บทที่ 148 คุ้มกัน

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเวยไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่คนนี้จะทำเรื่องใหญ่อย่างเงียบๆ

นางหยิบหลักฐานเขียนด้วยลายมือของนายท่านสี่แล้วมองกล่องที่บรรจุใบสัญญากองหนา ผ่านไปสักพักสติของนางก็ยังไม่กลับมา

จี้หลิงยังคงทำหน้าตาไม่น่าเข้าหาและพูดว่า “นายท่านหกเสียชีวิตแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะนำเรื่องของท่านอามาพูด ไม่อย่างนั้นผู้อื่นจะมองว่าเราได้คืบจะเอาศอกซึ่งมันไร้เหตุผลไปแล้ว ทรัพย์สินเหล่านี้จะส่งมอบให้น้องในภายภาคหน้าและตระกูลหมิงไม่สามารถดูแลน้องได้อีกต่อไป”

พูดถึงตรงนี้ก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย “พี่ใหญ่ไร้ความสามารถบอกน้องไปว่าจะทวงความยุติธรรมให้ แต่ทำได้เพียงแค่นี้”

ไม่ พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ไร้ความสามารถเลยสักนิด!

เดิมทีนี่เป็นสิ่งที่หมิงเวยวางแผนเอาไว้ ไม่ว่าตระกูลหมิงจะถูกประหารทั้งตระกูลหรือถูกริบทรัพย์ นางไม่อยากจะอยู่ในตระกูลหมิงอีกต่อไปแล้ว เพียงแต่การเขียนหนังสือตัดขาดนั้นค่อนข้างยุ่งยาก นางกำลังคิดหาวิธีอยู่เลยไม่คิดว่าจี้หลิงจะจัดการให้เรียบร้อยแล้ว

แล้วยังทรัพย์สินพวกนี้…

“พี่ใหญ่ สิ่งเหล่านี้ไม่ถูกต้อง” นางชี้ไปที่กล่อง

จี้หลิงไม่มีความคิดเกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลหมิง ก่อนหน้านี้ตอนที่นายท่านสี่และหมิงเฉิงนำสมุดบัญชีมาเพื่อคำนวณ เขาสังเกตสีหน้าของท่านผู้เฒ่ารองและคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าพวกเขารู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมากจึงคาดเดาได้ว่า นายท่านสี่ไม่ได้เป็นคนเห็นแก่ตัวที่เก็บทรัพย์สินไว้ครอบครองเพียงผู้เดียว

เมื่อได้ยินหมิงเวยพูดเช่นนั้นเขาก็มีใบหน้าเคร่งเครียด “ทำไม น้อยไปหรือ”

“เปล่าเจ้าค่ะ มากเกินไป” หมิงเวยเปิดกล่องหยิบขึ้นมาให้เขาดูทีละแผ่นพร้อมคำนวณเป็นตัวเลข เมื่อจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่จริงจังของจี้หลิงก็เปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น

ที่บอกว่าตระกูลจี้ตกต่ำลงนั้นไม่ใช่เพราะเกรงใจแต่อย่างใด ในตอนที่ฮูหยินสามยังไม่ออกเรือนนั้น นางต้องเย็บปักถักร้อยเป็นครั้งคราวเพื่อจุนเจือครอบครัว เมื่อนายท่านใหญ่สอบข้าราชการผ่านสถานการณ์ของตระกูลก็ดีขึ้นมาก แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะใช้ชีวิตในเมืองหลวง การงานของนายท่านใหญ่นั้นไม่ได้ราบรื่น เงินเดือนข้าราชการจึงเพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวได้เท่านั้น

ดังนั้นจี้หลิงจึงไม่เคยเห็นเงินมากมายขนาดนี้มาก่อน!

“เยอะอะไรขนาดนี้” หมิงเวยวางโฉนดที่ดินใบสุดท้าย “คำนวณจากราคาตลาดแล้วน่าจะประมาณสามแสนแปดหมื่นตำลึง พี่ใหญ่เจ้าคะ”

จี้หลิงดึงสติกลับมาเขากระแอมหนึ่งครั้งแล้วถาม “น้องคำนวณถูกใช่หรือไม่”

หมิงเวยตอบ “เมื่อก่อนน้องเคยดูท่านแม่และแม่นมคำนวณบัญชีถึงแม้จะผิดพลาด แต่ก็ไม่น่าเกินสามหมื่นตำลึงเจ้าค่ะ”

“มากมายอะไรขนาดนี้…” ตระกูลหมิงไม่ใช่พ่อค้าร่ำรวย ลูกหลานนายท่านหมิงเซียงไม่มีคนไหนได้เป็นข้าราชการใหญ่ จี้หลิงไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะมีกิจการใหญ่โตเช่นนี้

