ตอนที่ 170 หยางเสียวจิ่นนักเรียนหัวกะทิ

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

เริ่นเสี่ยวซู่ถามหยางเสียวจิ่นว่า “ชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นยังไงเหรอ”

หยางเสียวจิ่นคิด แล้วตอบว่า “ชั้นเรียนต่างๆ ยืดหยุ่นมาก แต่การสอบก็เคร่งมากเช่นกัน นักเรียนน้อย และพวกเขาส่วนใหญ่เรียนจบแล้วก็จะทำงานวิจัยกับอาจารย์ที่ปรึกษาต่อ ว่ากันว่าในอดีตการเข้ามหาวิทยาลัยนั้นถือว่าปล่อยมาก แต่ตอนนี้นับวันมีแต่จะรับนักเรียนเข้าไปน้อยลงเรื่อยๆ ทุกวันนี้แทบจะกลายเป็นศูนย์วิจัยไปแทนอยู่แล้ว ในบรรดาป้อมปราการนับร้อยแห่ง มีมหาวิทยาลัยกระจายอยู่ราวๆ ยี่สิบแห่งเท่านั้น พวกหัวๆ ของมหาวิทยาลัยลดขนาดการรับสมัครบวกกับปรับปรุงโครงสร้างองค์กรด้วย ทำทุกวิถีทางเพื่อความก้าวหน้าในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์”

“อ้อ” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า “แล้วพวกนักศึกษาได้เบี้ยเลี้ยงไหม”

“เอ่อ…” หยางเสียวจิ่นรู้ได้ทันทีว่าตนเองสีซอให้ควายฟังเสียแล้ว อุตส่าห์พูดไปตั้งเยอะ เริ่นเสี่ยวซู่กลับสนใจอยู่แค่ว่าพวกนักศึกษาได้เบี้ยเลี้ยงหรือเปล่าเนี่ยนะ? เธอพูดเสียงเรียบ “ไม่ได้ ไม่มีเบี้ยเลี้ยง”

“ถามจริง?” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เชื่อ

หยางเสียวจิ่นพูดเสียงเบา “นายไม่เหมาะกับการทำงานวิจัยหรอก อย่าไปเป็นภาระให้นักศึกษาคนอื่นเขา”

“พูดแบบนั้นได้ยังไง!” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พอใจ “ทำไมฉันถึงเป็นภาระล่ะ!”

หยางเสียวจิ่นเมินเขา เจียงอู๋ที่ยืนอยู่ตรงแท่นสอนเอ่ย “การสอบเข้ามหาวิทยาลัยป้อมปราการ 109 นั้น จะสอบสี่วิชาได้แก่ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และชีวะ แต่ละวิชาเต็ม 150 คะแนน เกณฑ์ขั้นต่ำสุดของปีที่แล้วคือ 560 คะแนน พูดง่ายๆ คือถ้าอยากจะสอบติด เธอต้องสอบแต่ละวิชาให้ได้สูงกว่า 140 คะแนน”

เริ่นเสี่ยวซู่อ้าปากค้าง วันก่อนนู้นเขาลองทำข้อสอบจำลองดู สี่วิชารวมกันเขาได้แค่ 140 คะแนนเอง…

เขามองหยางเสียวจิ่นแล้วถาม “ต้องทำยังไงถึงจะได้วิชาละ 140 คะแนน”

หยางเสียวจิ่นเหลือบมองเขา “ข้ามข้อปรนัยได้แค่สองข้อต่อวิชา”

เริ่นเสี่ยวซู่ “???”

เขาไม่เข้าใจเลย ทำไมนักเรียนเกเรแบบเธอที่ไม่เห็นจะสนใจเรียนตรงไหนถึงทำท่าเหมือนตัวเองเป็นนักเรียนหัวกะทิ! พวกเราก็ไม่ต่างกันหรอก

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าแบบนี้ไม่ถูกต้อง เขาเลยตัดสินใจถามพระราชวังว่า “ความเชี่ยวชาญวิชาคณิตศาสตร์ของหยางเสียวจิ่นคือ?”

[ระดับกลาง]

ได้ยินแบบนั้นจากพระราชวังเขาก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ถึงความเชี่ยวชาญระดับกลางจะสูงกว่าเขา แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นนักเรียนหัวกะทิหรอก

เอ๊ะ เดี๋ยวนะ!

เริ่นเสี่ยวซู่ย้อนคำถามอีกรอบ “ความเชี่ยวชาญวิชาคณิตศาสตร์ของหยางเสียวจิ่นในระดับมัธยมปลายคือ?”

[ไร้ที่ติ]

พอเริ่นเสี่ยวซู่เติมคำ ‘ในระดับมัธยมปลาย’ เข้าไป ผลลัพธ์ออกมาแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง! แม่*เอ้ย! คณิตศาสตร์ระดับมัธยมปลายเป็นระดับพื้นฐานที่สุดด้วยซ้ำ

“ความเชี่ยวชาญวิชาฟิสิกส์ของหยางเสียวจิ่นในระดับมัธยมปลายคือ?”

[ไร้ที่ติ]

“ความเชี่ยวชาญวิชาเคมีของหยางเสียวจิ่นในระดับมัธยมปลาย…ช่างเหอะ ไม่ถามละ” เริ่นเสี่ยวซู่เบ้หน้า นักเรียนไร้ความหวังที่เห็นหยางเสียวจิ่นนอนหลับในห้องทุกวันนั้นในหัวใจเกิดความอบอุ่นสายหนึ่งเพราะเห็นว่าตนเองมีคนอยู่ท้ายห้องเป็นเพื่อน

แต่ตอนนี้ เขาได้บรรลุแล้วว่าตัวเองเป็นนักเรียนหางกะทิคนเดียวในห้อง

ยามใดคนถึงรู้สึกช่างโดดเดี่ยว ก็คือยามนี้ที่คนโดดเดี่ยวที่สุดอย่างไรเล่า

หยางเสียวจิ่นหันมามองเขาแล้วถาม “อยากไปเรียนมหาวิทยาลัยเหรอ”

เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ “ฉันไม่คู่ควร”

หยางเสียวจิ่น “…”

ช่วงสอบของวันต่อมา พอเจอห้องสอบเริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าไป เขาหันไปมองรอบๆ แต่ไม่เจอคนคุ้นหน้าเลย การสอบวันนี้เริ่นเสี่ยวซู่เพียงคิดจะมาร่วมสอบเฉยๆ คะแนนได้เท่าไรไม่สำคัญ สำคัญคือได้สอบ

เมื่อก่อนที่โรงเรียนของเมืองก็มีการสอบเช่นกัน แต่จางจิ่งหลินเพียงสอบแบบปากเปล่าเท่านั้น ทว่าการสอบที่นี่เป็นการสอบบนกระดาษ

แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าจางจิ่นหลินแค่ประหยัดเงินค่ากระดาษเฉยๆ เขาเลยสอบแบบปากเปล่าทีละคนไป อย่างไรเสียยุคสมัยนี้กระดาษก็ราคาไม่เบา

ไม่รู้จางจิ่งหลินจะทำหน้าอย่างไรถ้ารู้ว่าภาพจำของเขาในหัวของเริ่นเสี่ยวซู่เป็นอย่างนี้

ทันใดนั้นเด็กสาวที่นั่งข้างหลังก็สะกิดเขา “นักเรียน?”

เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองเธอ “ทำไมเหรอ”

“คือ…นายได้เกรดเท่าไรเหรอ ขอฉันลอกคำตอบหน่อยได้ไหม” เด็กสาวคนนี้คุยเก่งไม่เลว ถึงได้เริ่มคุยกับเริ่นเสี่ยวซู่ก่อน

ที่ทางโรงเรียนแยกนักเรียนออกจากกัน เพราะจะป้องกันนักเรียนเตี๊ยมกันโกงข้อสอบ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความกระเหี้ยนกระหืออยากโกงของทุกคนลดน้อยลง

พริบตานั้น พระราชวังในห้วงจิตของเริ่นเสี่ยวซู่ก็พูด [ภารกิจ ช่วยเหลือเพื่อนนักเรียนทำข้อสอบให้เสร็จสิ้น]

เริ่นเสี่ยวซู่กำลังนิ่งอึ้งอยู่ ในใจคิดว่าสรุปแล้วพระราชวังนี่โดยพื้นฐานดีหรือไม่ดีกันแน่ ทำไมไปๆ มาๆ ถึงสนับสนุนให้ช่วยคนโกงข้อสอบล่ะ

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ใยดีหรอก ขอแค่มีภารกิจมาให้ทำก็พอใจแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่มองเธอแล้วพูด “ได้เลย เดี๋ยวฉันให้ลอก!”

เด็กสาวตาทอประกายยินดี “ขอบคุณนะ!”

[ได้รับเหรียญคำขอบคุณจากหลีโม่ +1!]

เริ่นเสี่ยวซู่คิด ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ภารกิจก็สำเร็จ เหรียญคำขอบคุณก็ได้โว้ย

พอการสอบเริ่มขึ้น หลีโม่ก็ตาค้างไป เธอมองเริ่นเสี่ยวซู่จากด้านหลังแล้วเห็นว่าเขาเขียนคำตอบอย่างสวยงาม ดูเป็นเด็กเรียนมากเลย!

หลีโม่ลอกข้อสอบอย่างมีความสุขกระทั่งเสียงกริ่งดังขึ้น จากนั้นครูก็เดินเก็บข้อสอบ

หลีโม่มองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างยินดี “ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่านายจะตอบคำถามทุกข้อเลย นายอย่างเจ๋งแน่ะ ว่าแต่นายรู้คำตอบหมดนั่นได้ไง”

เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “เพราะฉันไม่รู้ยังไงล่ะ”

หลีโม่ “???”

เขารู้คำตอบไหมไม่สำคัญหรอก ขอแค่ทำภารกิจให้สำเร็จก็พอแล้ว ภารกิจของพระราชวังคือให้เขาช่วยเหลือเพื่อนนักเรียนทำข้อสอบให้ ‘เสร็จสิ้น’ เขาเลยทำข้อสอบเสียทุกข้อเลย เกิดเขาตอบไม่ครบทุกข้อแล้วพระราชวังไม่ให้ผ่านภารกิจขึ้นมาเขาแย่แน่

พูดตามตรง กว่าจะเค้นสมองคิดคำตอบให้ครบทุกข้อได้นี่ปวดกบาลไม่น้อยเลย

ระหว่างทางกลับบ้านเย็นนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นเสี่ยวอวี้รออยู่ที่หน้าร้าน พอเธอเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เหมือนกับเจอพระผู้ช่วยมาเยือน “ในที่สุดเสี่ยวซู่ก็กลับมา เหล่าหวังโดนจับ”

เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น บอกมาให้ละเอียด”

“วันนี้คนจากกองดูแลความสงบเรียบร้อยแห่มา” เสี่ยวอวี้อธิบาย “พวกเขาบอกว่าเหล่าหวังไม่มีใบอนุญาตขายยาในป้อมปราการ อีกทั้งแพทย์ประจำร้านก็ไม่มีใบวิชาชีพอีก พวกเขาเลยจับคนดูแลร้านไป”

เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจโล่งอก ถึงเหล่าหวังโดนจับไปจะไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องผู้มีพลังพิเศษก็ดีถมเถแล้ว

เขาล่ะกลัวนักว่าความลับตัวเองจะถูกเปิดโปงจนสมาคมตระกูลหลี่เพ่งเล็งมาที่เขา ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็จะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ แล้ว

“พวกเขาได้พูดอะไรไหมก่อนกลับไป” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม

“คนของกองดูแลความสงบเรียบร้อยบอกว่าถ้าเธอกลับมาแล้วให้ไปหาที่สำนักงานด้วย” เสี่ยวอวี้พูด

เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูด “ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวเจ้าอ้วนหลัวจะมาหาพวกเรา ค่อยถามเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

เขาเองก็อยากเอาหวังฟู่กุ้ยออกมาเร็วๆ อยู่หรอก แต่เรื่องนี้เขาจะรีบร้อนไม่ได้ เขาต้องถามไถ่สถานการณ์กับหลัวหลานก่อนถึงจะตัดสินใจได้ว่าหนทางใดเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้