บทที่ 126 ลักษณะเยี่ยงท่านแม่ทัพ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

มือดาบเหล่านี้มิเคยได้รับการฝึกทหารมาเป็นพิเศษ ทว่าการเคลื่อนไหวของพวกเขาแต่ละคนว่องไวเป็นอย่างยิ่ง กองทหารรูปกรวยเป็นรูปแบบการโจมตีขั้นพื้นฐานที่สุด เพียงพริบตาเดียวก็ตั้งขบวนสำเร็จแล้ว

เดิมทีเหล่าทหารหานไม่คาดคิดว่าจะเจอผู้สัญจรกลุ่มนี้กะทันหันจึงทำให้ตั้งรับไม่ทัน อีกทั้งพวกเขาเพิ่งจะสร้างวงโอบล้อมเพื่อโจมตี เมื่อสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ก็ก่อให้เกินช่องว่างเล็กๆ ทันใด อย่างไรก็ดีกลุ่มคนทั้งสองฝั่งก็ล้อมวงเข้ามาอย่างรวดเร็วและสกัดกั้นพวกเขาเอาไว้

มือดาบด้านหน้าเปิดถนนนองเลือดและสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย เชออวิ๋นกล่าว “คุ้มกันท่านออกไป!”

ซ่งชูอีอยู่ใจกลางของขบวน เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว นางหันไปมอง ทหารหานใช่ว่าไม่มีคันธนูและลูกศร ทว่าพวกเขากลับมิได้ใช้ เกรงว่าเพราะองค์จวินแห่งรัฐหานยังไม่ต้องการสังหารนางในขณะนี้

ตราบใดที่นางยังอยู่ เหล่าทหารหานก็จะไม่แตะต้องคันธนูและมือดาบก็เพียงต้องรับมือกับการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น ทักษะการต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่ง ยังพอมีโอกาสชนะบ้าง หากนางจากไปแล้ว ทหารหานก็ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังอีก เกรงว่ามือดาบเหล่านี้จะต้องสังเวยชีวิตอยู่ที่นี่เสียครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย อีกทั้งต่อจากนี้ยังต้องผ่านรัฐเว่ย หากคนน้อยลง ก็ยากที่จะบอกได้ว่าจะสามารถเข้าใกล้ด่านหานกู่ได้หรือไม่

เพียงพริบตาเดียว ซ่งชูอีก็ตัดสินใจตะโกนเสียงดัง “ร่วมเป็นร่วมตาย!”

มือดาบเหล่านั้นไม่รู้ว่ามีความคิดในสมองของซ่งชูอีมากมายเพียงใดในระยะเวลาสั้นๆ ทว่าครั้นได้ยินวาจาคุณธรรมของซ่งชูอีเช่นนี้ กำลังใจในการต่อสู้ยิ่งเพิ่มขึ้นและดาบทองสัมฤทธิ์ที่โบกสะบัดอยู่ในมือก็ยิ่งร้อนแรงกว่าเดิม

จู่ๆ เสียงนกหวีดแหลมดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย

ซ่งชูอีขมวดคิ้วเล็กน้อย ทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอยู่ในขณะนี้ไม่เหมาะแก่การเปลี่ยนรูปขบวนเลย ทำได้เพียงสู้อย่างสุดชีวิตเท่านั้น!

ทหารหานเหล่านั้นไม่มีเจตนาที่จะจับเป็นซ่งชูอี เพียงแต่ยืดเวลาออกไป รอกำลังเสริมเข้ามาสมทบ ลำพังเพียงคลื่นฝูงชนก็สามารถทำให้พวกเขาสิบกว่าคนจมหายไปได้แล้ว

“ท่าน! ไม่ทันแล้ว หนีเร็ว!” ขืนยื้อเช่นนี้ต่อไป เชออวิ๋นก็เริ่มค่อยๆ ร้อนใจ

“ท่านหวยจิน รีบหนีเถิด!”

“ท่านรีบหนีไป!”

เหล่ามือดาบพลางต่อสู้กรุยทาง พลางร้องตะโกน

เมื่อเห็นแล้วว่าไม่สามารถฝ่าไปได้ในขณะนี้ ซ่งชูอีก็รู้ว่านี่เป็นเวลาที่ต้องหลบหนีแล้ว จึงเรียกเจ้าอี่โหลวกับจี้ฮ่วนแล้วค่อยๆ เคลื่อนออกไปด้านนอกตามเส้นทางนองเลือดที่ถูกเปิดออก

ทหารหานเห็นดังนี้ก็รีบตีวงเข้ามาทันที การต่อสู้ตรงหน้าดุเดือดขึ้นเป็นทวีคูณฉับพลัน

ภายในใจของซ่งชูอีกลับยังคงสงบนิ่งเช่นเมื่อก่อน ราวกับบ่อน้ำที่เงียบสงบท่ามกลางความโกลาหล ด้วยเหตุนี้นางจึงเป็นคนแรกที่รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนผิดปกติจากพื้นดิน

ซ่งชูอีสามารถจับเสียงทุ้มต่ำนั้นท่ามกลางเสียงอึกทึกได้อย่างง่ายดาย เสียงที่ดังอยู่บนพื้นนั้นคือเสียงย่ำเท้าของกีบม้าของกองทัพขนาดใหญ่

นางดูเยือกเย็นเล็กน้อย จับด้ามมีดในแขนเสื้อ แล้วพุ่งเข้าหาวงต่อสู้ระหว่างมือดาบและทหารหาน

เจ้าอี่โหลวและจี้ฮ่วนเห็นดังนี้ ก็รีบตามไปทันที

ฝีมือดาบของซ่งชูอีนั้นธรรมดา ทว่ามีมือดาบหลายคนคุ้มกันอยู่ อีกทั้งทหารหานก็ไม่อาจฆ่านาง ไม่ช้าก็ฝ่าช่องว่างเล็กๆ ออกมาได้ ซ่งชูอีคว้าโอกาสนี้หวดม้าแล้วพุ่งทะยานออกไป จากนั้นจี้ฮ่วน เจ้าอี่โหลว เชออวิ๋นและไป๋เริ่นก็สามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้ทีละคน

ม้าของซ่งชูอีถูกฝูงม้าวิ่งไล่จากด้านหลัง นางเริ่มเร่งความเร็วอย่างสุดชีวิต เกือกม้าทำให้ฝุ่นละอองลอยตลบขึ้นเหมือนก้อนสำลี

กองทหารหานจำนวนมากรีบเข้ามาสมทบจากด้านหลัง และแพร่กระจายทั่วพื้นที่รกร้างอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำ ทหารที่นำทัพนั้นราวกับกลุ่มหัวลูกศร เพียงชั่วพริบตาก็เข้ามาใกล้ซ่งชูอีและอยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยจั้ง

ซ่งชูอีได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิวข้างหู ต้นไม้และคันนาคล้ายคลื่นที่วาดผ่านใต้ฝ่าเท้าของนางไปเป็นระลอกท่ามกลางสายตาที่พร่าเลือน ในเวลานี้เอง จู่ๆ เสียงโห่ร้องอึกทึกก็ดังมาจากด้านหลัง

ขบวนพ่อค้าบนถนนกระจัดกระจาย บัดนี้มีเสียงกรีดร้องและเสียงร่ำไห้ของผู้หญิงดังขึ้นซึ่งโดดเด่นเป็นพิเศษในสภาพแวดล้อมที่บีบเค้น มือข้างหนึ่งของซ่งชูอีกุมบังเหียนม้าไว้ อีกมือหนึ่งกำด้ามดาบในแขนเสื้อแน่น เหงื่อที่ซึมอยู่บนฝ่ามือทำให้นางมีความรู้สึกว่ามันสามารถหลุดมือได้ทุกเมื่อ จึงอดไม่ได้ที่จะกำแน่นกว่าเดิมจนกระทั่งข้อนิ้วกลายเป็นสีขาว

ไม่รู้ว่าหลบหนีอยู่นานแค่ไหน กำแพงดินก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางวิสัยทัศน์ที่พร่ามัวของซ่งชูอี ระยะทางไกลยิ่ง ทว่าซ่งชูอีมองเห็นชุดเกราะสีแดงเข้มบนหอคอยว่าเป็นทหารเว่ย! ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วหันมุ่งไปยังทิศทางนั้น

เชออวิ๋นตกใจสุดขีด นี่มิใช่ส่งเนื้อเข้าปากเสือหรอกหรือ! ทว่าเพียงชั่วครู่เขาก็เข้าใจเจตนาของซ่งชูอี

“ฟิ้ว!”

เสียงลูกธนูที่แหวกว่ายผ่านอากาศดังขึ้นข้างหู ซ่งชูอีรีบหมอบตัวติดกับหลังม้า

จากนั้นเสียง “ฟิ้วฟิ้ว” ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อทหารหานเห็นว่าหมดหวังที่จะไล่ตามก็เริ่มยิงธนูใส่เพื่อฆ่าทันที

“ทุกคนตามข้ามา!” ซ่งชูอีตะเบ็งสุดเสียง

“ขอรับ!” เสียงตอบรับของเชออวิ๋นกับจี้ฮ่วนดังกระชับและมีพลัง

มือดาบคอยกันลูกศรอยู่ด้านหลัง ซ่งชูอีทุ่มสมาธิทั้งหมดไปกับการขี่ม้าและควบตรงไปที่ประตูเมือง ขณะที่ยังเหลือระยะห่างยี่สิบจั้งก็หักม้าเลี้ยวกะทันหัน แล้วหนีไปทางทิศเหนือซึ่งไกลออกไปจากทหารหาน

เชออวิ๋นและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังก็เปลี่ยนทิศทางกะทันหันเช่นกัน ได้ยินเพียงเสียงกลองรบบนหอคอย แม่ทัพเว่ยคำรามเสียงสูง “ทหารหานบุกเมือง ปิดประตูเมือง ตั้งรับ!”

ในเวลานี้กองทัพทหารหานขนาดใหญ่ที่ห่างออกไปหลายร้อยจั้งไม่ได้รุกคืบอีกต่อไป ทว่าเรื่องนี้กลายเป็นระยะที่คุกคามมากที่สุดสำหรับกองทัพทั้งสองรัฐ!

เมื่อกองทัพหานมีการเคลื่อนไหว ทหารเว่ยก็ได้รับข่าวแล้ว แม้นจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขากำลังไล่ล่าซ่งชูอี แต่ภายใต้การบุกเข้ามาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ หากใส่หน้ากากตบตาเพื่อโจมตีนครเล่า? ฉะนั้นจึงควรตั้งรับโดยไม่ประมาท!

ทุกคนที่ติดตามซ่งชูอีขี่ม้าควบม้าเลียบกำแพงไป ทหารเว่ยก็ได้รับคำสั่งลับให้สังหารซ่งชูอีเสีย ทว่าบัดนี้กองทัพรัฐหานบุกเข้ามากดดัน พวกเขาไม่กล้าปล่อยให้มือธนูละทิ้งการป้องกันแล้วหันไปยิงซ่งชูอี จึงได้แต่เตรียมม้าเบาอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อเตรียมสกัดกั้นจากทางตะวันตกของเมือง

หลังจากควบม้ามาได้ราวครึ่งชั่วยาม ไม่มีทหารไล่หลังมาแล้ว ทุกคนจึงค่อยๆ ลดความเร็วลง

เชออวิ๋นร้องอุทาน “ท่านช่างมีลักษณะเยี่ยงท่านแม่ทัพโดยแท้!”

ร่างกายของซ่งชูอีถูกกระแทกจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หมอบอยู่บนหลังม้าศีรษะก็ยังหมุนติ้ว เอ่ยหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง “ท่านเคยเห็นท่านแม่ทัพที่น่ากลัวเยี่ยงนี้หรือ?”

เชออวิ๋นหัวเราะ หันไปนับจำนวนคนที่เหลือ สูญเสียไปอีกยี่สิบกว่าคน อย่างไรก็ดีการที่สามารถหลบหนีออกมาจากวงล้อมของกองทหารขนาดใหญ่ก็นับว่ายากยิ่งแล้ว! จำนวนคนที่เหลือก็ยังเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้

“ท่านซ่ง!”

เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากที่ไกลๆ

ร่างกายของเหล่ามือดาบตึงเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง ซ่งชูอียกตัวขึ้นหันกลับไปมอง ก็เห็นเพียงเกี๊ยวเนื้อก้อนกลมๆ นั่งอยู่บนหลังม้าสีขาวตัวหนึ่ง ร่างกายสั่นไหวไปทั้งตัว เขาคือเจินจวิ้นที่ซ่งชูอีเคยเจอมาก่อน

“เป็นคนรู้จัก” ซ่งชูอีเอ่ยเสียงเบา

มือดาบเหล่านั้นผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย ทว่ามือยังคงกดอยู่บนด้ามดาบ

เจินจวิ้นก็เป็นคนที่มีสายตาแหลมคม ในใจรู้ว่าบัดนี้ซ่งชูอีกำลังถูกรัฐต่างๆ ไล่ล่าและสกัดกั้น จำต้องระวังตัว ดังนั้นจึงหยุดลงที่ระยะห่างออกไปสองถึงสามจั้ง “ท่านยังจำเจินจวิ้นได้หรือไม่?”

“ข้าน้อยจำได้ ท่านเจินจะไปที่ใด?” ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ พร้อมค้อมคำนับเขา

“ข้าน้อยติดตามท่านมา!” เจินจวิ้นเห็นว่ามือดาบข้างกายซ่งชูอีมองมา จึงรีบอธิบาย “ที่ถนนตะวันออกในรัฐเว่ย์ ข้าน้อยได้เห็นประจักษ์บุคลิกอันสง่างามของท่าน ในใจรู้สึกว่าท่านเป็นผู้ไร้เทียมทานที่ยิ่งใหญ่ มีเพียงผู้มากพรสวรรค์เช่นท่านจึงจะสามารถกล่าวได้ว่าเป็นบัณฑิตแห่งรัฐโดยแท้จริง ข้าจึงขายสินทรัพย์ของตระกูลในรัฐเว่ย์และตามรอยท่านมาจนถึงที่นี่!”

ซ่งชูอีฟังข้อความครึ่งแรกเพียงผ่านหู ความสนใจของนางอยู่ที่ประโยคครึ่งหลัง ตามรอยนางมางั้นหรือ? เจินจวิ้นผู้นี้คล้ายกับรออยู่ที่นี่นานแล้ว ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ

“ท่านเจินช่างคำนวณได้รอบคอบยิ่งนัก” ซ่งชูเอ่ย

ทั้งๆ ที่เจินจวิ้นรู้ว่านางกำลังเคลือบแคลงใจ ทว่ากลับหัวเราะเอ่ย “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว หลังจากข้าน้อยถึงรัฐเว่ยก็รู้ว่าท่านถูกกักขัง ขณะที่กำลังคิดหาวิธีส่งจดหมายให้ท่านก็ได้ยินว่ามีชาวฉินช่วยท่านออกมา ฉะนั้นจึงคาดเดาว่าท่านน่าจะผ่านที่แห่งนี้ ตั้งใจมารอที่นี่ หากท่านยังคงเชื่อใจข้าน้อย ได้โปรดปล่อยให้ข้าน้อยคุ้มกันเข้าสู่รัฐฉินด้วยเถิด!”

พ่อค้ามักวิ่งตามผลกำไร และเจินจวิ้นดูเหมือนไม่เพียงแต่วิ่งตามผลกำไรเท่านั้น ความทะเยอทะยานของเขานั้นใหญ่ยิ่งกว่า เขาวางแผนที่จะทำให้ตระกูลเจินขจรขจาย ในโลกแห่งการแก่งแย่งชิงดีนั้นมีโอกาสมากมาย วิธีที่ลัดที่สุดและยังเป็นวิธีที่เสี่ยงที่สุดก็คือการอุทิศทั้งครอบครัวเพื่อสนับสนุนผู้มากด้วยพรสวรรค์ เป็นแขนซ้ายแขนขวาให้กับเขา จนกระทั่งผู้มากด้วยพรสวรรค์ผู้นั้นได้กลายเป็นขุนนางสำคัญแห่งรัฐใดรัฐหนึ่งแล้ว ทั้งสกุลเจินก็จะเกรียงไกรตามไปด้วย

นี่คือการเดิมพันอย่างไม่ต้องสงสัย

ซ่งชูอีก็พอจะมองเห็นความสัมพันธ์ด้านผลประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่นางต้องทำในเวลานี้ก็คือยอมรับหรือปฏิเสธ

“ได้” ซ่งชูอีกล่าว

เชออวิ๋นเหลือบมองเจินจวิ้น ทว่ากลับมิได้ห้ามปราม เนื่องจากหากเจินจวิ้นมีความสามารถในการส่งซ่งชูอีเข้าสู่รัฐฉินได้ เช่นนั้นก็จะต้องมีความสามารถในการสังหารพวกเขาที่นี่อย่างแน่นอน ในเมื่อเขามิได้ทำเช่นนั้นก็แสดงให้เห็นว่าตั้งใจจะติดตามซ่งชูอีอย่างจริงจังเพื่อให้ตระกูลได้เติบโต

เจินจวิ้นยินดียิ่ง เป่าปากเสียงนกหวีด มือดาบบนหลังม้ามากกว่าสี่ร้อยนายโผล่สวบๆ ออกมาจากป่าในระยะร้อยจั้ง

เชออวิ๋นอึ้งไปครู่หนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะมีกำลังพลมากถึงเพียงนี้

ในใจของซ่งชูอีทั้งปรีดาทั้งเป็นกังวล นี่ราวกับเป็นสิ่งของที่เก็บได้มาโดยเปล่า ทว่าวันนี้ได้รับความช่วยเหลือมากมายเพียงใด ก็หมายความว่าภายภาคหน้าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบมากมายเพียงนั้น ผู้ที่มีชื่อเสียงราวกับว่านั่งอยู่บ้านเฉยๆ ก็มีคนให้รับใช้ถึงหน้าประตู ทว่าก็ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนจำนวนมากที่ทนเหน็ดเหนื่อยเพื่อชื่อเสียง

เจินจวิ้นขี่ม้าไปด้านหน้า เชออวิ๋นสั่งมิให้ใครขัดขวาง เพราะว่าภายใต้ความเหลื่อมล้ำในอำนาจเช่นนี้ เจินจวิ้นขี่ม้าเข้ามาเพียงลำพังเพื่อทำให้พวกเขาไว้ใจ และสามารถจับเขาเป็นตัวประกันเพื่อควบคุมการกระทำของมือดาบนับร้อยเหล่านั้น หากเขามีประสงค์ร้ายจริง ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความจริงใจเช่นนี้

เจินจวิ้นเอ่ย “หากท่านคิดที่จะเข้าสู่รัฐฉินผ่านด่านหานกู่ เกรงว่าจะลำบากสักหน่อย ข้าได้ยินมาว่าเว่ยอ๋องส่งทหารม้าเว่ยออกมา เตรียมสังหารท่านก่อนที่จะถึงด่านหานกู่”

“นี่เป็นไปตามความคาดหมายอยู่แล้ว” ซ่งชูอีกล่าว “ท่านมีวิธีที่ดีกว่านี้หรือ?”

ในเมื่อเป็นไปตามความคาดหมาย ชาวฉินย่อมต้องมีวิธีแก้ปัญหา นี่คือสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย

“ข้าเห็นว่าสาเหตุสำคัญที่ร่องรอยของท่านยากจะหลบซ่อนเป็นเพราะว่า…” สายตาของเจินจวิ้นมองไปยังเจ้าอี่โหลวกับไป๋เริ่น

แน่นอนว่าหากสามารถหลบซ่อนหมาป่าหิมะตัวมหึมาตัวหนึ่งและบุรุษที่หน้าตาหล่อเหลาจนแทบไม่เหมือนมนุษย์ได้ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องแปลก เจ้าอี่โหลวยังดีกว่าหน่อยหนึ่ง เมื่อก่อนเขาก็สามารถอำพรางได้อย่างแยบยลยิ่ง แม้แต่ซ่งชูอีก็มองไม่ออกว่าเขาหน้าตาดีในช่วงแรก

“ข้าสามารถสั่งการให้คนคุ้มกันน้องชายท่านนี้กับหมาป่าหิมะตัวนั้นจากป่าเขาไปจนถึงรัฐฉิน ท่านกับคนที่เหลือก็อยู่กับขบวนค้าขายของสกุลเจินจะได้ไม่ตกเป็นเป้าสายตา” เจินจวิ้นกล่าว

เชออวิ๋นรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว เขาเพียงต้องรับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยของซ่งชูอีเท่านั้น ตราบใดที่ซ่งชูอีอยู่ในสายตาของเขาก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของเขา