บทที่ 133 นับเหรียญ

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

เย็นวันนั้น เย่เทียนเฉินคิดจะเบี้ยวนัดตั้งหลายครั้งแต่ก็หนีไปไม่พ้น ซูเฟยเฟยเป็นคนที่ฉลาดมาก ไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นดั่งไม้ประดับที่ทำอะไรไม่ได้ สำหรับเย่เทียนเฉินที่มีนิสัยอันธพาลเช่นนี้ เธอหาทางป้องกันไว้นานแล้ว กระทั่งตอนที่เย่เทียนเฉินไปเข้าห้องน้ำเธอก็ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ทำให้เย่เทียนเฉินอับจนคำพูดจริงๆ

เวลาสองทุ่มโดยประมาณ เย่เทียนเฉินและซูเฟยเฟยนั่งอยู่ที่ร้านข้างทางแห่งหนึ่ง สั่งวุ้นเส้นต้มยำพิเศษมาสองที่ ดึงดูดสายตาแปลกๆ ของแขกข้างๆ หลายคนรวมไปถึงเถ้าแก่ขายวุ้นเส้นต้มยำ เนื่องจากซูเฟยเฟยขับรถเฟอร์รารี่ของตัวเองพาเย่เทียนเฉินมา รวมกับที่ซูเฟยเฟยสวยเลิศขนาดนี้ ไปที่ไหนก็ย่อมดึงดูดสายตาของคนรอบๆ

เย่เทียนเฉินทำแบบนี้ออกมาได้จริงๆ จะอย่างไรซูเฟยเฟยก็เป็นคุณหนูสูงศักดิ์แห่งตระกูลซู อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มีหน้าตางดงาม ถึงกับขับรถสปอร์ตเฟอร์รารี่มากินบะหมี่ข้างทางเลย? เกรงว่าบนโลกนี้คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ก็มีเพียงเย่เทียนเฉินเท่านั้น

“เถ้าแก่ วุ้นเส้นต้มยำสองถ้วย!” เย่เทียนเฉินยิ้มพลางตะโกนกับเถ้าแก่

“ได้เลย ต้องการอะไรอีกไหม?” เถ้าแก่เจ้าของร้านวุ้นเส้นต้มยำเปิดปากถาม

“ไม่เอาแล้วครับ กินอย่างอื่นไม่ลงแล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

“ฉันว่านายไม่ได้กินอย่างอื่นไม่ลงหรอก แต่เป็นเพราะขี้งกล่ะสิ คนขี้เหนียว!” ซูเฟยเฟยพูดแล้วจ้องเย่เทียนเฉินอย่างดุดัน

เย่เทียนเฉินมองซูเฟยเฟย คิดอยากจะแซวสาวงามคนนี้เล่นสักหน่อย จะอย่างไรก็ว่างอยู่ จึงยืนขึ้น สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วจับกระเป๋ากางเกงให้พลิกออกมา ปรากฏว่าทั้งหมดว่างเปล่า เขาทำท่าทางเหมือนคนไม่มีเงินแล้วพูดว่า “เห็นหรือเปล่า แม้แต่เหรียญเดียวก็ไม่มี…”

“นาย…งั้น งั้นอีกเดี๋ยวนายจะจ่ายเงินยังไง?” ซูเฟยเฟยเกือบจะถูกเย่เทียนเฉินทำให้โมโหจนตายอยู่แล้ว เธอคิดว่าไม่ง่ายเลยที่จะให้คนขี้งกอย่างเย่เทียนเฉินเลี้ยงวุ้นเส้นต้มยำตนเองถ้วยหนึ่งได้ หมอนี่คงไม่ชักดาบหรอกนะ? หรือจะบอกว่าสุดท้ายจะให้ตนเองที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนจ่ายเงิน?

เห็นท่าทางร้องไห้ไม่ออกของซูเฟยเฟย เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะในใจ เขาพยายามกลั้นเอาไว้ จากนั้นใช้มือขวาล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ นำเหรียญกำหนึ่งวางไว้บนโต๊ะเล็กๆข้างหน้า แล้วเริ่มนับเหรียญอย่างจริงจัง

“หนึ่งหยวน…”

“สองหยวน…”

“สองหยวนห้า…”

“สามหยวน…”

ซูเฟยเฟยเห็นดังนั้นก็รู้สึกอยากร้องไห้ เนื่องจากคนรอบๆ หลายคนมองมาทางพวกเขา แต่เย่เทียนเฉินก็ยังนับเหรียญอยู่ข้างๆ ต่อไปโดยไม่กลัวว่าจะเสียหน้าเลยสักนิด ตอนที่เขานับเสร็จก็ยังมองไปยังเถ้าแก่ที่กำลังทำวุ้นเส้นต้มยำแล้วถามว่า “เถ้าแก่ วุ้นเส้นต้มยำพิเศษของคุณเท่าไหร่?”

“สิบหยวน!”

เขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วมองไปอย่างเหรียญในมือ ตะโกนไปยังเถ้าแก่อย่างหน้าไม่อายว่า “เถ้าแก่ เปลี่ยนเป็นแบบธรรมดาให้พวกเราสองที่!”

ทรุดเลยทีเดียวแล้ว ไม่เพียงแต่ซูเฟยเฟยที่ทรุดแล้ว กระทั่งเถ้าแก่ที่ขายวุ้นเส้นต้มยำและลูกค้ารอบๆ เหล่านั้นก็ทรุดลงไปแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกคนจน แต่ใครจะไปเชื่อว่าคนที่ขับรถเฟอร์รารี่จะกินวุ้นเส้นต้มยำพิเศษถ้วยหนึ่งไม่ไหว? อีกทั้งเมื่อมองบนตัวของเย่เทียนเฉินก็เป็นสูทแบรนด์เนม จะกินวุ้นเส้นต้มยำถ้วยละสิบหยวนไม่ไหวเชียวหรือ? เหตุผลเดียวก็คือ ผู้ชายคนนี้เป็นสุดยอดของคนขี้งกไปแล้ว งกเสียยิ่งกว่างก

“นายอย่าทำให้ขายหน้าคนอื่นได้ไหม!” ซูเฟยเฟยโกรธจนกำมือขาวๆ แน่น กัดฟันพูดออกมาเสียงต่ำ

ซูเฟยเฟย ไม่ใช่ผู้หญิงที่ทนลำบากไม่ได้หรือทนความเหนื่อยล้าไม่ได้ และเธอก็ไม่มีความคิดแบ่งแยกคนจนคนรวยโดยเด็ดขาด เพียงแต่คนที่ทำได้อย่างเย่เทียนเฉินเรียกได้ว่าสุดยอดจริงๆ เลี้ยงข้าวสาวงามคนหนึ่งก็กินวุ้นเส้นต้มยำข้างทาง ทั้งสองคนสั่งพิเศษมา สุดท้ายพอนับเหรียญที่มีก็ยังตะโกนเปลี่ยนเป็นธรรมดาอีก กระทั่งคนผ่านทางไปมาก็ยังคิดอยากจะพุ่งเข้ามาต่อยเย่เทียนเฉินสักยก

ความจริงแล้วเย่ทียนเฉินจงใจทำแบบนี้เพื่อแกล้งซูเฟยเฟย ด้วยตำแหน่งประธานคณะกรรมการเครือไห่หวางของเขา ต่อให้เลวร้ายอย่างไรก็สามารถนำเงินหนึ่งล้านแปดแสนออกมาได้ตลอดเวลา เพียงแต่ไม่ใช่เงินสดแต่เป็นบัตรเครดิต

“ดูสิ เงินแค่นี้เอง ไม่มีทางเลือกแล้ว เธอก็ทนลำบากหน่อย ยังไงซะตระกูลซูของเธอก็มีเนื้อมีปลามากมาย ไม่แย่กว่าที่ฉันเลี้ยงมื้อนี้หรอก!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วเบะปากแล้วทำท่าทางไร้เดียงสา

“ยังไม่นั่งลงอีก คิดอะไรอยู่? จะขายหน้าคนต่อไปเหรอ?” ซูเฟยเฟยถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนไม่มีอารมณ์แล้ว ใช้ดวงตาอันสวยงามจ้องมองไปยังเย่เทียนเฉินพลางกล่าว

เย่เทียนเฉินยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์แล้วนั่งตรงข้ามซูเฟยเฟย ร้านข้างทางล้วนเป็นโต๊ะและเก้าอี้เตี้ยเล็ก เมื่อนั่งด้วยกันจึงค่อนข้างใกล้ชิด

“นี่ ฉันว่าครั้งนี้นายก่อเรื่องใหญ่ที่ตระกูลฉินเลยนะ เรื่องคงจะดีได้ยากแล้ว ต้องการให้ฉันช่วยสักหน่อยไหม?” ซูเฟยเฟยมองเย่เทียนเฉินอย่างจริงจังแล้วถามออกมา

“ไม่ต้องหรอก ฉันกำลังคอยดูอยู่ว่ายังมีขั้วอำนาจไหนที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลเย่ของฉันอีก แล้วจะกำจัดให้หมด เพื่อจะได้ไม่ต้องรำคาญใจ” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

ความจริงแล้วความประทับใจที่เย่เทียนเฉินมีต่อซูเฟยเฟยนั้นไม่เลวนัก หลังจากที่ตนเองช่วยธอ เธอก็ลงมือช่วยเขาหลายครั้ง รู้จักตอบแทนบุญคุณ นี่เป็นผู้หญิงที่นิสัยไม่เลวคนหนึ่ง เพียงแต่หลังจากได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้ เย่เทียนเฉินไม่ค่อยอยากสนิทสนมกับผู้หญิงที่สวยเกินไปเท่าไหร่นัก เนื่องจากผู้หญิงที่สวยจนเกินไปมักจะทำให้ผู้ชายถอนตัวไม่ขึ้น

เมื่อคิดอย่างละเอียด ตั้งแต่ชั่วขณะที่เขาได้มาเกิดใหม่ในโลกนี้ ก็พัวพันกับหญิงงามมากมาย หานเจี๋ย ฉีหรูเสวี่ย ซูเฟยเฟย หลิ่วหรูเหมย เซี่ยอวี่เหอ… คนไหนบ้างที่ไม่สวยราวกับเทพสวรรค์ คนไหนบ้างที่ไม่สวยถึงขั้นมัจฉาจมวารีปักษีตกนภา? อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้ทำให้เขาดีใจ กลับทำให้เขายิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น ในช่วงยุคสิ้นโลก ข้างกายของเขามีผู้หญิงมากมาย มีผู้หญิงชั้นเลิศจำนวนมาก ทำให้เมื่อพบกับการต่อสู้ครั้งใหญ่จะเกิดความรู้สึกพะวงหน้าพะวงหลัง นี่ทำให้เขาเข้าใจเหตุผลอย่างหนึ่ง นั่นคือ ผู้ชายหลายคนมักจะอิจฉาชีวิตแบบสามภรรยาสี่อนุ แต่ความจริงนั้นไม่ถูก บางครั้งการที่มีสาวงามล้อมรอบมากเกินไป ก็ไม่ใช่ชะตาดอกท้อ แต่เป็นภัยพิบัติดอกท้อ

“ไม่ต้องการให้ช่วยจริงๆ เหรอ? ตระกูลฉินเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองหลวง ยากมากที่จะมีคนโค่นล้มได้ ต่อให้เป็นท่านหยางอี้ก็เกรงว่าจะต้องเปลืองมือเปลืองเท้าแล้ว!” ซูเฟยเฟยยิ้มแล้วพูดเยาะเย้ยเย่เทียนเฉิน

“เหอะ ข่าวของเธอว่องไวดีจริง ดูท่าอำนาจของตระกูลซูของเธอจะยิ่งใหญ่มาก ใช่แล้ว ถ้ามีโอกาสก็มาร่วมมือทำโครงการกับเครือไห่หวางของพวกเราสักหน่อยสิ ให้พี่ชายหาเงินให้ได้มากๆ วันหน้าจะได้เลี้ยงภรรยาได้ดีๆ!” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยิ้มอย่างสบายๆ

“ด้วยฐานะของนายตอนนี้ จะเลี้ยงภรรยาก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว จะต้องการเงินมากมายขนาดนั้นไปทำไม ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนจะชอบเงินสักหน่อย นายอย่าได้เหมารวมไป!” ซูเฟยเฟยพูดแล้วมองไปยังเย่เทียนเฉินอย่างดูถูก

“ถ้าภรรยาคนเดียวเงินเหล่านี้ก็คงพอแล้ว แต่ถ้ามีสองสามคนหรือสี่ห้าคนล่ะ?” เย่เทียนเฉินพูดแล้วยิ้มออกมาอย่างน่าเกลียด

ซูเฟยเฟยกรอกตาใส่เย่เทียนเฉินอย่างดุดัน นี่มันยุคอะไรแล้ว ถึงกับอยากมีสามภรรยาสี่อนุ นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้ในยุคนี้ ได้เปลี่ยนไปเป็นยุคที่ผู้หญิงเรืองอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ จุดสำคัญเป็นเพราะผู้ชายกลัวเมียทั้งหลายทำให้เกิดขึ้น รวมกับที่ในปัจจุบันนี้มีผู้หญิงน้อยลงทุกวัน ผู้ชายหลายคนเพื่อจะแย่งภรรยาถึงขั้นยอมคุกเข่าโขกหัวโดยไม่เสียดาย ทำให้ผู้หญิงเหล่านี้ยิ่งหยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นว่าเรื่องอะไรก็ล้วนฟังพวกเธอทั้งหมด หากคุณไม่ฟังพวกเธอก็จะใช้วิธีไม่อนุญาตให้ขึ้นเตียงหรือไม่อยู่ด้วยกันกับคุณมาข่มขู่ ผู้ชายหลายคนรับไม่ได้กับการขู่เช่นนี้ จึงทำได้เพียงเชื่อฟัง กระทั่งศักดิ์ศรีอันน้อยนิดของผู้ชายก็ไม่มีแล้ว

“คิดได้ดี!” ซูเฟยเฟยมองเย่เทียนเฉินอย่างเหยียดหยาม

เมืองหลวง ทิวทัศน์ยามค่ำคืน ร้านอาหารข้างทาง เย่เทียนเฉินและซูเฟยเฟยพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะค่อนข้างขี้งก แต่ซูเฟยเฟยพบว่าคนคนนี้มีความโดดเด่นอยู่บ้าง เช่นมีอารมณ์ขัน และไม่ใช่ประเภทยอดฝีมือเย็นชาหรือมีท่าทางไม่สนใจโลกแบบนั้น ทั้งยังเป็นกันเองมาก ไม่กลายเป็นคนที่ดูถูกคนจนเพราะตนเองเป็นถึงประธานคณะกรรมการเครือไห่หวางที่สามารถใช้เงินมากกว่าหนึ่งร้อยล้านได้ตามใจ ดูได้จากการกระทำอันขี้งกของคนคนนี้ก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น

เย่เทียนเฉินพบว่าการคุยเล่นกับซูเฟยเฟยทำให้ตนผ่อนคลายอย่างมาก เธอไม่ใช่ผู้หญิงประเภทไม้ประดับที่ทำอะไรไม่เป็น กลับกัน เธอไม่เพียงแต่สวยทว่ายังมีความรู้อีกด้วย ไม่ว่าจะคุยเรื่องเศรษฐกิจ คุยเรื่องการเมือง หรือคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ก็ไม่มีอะไรที่ไม่รู้ คิดดูแล้วก็ใช่ หลานสาวที่ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลซูเลี้