดพันอยู่กับการต่อสู้ที่เหลือ

 

 

           คนอื่นที่เหลือรีบสลัดตัวจากสิ่งที่พัวพันอยู่ แล้วจึงกระจายตัวกันออกไปแทรกซึมเข้าสู่กองทัพของหลีอ๋อง แล้วค่อยๆ หายตัวไป

 

 

           ม่อจิ่งหลีมองผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่สิ้นใจตายอยู่ที่พื้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ผู้บัญชาการทหารทุกคนต่างก็มีสีหน้าหนักอึ้งและมีแววหวาดกลัวและเป็นกังวลผสมอยู่ สิ่งที่คนลอบสังหารเมื่อครู่พูดนั้นพวกเขาได้ยินไม่ทั้งหมด แต่ประโยคสุดท้ายที่ว่าคนคิดคดทรยศต้องฆ่าทิ้งนั้น พวกเขาได้ยินมันอย่างชัดเจน ในกองทัพที่มีทหารอยู่นับหมื่นคน ทั้งยังมีการอารักขาอย่างแน่นหนา แต่ผู้ว่าการเขตหย่งโจวกลับถูกคนเข้ามาสังหารได้โดยง่ายเช่นนี้ จะไม่ทำให้พวกเขารู้สึกเย็นวาบในใจได้อย่างไร

 

 

           ม่อจิ่งหลียังไม่ทันได้ระบายความโกรธ ก็มีเสียงร้องดังขึ้นว่า “นั่นอะไรน่ะ!”

 

 

           ทุกคนต่างหันไปมองยังสมรภูมิรบ ที่ไม่รู้มีทหารม้าในชุดดำแทรกซึมเข้าไปตั้งแต่เมื่อใด ทหารที่อยู่ด้านหน้าสุดดูมีแววจะพ่ายแพ้หลังถูกโจมตีอยู่หลายครั้ง “ทางใต้มีทหารม้าจำนวนมากเช่นนี้มาจากที่ใดกัน”

 

 

ทหารม้ากลุ่มนี้มีความว่องไวสูง พวกเขาวิ่งอ้อมไปมา มองจากไกลๆ ไม่มีทางคาดคะเนได้ว่าพวกเขามีกันกี่คน รับรู้แต่เพียงว่าทั่วทั้งสนามรบมีแต่ทหารม้าในชุดดำอยู่เต็มไปหมด และทุกที่ที่ผ่านไปก็จะมีศพนอนตายกันเกลื่อนกลาด ด้วยพื้นที่ด้านหน้าเมืองหย่งหลินค่อนข้างแคบ จึงมิอาจที่จะส่งกำลังพลทั้งหมดลงไปได้ พวกเขาจึงได้แต่นิ่งเฉยอย่างทำอันใดมิได้

 

 

           “เฮยอวิ๋นฉี!” ม่อจิ่งหลีกัดฟันเอ่ยขึ้น

 

 

           เฮยอวิ๋นฉี! ทุกคนต่างตัวสั่นขึ้นพร้อมกัน คนที่ใจเสาะหน่อยก็ถึงกับหน้าขาวซีดอย่างปกปิดไม่มิด เฮยอวิ๋นฉี กองกำลังที่เก่งกาจที่สุดของตำหนักติ้งอ๋อง และอาจกล่าวได้ว่าเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าฉู่ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของติ้งอ๋อง นอกจากติ้งอ๋องและนายหญิงของตำหนักติ้งอ๋องที่ได้รับความเห็นชอบจากติ้งอ๋องแล้ว ผู้ใดก็สั่งการทหารกองนี้ไม่ได้ ในเมื่อเฮยอวิ๋นฉีปรากฏตัวขึ้นที่นี่…เช่นนั้น…ติ้งอ๋องจะต้องอยู่แถวนี้เป็นแน่!

 

 

           “เป็นไปไม่ได้!” ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเย็นขึ้น “ไอ้ขี้โรคม่อซิวเหยานั่นไม่มีทางมาถึงที่นี่ได้รวดเร็วเพียงนี้!” เขาออกมาจากเมืองหลวงอย่างลับๆ ต่อให้ม่อจิ่งหลีรู้ข่าวเรื่องนี้ และรีบเดินทางตามออกมาทันที แต่ด้วยสภาพร่างกายของเขา อย่างน้อยๆ ก็ควรมาถึงช้ากว่าเขาหลายวัน และต่อให้ตามมาทันก็ไม่มีทางมีแรงพอที่จะออกมาบัญชาการรบได้

 

 

           “เช่นนั้น…ตอนนี้ผู้ใดเป็นผู้สั่งการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนี้หรือขอรับ” แม่ทัพนายหนึ่งเอ่ยถามขึ้น

 

 

           ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึในลำคอ เขามั่นใจมากว่าม่อซิวเหยาไม่มีทางอยู่ที่หย่งหลิน แต่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีนี้ผู้ใดเป็นผู้บัญชาการกัน เฟิ่งจือเหยาหรือ ไม่น่าใช่ เฟิ่งจือเหยาสั่งการเฮยอวิ๋นฉีไม่ได้…

 

 

           “ท่านอ๋อง มีทหารม้าจำนวนมากกำลังเคลื่อนพลมาจากทางใต้ขอรับ!”

 

 

           ม่อจิ่งหลีอึ้งไป “มากเท่าใด!”

 

 

           “เยอะมาก…นับไม่ถ้วน…คนที่ไปลอบสังเกตการณ์เมื่อเข้าไปใกล้หน่อยก็ถูกยิงตายทันทีขอรับ!”

 

 

           ทุกคนต่างหันมองไปทางทิศใต้ ก็เห็นฝุ่นสีดำตลบอยู่กองใหญ่ ทั้งยังมีแรงสั่นสะเทือบจากฝีเท้าม้าที่กระทบเข้ากับพื้นจนผืนดินสั่นไหวไปหมด หากไม่มีม้าหลายพันตัว ไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่นอน

 

 

           “ท่านอ๋อง…”

 

 

           เสียงสัญญาณสั่งให้ถอยทัพดังขึ้น ทหารข้าศึกที่เข้าโจมตีเมืองถอยทัพกันอย่างรวดเร็วประหนึ่งสายน้ำ พร้อมกันนั้นประตูเมืองหย่งหลินก็เปิดออก ทหารม้าในชุดดำวิ่งเข้าเขตเมืองด้วยความรวดเร็ว แล้วประตูเมืองที่ทั้งหนาและหนักก็ปิดเข้าหากันอีกครั้ง

 

 

บนกำแพงเมือง เมื่อเห็นข้าศึกล่าถอยไปไกลแล้ว อวิ๋นถิงและซย่าซูจึงหันมาสบตากันพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ หากมิใช่เพราะคนเหล่านี้รีบตามมาได้ทันเวลา เกรงว่าพวกเขาคงจะต้านไว้ไม่อยู่

 

 

           อวิ๋นถิงเช็ดคราบเลือดบนกระบี่ออก แล้วเก็บกระบี่เข้าฝักพร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ซย่าซู ใครกันที่มาช่วยพวกเรา”

 

 

           ซย่าซูถอนหายใจ “อีกหน่อยอย่าได้อวดอ้างว่าเจ้าเติบโตมาในเมืองหลวงเชียว เรื่องแค่นี้ก็ดูไม่ออก ปกติเจ้าเอาเวลาไปรวบรวมข่าวชาวบ้านในตลาดเสียหมดกระมัง” แม้แต่เรื่องที่หลีอ๋องลอบคบหากับน้องสะใภ้ยังรู้ แต่กลับมางงงวยกับเรื่องสำคัญเช่นนี้

 

 

           อวิ๋นถิงหันมากะพริบตาใส่เขา แล้วอยู่ๆ เขาก็ตาโตจ้องหน้าซย่าซูขึ้นมาทันที พักใหญ่ถึงได้พูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า “ซย่า…ซย่าซู คงไม่…คงไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดหรอกกระมัง”

 

 

ซย่าซูกลอกตาใส่เขา “นอกจากอย่างที่เจ้าคิดแล้ว ยังเป็นอันใดได้อีกหรือ” ในที่สุดอวิ๋นถิงก็ร้องเสียงแหลมออกมา แล้วรีบวิ่งลงไปด้านล่างกำแพงเมืองทันที

 

 

ซย่าซูได้แต่ส่ายหน้าเดินตามเขาลงไป เฮยอวิ๋นฉีในตำนานเชียวนะ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ

 

 

           สองฝากถนนที่กว้างใหญ่ในกำแพงเมือง มีคนและม้าสีดำยืนอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่ว่าจะคนหรือม้าต่างไม่มีผู้ใดส่งเสียงออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งถนนเส้นใหญ่นั้นเงียบสงบประหนึ่งหากมีเข็มตกลงพื้นยังได้ยิน

 

 

เมื่ออวิ๋นถิงเดินลงมาจากกำแพง ก็รับรู้ได้ถึงรังสีสังหารอันรุนแรงและบรรยากาศที่น่าอึดอัดที่ปกคลุมอยู่ทุกพื้นที่ ความยินดีที่แสดงออกมามากกว่าที่ตนเองคาดคิดไว้ถูกเก็บกลับมาโดยไม่รู้ตัว เขายืดตัวขึ้นตรงพร้อมหันมองไปทางคนที่อยู่ด้านหน้าสุด

 

 

           คนที่อยู่ด้านหน้าสุดก็อยู่ในชุดสีดำเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เขากลับไม่เหมือนคนอื่นที่ยังคงนั่งอยู่บนหลังม้า แต่กลับยืนจูงม้าสีดำอยู่อย่างสงบเงียบ อวิ๋นถิงมองเพียงแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเขาแตกต่างจากคนอื่น เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่อยู่บนหลังม้าแล้ว เขาดูตัวเล็กและใจดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีรังสีสังหารอย่างคนบนหลังม้าเลยแม้แต่น้อย กระทั่งสายตาที่มองมาทางอวิ๋นถิงยังดูมีรอยยิ้มอีกด้วย แต่อวิ๋นถิงรู้ดี ว่านี่มิได้หมายความว่าคนผู้นี้อ่อนแอกว่าผู้อื่น แต่ในทางกลับกัน คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ต่างหาก

 

 

           “ข้าน้อยทหารประจำด่านซุ่ยเสวี่ย นามอวิ๋นถิง ขอบคุณทุกท่านที่มาช่วยเสริมทัพได้ทันเวลา ไม่รู้ว่า…ควรเรียกท่านว่าอย่างไร”

 

 

           เยี่ยหลีมองดูนายทหารหนุ่มที่มีท่าทีประดักประเดิดและเฝ้ารอตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่อดที่จะรู้สึกน่าขันไม่ได้ แต่สีหน้ายังคงราบเรียบ “นายทหารอวิ๋น สะดวกเปลี่ยนที่สนทนาหรือไม่”

 

 

ในขณะที่อวิ๋นถิงกำลังอึ้งอยู่ ซย่าซูที่เดิมตามมากทางด้านหลังก็เอ่ยขึ้นว่า “ย่อมได้ เชิญทางนี้ ข้าน้อย ทหารประจำด่านซุ่ยเสวี่ยนามซย่าซู”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วจึงหมุนตัวหันไปพูดกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่อยู่ทางด้านหลังว่า “ลงมาพักได้”

 

 

           “ขอรับ”

 

 

           ทหารหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสองพันนายลงจากหลังม้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ท่าทางเป็นระเบียบจนทำให้ผู้คนนึกตกใจ

 

 

           อวิ๋นถิงดึงสติกลับมาได้ รีบเอ่ยว่า “ตลอดทางมานี่ทุกท่านคงลำบากไม่น้อย ไปพักผ่อนที่ค่ายก่อนดีหรือไม่”

 

 

           เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เกรงว่าคงไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว คงไม่ต้องลำบาก เชื่อว่าเมืองหย่งหลินคงมีทหารบาดเจ็บที่ต้องการการดูแลอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ม้าศึกเหล่านี้ต้องการให้ท่านช่วยจัดหาอาหารให้สักหน่อย”

 

 

ซย่าซูย่อมเข้าใจดี โชคดีที่ถึงแม้ด่านซุ่ยเสวี่ยจะมีทหารม้าอยู่ไม่มากนะ แต่หญ้าสำหรับม้าศึกสองพันตัวนี้ยังมีพอเลี้ยงได้สักสองสามวัน เขาพยักหน้า “คุณชายโปรดวางใจ ข้าน้อยจะรีบไปคนไปจัดการ เชิญคุณชายด้านนี้”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้า เดินตามซย่าซูเข้าไปยังค่ายทหารที่ปักหลักอยู่ด้านในกำแพงเมือง

 

 

           อวิ๋นถิงหันมองทหารม้าในชุดดำที่บ้างยอบตัวลงนั่ง บ้างหลับตาพักผ่อน บ้างหยิบอาวุธออกมาเช็ดทำความสะอาดด้วยความมึนงง แล้วหันกลับไปมองเยี่ยหลีที่เดินตามซย่าซูพร้อมด้วยชายในชุดดำอีกสามสี่คน ก่อนจะสะบัดหัวไปมาแล้วรีบออกเดินตามไป