ทันทีที่กลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจาย หลินหลันไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป นางกอบกุมท้องกลิ้งลงบนเตียงพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง หายใจหายคอแทบไม่ทัน “หมิงอวิน…โอ๊ย…ข้ามิไหวแล้ว…ข้าขำจะแย่แล้ว เจ้าเห็นหรือไม่ สีหน้าเขียวปั๊ดของแม่มดชราน่ะ…โอ๊ย! ปวดท้องชะมัด…”
หลี่หมิงอวินกล่าวอย่างสุขุม “ปฏิบัติต่อผู้อื่นเสมือนผู้อื่นปฏิบัติต่อตน นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็น”
อวี้หลงรับชุดคลุมตัวนอกของนายน้อย “เอ้อร์เส้าเหยีย น้ำร้อนเตรียมเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ มื้อเย็นก็เตรียมไว้แล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”
หลี่หมิงอวินพยักหน้า “เตรียมตั้งโต๊ะเถอะ!” เมื่อมองดูหลินหลันที่กำลังหัวเราะไม่หยุด มุมปากของหลี่หมิงอวินจึงยกขึ้นเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากถาม “หากข้ามาไม่ทันการณ์ เจ้าเตรียมรับมืออย่างไรหรือ”
ไม่ง่ายเลยกว่าหลินหลันจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ นางกล่าวรอยยิ้ม “แน่นอนว่าข้าก็ต้องไม่ขัดข้องอยู่แล้ว ทว่าข้าก็ไม่ปล่อยให้เป็นดั่งใจพวกนางเช่นกัน มิใช่เจ้ากล่าวไว้หรอกหรือ ว่ามีเรื่องอันใดให้ผลักไปที่เจ้าได้เลย”
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มชวนหลงใหล “มิเสียแรงที่สั่งสอน!” ทันทีที่กล่าวจบ เขามุ่งไปยังห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา
หยินหลิ่วได้ยินความคลุมเครือในนั้น จึงเอ่ยถาม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ ปฏิบัติต่อผู้อื่นเสมือนผู้อื่นปฏิบัติต่อตนนี่มันอะไรหรือเจ้าคะ” หยินหลิ่วรู้เพียงว่าแม่มดชราหมายถึงนายหญิงใหญ่ เพราะนายหญิงน้อยของพวกนางก็เรียกขานเช่นนี้ยามอยู่ต่อหน้านางและอวี้หลง
เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนอยู่ไม่น้อยหากต้องอธิบายขึ้นมาจริงๆ ภูมิหลังของหมิงจูยังจำเป็นต้องเก็บงำไว้เป็นความลับ หลินหลันลุกขึ้นนั่งแล้วลูบคลำหน้าท้องที่เกร็งจนรู้สึกปวด นางเม้มริมฝีปากก่อนกล่าวขึ้น “ก็ไม่มีอันใดหรอก แค่เหล่าไท่ไทและฮูหยินอยากหาอนุภรรยาให้เอ้อร์เส้าเหยียของพวกเจ้า”
“อะไรนะเจ้าคะ หาอนุภรรยาให้เอ้อร์เส้าเหยีย?” คิ้วเรียวยาวของหยินหลิ่วเลิกขึ้น ภายใต้สีหน้าที่ตื่นตระหนกเกินจริง
หลินหลันรีบแสดงท่าทางผ่านมือพร้อมส่งเสียง ชู่ว์ แล้วกล่าวเชิงตำหนิด้วยเสียงบางเบา “เจ้าเบาๆ หน่อยสิ จะเสียงดังเพียงนี้ทำไมกัน”
หยินหลิ่วรู้สึกกังวลอย่างยิ่ง “แล้วเอ้อร์เส้าเหยียว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ” นางกล่าวเสียงกระซิบ
หลินหลันหลุดหัวเราะขึ้นมาอีกระลอก “วางใจได้ นายน้อยของพวกเจ้ามิใช่คนประเภทหลายใจ”
หยินหลิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่แล้วก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาอีกครั้ง “ทว่าในเมื่อฮูหยินมีความนึกคิดเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เกรงว่าคงมิยอมล้มเลิกความตั้งใจง่ายๆ กระมังเจ้าคะ! คราก่อนเรื่องป๋ายฮุ่ย…นี่เพิ่งผ่านไปมิทันไร เหตุใดฮูหยินถึงจ้องแต่จะจับคนโยนเข้ามาในบ้านคนอื่นเขาอยู่ได้”
หลินหลันแสยะยิ้มแล้วกล่าวเชิงเหยียดหยัน “นางจะทำอันใดได้ ทว่าที่เจ้าพูดกลับช่วยน้ำเตือนข้าได้ไม่น้อย เพื่อความปลอดภัย…” หลินหลันครุ่นคิด เป็นที่ประจักษ์ว่าแม่มดชราคงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องรับอนุภรรยาอีก ทว่ายากที่จะรับประกันได้ว่านางจะไม่ก่อเรื่องซ้ำรอยโดยการจับอวี๋เหลียนและหมิงอวินไปอยู่รวมกัน ถึงยามนั้นแม้หมิงอวินไม่อยากรับอนุภรรยาแต่ก็จำเป็นต้องรับ แม้ว่านางและหมิงอวินระมัดระวังอยู่เสมอ ทว่าเช่นนี้มันเหนื่อยเกินไปหรือไม่ ทางที่ดีจำเป็นต้องตัดปัญหานี้ให้เด็ดขาด อวี๋เหลียนเอ๋ย! เจ้าอย่าได้โทษว่าข้าขุดหลุมฝังเจ้าเลยนะ หากเจ้าเลือกกระโดดลงไปในหลุม แสดงว่าความนึกคิดและจิตใจของเจ้าก็ไม่ซื่อตรงเช่นกัน
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายจะทำอย่างไรต่อไปหรือเจ้าคะ” หยินหลิ่วเผยสีหน้าประหลาดใจ มองไปยังนายหญิงพลางกะพริบตาปริบๆ
หลินหลันฉีกยิ้มระรื่น “ไม่ทำอันใด รีบตั้งโต๊ะอาหารเถอะ เอ้อร์เส้าเหยียหิวแย่แล้วกระมัง!”
สิบห้านาทีต่อมา ทั้งสองนั่งหันหน้าเข้าหากัน หลินหลันเท้าคางด้วยมือหนึ่งข้างมองดูหมิงอวินรับประทานอาหาร
“หลายวันมานี้กิจการที่ร้านยาค่อนข้างดีทีเดียว ยาเป่าหนิงขายหมดเกลี้ยงแล้ว ทว่าเพราะเดิมก็เหลือไม่เท่าใด ข้าเลยเตรียมหาคนงานอีกสักสองสามคน จะได้ทำยาไก่ดำหงส์ขาวออกมา เมื่อมีตัวยาขึ้นชื่อเหล่านี้ กิจการคงเป็นไปอย่างดีได้ไม่ยากนัก ทักษะการแพทย์ของศิษย์พี่รองดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นมาก เมื่อก่อนเห็นเขาตรวจจับชีพจรทีต้องใช้เวลาตรวจอยู่เนิ่นนาน ทว่ายามนี้รวดเร็วขึ้นมาก…” หลินหลันรายงานสถานการณ์ร้านยาในสามสี่วันที่ผ่านมา
หลี่หมิงอวินดื่มน้ำแกงก่อนกล่าวขึ้นอย่างสบายๆ “อย่าเพิ่งเร่งรีบทำเวลาจนพานให้ตรวจอาการผิดไป ระวังจะกลายเป็นทำลายชื่อเสียงเอาได้”
หลินหลันกลอกตามองบนใส่เขา “ศิษย์พี่รองเป็นคนซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา ศิษย์พี่ห้าน่ะไม่แน่ ดังนั้นข้าจึงให้ศิษย์พี่ห้าเป็นลูกมือศิษย์พี่รอง จะอย่างไรก็ต้องให้ศิษย์พี่รองช่วยควบคุมไว้ถึงเป็นการดี”
หลี่หมิงอวินหัวเราะร่า “เจ้ารู้อยู่แล้วก็ดี”
“ข้าต้องรู้อยู่แล้วสิ แต่กำลังคนยังไม่เพียงพอนี่สิ! เฮ้อ…หมิงอวิน ข้ามีความคิดหนึ่งคือไปเชิญหมออาวุโสที่มีทักษะเชี่ยวชาญมานั่งประจำร้านเพื่อวินิจฉัยแล้วให้เงินตอบแทนเขา ส่วนพวกเราก็ทำเงินจากวัตถุดิบยา หากเป็นเช่นนี้ บรรดาหมออาวุโสเหล่านั้นก็มิต้องขึ้นเหนือล่องใต้ไปมาทุกวัน ผู้ป่วยจะเป็นฝ่ายมาหาถึงที่เอง จะได้ลดปัญหาเรื่องหมอตรวจวินิจัยไม่เพียงพอจนยุ่งไม่ทันการณ์” หลินหลันนึกถึงร้านยาแผนปัจจุบันจำนวนมากที่ล้วนใช้รูปแบบดำเนินกิจการเช่นนี้ ทุกคนต่างได้แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน แล้วยังได้ผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ทว่านางยังเจอจุดบอด ซึ่งก็คือรูปแบบของยุคปัจจุบัน เงินจากวัตถุดิบยา หมอที่นั่งห้องวินิจฉัยจะได้ส่วนแบ่งไปด้วย มีบางสิ่งสามารถจัดสรรส่วนแบ่งได้ ทว่าสิ่งของประเภทยานี่จะจัดสรรส่วนแบ่งออกไปมากคงไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เพราะมีหมอบางประเภทฉลาดแกมโกง เพื่อให้ได้เงินเยอะขึ้นหน่อย จึงวินิจฉัยจากโรคเล็กน้อยกลายเป็นโรคร้ายแรง พอโรคร้ายแรงกลายเป็นป่วยระยะสุดท้ายเสียดื้อๆ นั่นเท่ากับเป็นการเปิดร้านยาเพื่อเลี้ยงปากท้องตนเอง หาได้เป็นการช่วยชีวิตผู้คนไม่
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าครุ่นคิดแล้วจึงกล่าวขึ้น “ก็น่าจะได้ ทว่าเรื่องคนนี่จำเป็นต้องคัดสรรให้ดีๆ อย่างประเภทไร้ชื่อเสียงเรียงนามแน่ชัดคงมิได้”
“แน่นอนละ ต้องเรียนเชิญที่มีชื่อเสียงดีๆ สักหน่อย ทางที่ดีที่สุดต้องลงนามข้อตกลงด้วย จะได้มีข้อกำหนดซึ่งกันและกัน”
หลี่หมิงอวินมองดูท่าทางครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจังของนาง จึงขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเศร้าใจ “เห็นทีว่าช่วงที่ข้าไม่อยู่ เจ้ามีอะไรให้คิดค่อนข้างมากทีเดียว นี่คงไม่มีเวลาคิดถึงข้าเลยกระมัง”
หลินหลันกล่าวอย่างไม่แยแส “แล้วจะให้ทำเช่นไรได้ล่ะ ยุ่งจะแย่เพียงนี้ เอาเวลาที่ไหนไปคิดถึงเจ้าได้”
หลี่หมิงอวินแสร้งจ้องเขม็งภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม “มิเคยคิดถึงกันเลยจริงหรือ”
ด้วยนัยน์ตาดุร้ายราวกับเสือ ทำให้หลินหลันต้องกล่าวอย่างอ่อนข้อลง “ก็มีคิดถึงอยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ”