หมิงเวยยิ้มนี่ไม่ถือว่ามากมายอะไร ตระกูลที่ร่ำรวยอย่างแท้จริงต้องมีอย่างน้องหลายล้าน นายท่านหมิงเซียงเคยบุกเข้ายึดอำนาจด้วยกำลังอาวุธร่วมกับไท่จู่ เป็นเรื่องง่ายที่จะได้รับเงินจากการทำสงคราม

แม้ว่าเขาจะเป็นขุนนางแต่ก็ได้รับรางวัลมากมาย เมื่อรวมกับรางวัลแบ่งที่ดินให้จากการก่อตั้งอาณาจักร ตราบใดที่ลูกหลานไม่ล่มจม ดูแลเป็นอย่างดีจนถึงตอนนี้การมีทรัพย์สินมากมายขนาดนี้เป็นเรื่องปกติมาก

หมิงเวยโบกโฉนดที่ดินในมือ “ตระกูลหมิงแบ่งออกเป็นสองเรือน ทรัพย์สินที่เรือนใหญ่ได้รับมีมากกว่านี้ ทรัพย์สินเหล่านี้เกรงว่าจะเป็นกิจการส่วนใหญ่ของเรือนรอง”

“น้องจะบอกว่านายท่านสี่นำส่วนแบ่งของเขาออกมาด้วยงั้นหรือ” หมิงเวยพยักหน้า จี้หลิงสงบลงอย่างรวดเร็วเขาคิดไตร่ตรอง “ดูเหมือนสถานการณ์ตระกูลหมิงจะไม่ดีเอามากๆ”

เขาคิดว่าใต้เท้าเจี่ยงปล่อยนายท่านสี่กลับมาเพราะโทษฐานของเขาไม่หนักนัก แต่เมื่อดูจากวิธีที่นายท่านสี่ทำแล้วเห็นได้ชัดว่าเขาใช้เรื่องนี้ทำเรื่องโอนกิจการครอบครัวอย่างชัดเจน

“ท่านอาสี่ของน้องปฏิบัติต่อน้องด้วยความจริงใจจริงๆ”

เมื่อมีการถ่ายโอนทรัพย์สินก็ถือว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาแล้ว ในภายภาคหน้าหากตระกูลหมิงถูกยึดทรัพย์จริงๆ พวกเขาก็คงไม่ไปไหน

หมิงเวยตอบ “ท่านอาสี่ยังคงมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีส่วนพี่สี่…” นางถอนหายใจ “เดิมทีเรื่องเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลย แต่น่าเสียดายที่เขาคิดผิดไปชั่วขณะ”

นางพูดต่อไปสักพักในที่สุดจี้หลิงก็เอ่ยออกไปว่า “ก่อนหน้านี้พี่ไปศาลว่าการเพื่อสืบข่าว ใต้เท้าเจี่ยงได้จัดการเรื่องเหล่านี้ไปไม่น้อยแล้ว น้องเองก็เตรียมเก็บข้าวของเถิด ถึงเวลานั้นพวกเราจะกลับเมืองหลวงกัน”

หมิงเวยพยักหน้า “น้องเป็นพยานในคดีนี้เกรงว่าจะต้องร่วมเดินทางไปเมืองหลวงกับพวกเขาด้วยเรื่องนี้ต้องรบกวนพี่ใหญ่แล้ว”

จี้หลิงโบกมือ “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

สองวันต่อมาหมิงเวยได้เตรียมการไว้อย่างเหมาะสมโดยขอให้จี้หลิงพาศพของฮูหยินสามไปที่วัดเป่าหลิงเพื่อทำการเผาศพ หมิงเวยทราบดีว่าดวงวิญญาณของฮูหยินสามได้ไปเกิดใหม่แล้ว และนางเองก็ไม่เสียใจ แต่จี้หลิง แม่นมถงและคนอื่นๆ กลับหลั่งน้ำตาออกมา

เมื่อเสร็จสิ้นทั้งสองก็นำขี้เถ้าของฮูหยินสามไปวางบนแท่นบูชาและปฏิบัติตามพิธีต่างๆ อีกด้านหนึ่งหยางชูได้ส่งข่าวมาว่าพวกเขากำลังเดินทางกลับเมืองหลวงแล้ว

………….

“เก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระวังด้วย!” ภายในห้องแม่นมถงกำลังสั่งเหล่าสาวใช้เก็บของต่างๆ ซู่เจี๋ยเดินหัวเราะเข้ามาเห็นกล่องหลายใบวางเรียงกันจึงพูดว่า

“แม่นม ของพวกนี้ต้องเอาไปด้วยงั้นหรือ คุณหนูบอกว่าให้นำเฉพาะของจำเป็นไป เมื่อไปเมืองหลวงแล้วต้องการอะไรค่อยไปซื้อทีหลัง”

แม่นมถงตอบ “ยังเบาไป นี่เป็นการออกเดินทาง! อีกทั้งยังเป็นการเดินทางร่วมกับเจ้าหน้าที่อีกมีหลายเรื่องที่ต้องปฏิบัติตามใต้เท้าเหล่านั้น จะพกไปน้อยไม่ได้”

หลังจากเหตุการณ์ในห้องเซ่นไหว้ผู้ตายวันนั้น อาการป่วยของแม่นมถงก็ค่อยๆ ฟื้นตัว เดิมทีนางป่วยทางจิตใจตอนนี้ฮูหยินสามได้รับความเป็นธรรมแล้ว หมิงเวยกับตระกูลหมิงเองก็ได้ตัดขาดความสัมพันธ์แล้ว นางไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก

ซู่เจี๋ยมองไปที่กล่องที่เต็มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แล้วลางสังหรณ์นี้ก็กลายเป็นจริงในไม่ช้า

“อะไรนะเจ้าคะ คุณหนูจะไม่พาพวกเราเข้าเมืองหลวงด้วย!” ปิงซินร้องขึ้นมา

ถ้าเป็นปกติแม่นมถงจะพูดว่านางไม่ควรทำกิริยาเช่นนี้ แต่ตอนนี้แม่นมถงเองก็อยากถามคำถามนี้เช่นกัน

หมิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ใช่ไม่พาพวกเจ้าเข้าเมืองหลวง พวกเราแค่แยกกันไป” นางรับปากฮูหยินสามไปแล้วจะไม่ดูแลพวกนางได้อย่างไรกัน

“พวกเจ้าเองก็รู้ว่าการไปเมืองหลวงในครั้งนี้ไม่ปกติ พูดตามตรงก็คือข้าเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องอาญาต้องถูกคุมตัวไปที่เมืองหลวงจะให้พาคนไปมากมายเช่นนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสม”

“แต่ว่าจะให้ไม่มีใครอยู่ข้างกายคุณหนูเลยก็ไม่ได้”

หมิงเวยยิ้ม “ทำไมจะไม่มี ตัวฝูจะไปกับข้าด้วยมีแค่นางก็พอแล้ว แล้วยังมีพี่ใหญ่ที่คอยคุ้มกันอีกแม่นมจะกังวลอะไร”

นางพูดอีกว่า “แล้วอีกอย่างของต่างหน้าของท่านแม่ต้องมีคนนำไปเมืองหลวง นอกจากแม่นมแล้วข้าจะเชื่อใจใครได้อีก”

ได้ยินประโยคนี้แม่นมถงก็สบายใจนางพูดอย่างไม่เต็มใจว่า “คุณหนูเติบโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยห่างจากบ่าวเลยนะเจ้าคะ!”

หมิงเวยยิ้ม “รอถึงเมืองหลวงก่อน พวกเราก็ได้อยู่ด้วยกันแล้ว”

เมื่อปลอบโยนแม่นมถงเรียบร้อยแล้วหมิงเวยก็สั่งปิงซินกับซู่เจี๋ยเป็นการส่วนตัว “พวกเจ้าเดินทางดีๆ อย่าให้แม่นมถงรู้สึกเหนื่อยสิ่งของเอาไปเฉพาะที่จำเป็นก็พอแล้ว”

ทั้งสองคนมองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะคุณหนู”

วันเดินทางไปเมืองหลวงนอกจากเสื้อผ้าของใช้ที่จำเป็นแล้วหมิงเวยพกแค่เพียงโถใส่อัฐิของฮูหยินสามไปด้วยก็เท่านั้น แม่นมถงยังไม่ทันสร้างปัญหาอะไรก็พบว่าคนอื่นๆ ปฏิบัติตัวต่อตระกูลหมิงได้แย่ลง

พวกเขาไม่สามารถเตรียมรถม้าให้ตนเองได้ทำได้แค่นั่งเบียดกันอยู่ในรถม้าคันใหญ่สำหรับขนนักโทษ นายท่านและฮูหยินผู้สูงศักดิ์ล้วนถูกฉีกหน้าอันสูงส่งทิ้ง

พวกทหารเลวทั้งหลายทำให้พวกเขาตระหนักอย่างชัดเจนว่าตระกูลหมิงได้ก่อเรื่องที่เลวร้ายมากจริงๆ หลายวันที่ผ่านมานี้มีเพียงความเมตตาของใต้เท้าเจี่ยงเท่านั้นที่ทำให้สามารถรักษาเบื้องหน้าอันสวยงามเอาไว้ได้

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หมิงเวยได้รับเสรีภาพทางกายที่ดีกว่า ไม่อย่างนั้นก็อาจดูไร้เหตุผลเกินไปหรือเปล่าหากพวกเขาจะได้รับเท่าเทียมกันกับหมิงเวย

………………………