หลี่หมิงอวินตักน้ำแกงไก่ใส่ชามตนเองจนเต็มพลางพึมพำกับตนเอง “ดื่มเยอะๆ หน่อยแล้วกัน จะได้มีเรี่ยวแรง”
ทันใดนั้นหลินหลันรู้สึกถึงความเย็นวูบ นางรีบแสดงความรู้สึกแทบไม่ทัน “อันที่จริงก็คิดถึงอยู่ไม่น้อย ช่วงที่เจ้าไม่อยู่ ยามค่ำคืนข้านอนมิหลับเลย จริงนะ มิเชื่อเจ้าถามหยินหลิ่วดูได้เลย” หลินหลันเผยสีหน้าซื่อตรง น่าเสียดายที่หยินหลิ่วไม่อยู่ มิเช่นนั้นหยินหลิ่วคงได้พยักหน้าอย่างแรงภายใต้สีหน้าจริงเช่นกัน
ในที่สุดหลี่หมิงอวินก็สะกดกลั้นความรู้สึกไว้ไม่อยู่ เขาอมยิ้มแล้วยื่นมือไปบีบปลายจมูกของนางพลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “แบบนี้ค่อยน่าฟังหน่อย”
หลินหลันชักสีหน้าสลด ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “จริงสิ เผยฮูหยินล้มป่วย วันนี้ท่านเผยจึงเชิญให้ข้าไปตรวจดูอาการ หลังจากนี้ข้าต้องไปฝังเข็มให้เผยฮูหยินทุกวัน ลองวิธีการนี้ก่อนสักสิบวัน หากได้ผลลัพธ์ที่ดีก็ค่อยรักษาด้วยขั้นตอนต่อไป”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าจริงจัง “เช่นนั้นวันมะรืนข้าจะแวะเข้าไปเยี่ยมเยียน พรุ่งนี้เจ้าช่วยส่งผลิตภัณฑ์บำรุงไปให้ก่อนแล้วกัน!”
“แน่นอนว่าข้าก็คิดเช่นนั้นไว้แล้ว วันนี้ข้าสั่งการฝูอานไว้แล้วให้เตรียมโสมจำนวนร้อยราก รังนกครึ่งกิโลกรัมและวัตถุดิบยาส่งไปพร้อมกัน ท่านเผยเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณของเจ้า การแสดงความกตัญญูจึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำ”
หลี่หมิงอวินอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปบีบจมูกของนางอีกครั้งพลางกัดฟันด้วยความมันเขี้ยว “เจ้าช่างเป็นศรีภรรยาที่แสนดีของข้าจริงๆ”
หลินหลันปัดมือของเขาทิ้งแล้วกล่าวโต้เถียง “เจ้าเลิกบีบจมูกข้าสักทีจะได้หรือไม่ ถูกเจ้าบีบจมูกจนยาวยืดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จมูกเดิมของข้าก็ดีๆ อยู่แล้วเชียว”
มองดูนางที่กำลังเผยสีหน้าราวกับหงุดหงิดและเขินอายในเวลาเดียวกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความขี้อายและเสน่ห์ของสตรีตัวเล็กอย่างเป็นธรรมชาติ หลี่หมิงอวินจ้องมองนางพลางหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แล้วกล่าว “ในสายตาข้า เจ้างดงามทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไร”
หลังจากนั้น หลินหลันพูดคุยกับหมิงอวินเรื่องจื่ออวี้และเผยจื่อชิ่ง ได้ยินหลี่หมิงอวินกล่าวว่าเฉินจื่ออวี้ชอบพอเผยจื่อชิ่งมาหลายปีแล้ว ทว่าเผยจื่อชิ่งยังคงไม่ยอมใจอ่อน หลินหลันรู้สึกละอายแก่ใจอย่างยิ่ง ตามด้วยความรู้สึกเสียใจ “ดูคนอื่นเขาสิ นั่นถึงเรียกได้ว่ารักนวลสงวนตัว ข้าช่างมิรักนวลสงวนตัวเอาเสียเลย มิทันไรก็ถูกคนหลอกล่อให้ตกมาอยู่ในกำมือเสียแล้ว”
หลี่หมิงอวินหน้าเจื่อน “ไยเจ้าถึงมิกล่าวว่าเป็นเฉินจื่ออวี้เองที่ไม่ได้เรื่องได้ราว บุรุษผู้นี้พออยู่ด้านนอกเป็นต้องปากคอเราะรายเสียยิ่งกระไรดี ทว่าทันทีที่เจอแม่นางเผยเป็นอันต้องใบ้กิน ไม่เหมือนเจ้ากับข้า ถึงเวลาต้องลงมือก็ลงมือ ไม่มัวผัดวันประกันพรุ่ง นี่สิถึงเรียกว่ามีความสามารถของจริง”
หลินหลันมองดูเขาด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง นางครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ “ข้าจำได้ว่าใครบางคนเคยเคอะเขินอย่างมากมาก่อน ถูกคนเขาหยอกเย้าเสียจนหน้าแดงก่ำราวกับกวนอู”
หลี่หมิงอวินยกกำปั้นจ่อบนริมฝีปากพลางส่งเสียงกระแอม “เอาเถอะ! ข้ายอมรับว่าความหน้าหนาของข้าเป็นการเรียนรู้จากใครบางคนมา”
หลินหลันจ้องเขม็งเขาสามวินาที แล้วแยกเขี้ยวพุ่งเข้าไปกัดเขา
“อ๊า…อย่ากัดปากข้า พรุ่งนี้ข้าต้องไปราชสำนักนะ…”
“เรื่องของเจ้า…”
ทั้งสองหยอกเย้ากันมะรุมมะตุ้ม
ขณะนี้นางฮานกำลังนอนกุมหน้าผากพลางร้องโอดครวญอยู่บนเตียง
แม่เจียงช่วยบีบนวดขมับให้นาง “ฮูหยิน ท่านจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ เรียนเชิญหมอมาตรวจดูอาการเถอะเจ้าค่ะ”
นางฮานได้ยินคำว่าหมอถึงกับปวดศีรษะหนักเข้าไปใหญ่ “เชิญหมอ เชิญใครล่ะ ยามนี้ในบ้านมีหลินหลันเป็นหมออยู่แล้ว จะให้ข้าเชิญหมอผู้อื่นมาก็คงไม่เหมาะสมนัก เดี๋ยวจะเป็นขี้ปากของคนอื่นเอาได้ว่ามิเชื่อมั่นในตัวลูกสะใภ้ของตนเอง หรือไปทำเรื่องสกปรกอันใดใส่เขาไว้แล้ว จะให้หลินหลันตรวจอาการป่วยน่ะ! ข้ายิ่งมิวางใจเข้าไปใหญ่”
แม่เจียงรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่งเช่นกัน “ก็จริงเจ้าค่ะ ยามนี้กระทั่งหาหมอยังกลายเป็นปัญหาไปเสียแล้ว ทว่าฮูหยินจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปก็มิใช่วิธีที่ดีนะเจ้าคะ ปีนี้ปวดศีรษะถึงเพียงนี้มาตั้งหลายครั้งหลายคราแล้วด้วย”
นางฮานกล่าวใส่อารมณ์ “จะเป็นไรไปได้หากมิใช่เพราะถูกคู่สามีภรรยานั่นทำให้โกรธเกรี้ยว คำพูดของหมิงอวินในวันนี้เจ้าเองก็ได้ยินแล้ว ข้าเกือบกระอักเลือดออกมาก็ว่าได้”
แม่เจียงกล่าว “ยามนั้นบ่าวเองก็ตะใจเช่นกันเจ้าค่ะ นี่นายน้อยหมิงอวินคงมิได้ไปรู้อันใดมาแล้วกระมังเจ้าคะ”
นางฮานปวดสมองตุบตุบ “เจ้าก็คิดเช่นนี้หรอกหรือ”
“บ่าวมิกล้าฟันธง แต่ว่าตามหลักเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายมีความขัดแย้งต่อกันหลายต่อหลายครั้ง แล้วเอ้อร์เส้าเหยียจะถูกใจเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะไปได้อย่างไรกันเจ้าคะ” แม่เจียงกล่าวด้วยความสงสัย
นางฮานถอนหายใจ “เลิกพูดถึงเถอะ ไว้รอหมิงเจ๋อสอบผ่านแล้ว รอให้ทางด้านซานซีนั่นประสบความสำเร็จ ค่อยหาโอกาสแยกบ้านแล้วกัน! มิต้องเจอะต้องเจอกันจะได้ไม่วุ่นวายใจ”
แม่เจียงกล่าวด้วยความสงสัย “ยามนี้เหล่าไท่ไทอยู่ด้วย เกรงว่าคงไม่ยินยอมให้แยกบ้านนะเจ้าคะ ทางด้านบ้านเกิดนั่น นายท่านแต่ละคนจนถึงยามนี้ล้วนยังไม่แยกบ้านออกไปเลยเจ้าค่ะ! เหล่าไท่ไทชอบครอบครัวใหญ่ จะได้อยู่กันอย่างครึกครื้น”
นางฮานอัดอั้นตันใจอย่างยิ่ง “เจ้าว่าข้าเปลืองแรงพาเหล่าไท่ไทมาเพื่ออันใด นี่กลับช่วยอันใดมิได้เลยสักนิด กลับกลายเป็นว่าทำตนเป็นพระพุทธเจ้า ต้องเคยเชื่อฟังคำสั่งสอนอยู่ตลอดเวลา นี่มิเท่ากับข้าหาปัญหาใส่ตนเองหรอกหรือ”
แม่เจียงหน้าเจื่อน ในเมื่อความนึกคิดนี้เป็นนางที่เสนอแนะออกไป จึงกล่าวเกลี้ยกล่อม “ฮูหยิน ท่านก็อย่าได้ท้อแท้ไปเลยเจ้าค่ะ เหล่าไท่ไทอยู่ทั้งคน อย่างไรก็ต้องมีประโยชน์อยู่บ้าง อย่างน้อยๆ ก็ควบคุมนายท่านได้ เอ้อร์เส้าเหยียก็มิกล้าปฏิบัติต่อท่านอย่างมิให้ความเคารพ เสมือนเรื่องรับอนุภรรยาในครานี้ หากมิใช่เอ้อร์เส้าเหยียดึงเปี่ยวเสี่ยวเจี่ยะเข้ามาเอี่ยวเสียได้ เหล่าไท่ไทคงต้องออกหน้ายืนกรานให้ก็เป็นอันสำเร็จลุล่วงไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าว่าเหล่าไท่ไทล้มเลิกความนึกคิดนี้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้วละ” นางฮานกล่าวอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ไยฮูหยินต้องร้อนใจไปล่ะเจ้าคะ ไว้ค่อยหาโอกาส จับสองคนนั้น…แล้วเอ้อร์เส้าเหยียจะยังปฏิเสธอวี๋เสี่ยวเจี่ยะได้อีกหรือเจ้าคะ” แม่เจียงกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
นัยน์ตาของนางฮานเต็มไปด้วยความเย็นชา “เขามิปล่อยให้ข้าอยู่ดีมีสุข พวกเขาสองคนก็อย่าได้คิดว่าจะได้อยู่ดีมีสุข นางผู้นี้ อย่างไรข้าก็ต้องจับยัดเข้าไปให้ได้” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
แม่เจียงกล่าวยุยง “ขอเพียงคิดจะทำก็ต้องเป็นอันสำเร็จได้แน่นอนเจ้าค่ะ คราก่อนสาเหตุที่เรื่องของป๋ายฮุ่ยมิเป็นผลสำเร็จ บ่าวไปสืบเสาะมาจึงได้ความว่าที่แท้เอ้อร์เส้าเหยียเตรียมตั้งรับเรื่องป๋ายฮุ่ยแต่แรกแล้วเจ้าค่ะ วันนี้โชคดีที่พวกเรามิได้เอ่ยถึงอวี๋เสี่ยวเจี่ยะ จึงยังพอมีหนทางให้ดำเนินเรื่องต่อไปเจ้าค่ะ”
นางฮานกระตือรือร้นขึ้นมาอีกครั้ง อาการปวดหัวก็หายเป็นปลิดทิ้งเช่นกัน “เรื่องวันนี้อย่าให้เสี่ยวเจี่ยะรับรู้เข้าล่ะ นางนิสัยเสียเช่นนั้น หากรู้เข้ามีหวังได้ทำเรื่องของข้าพังมิเป็นท่า”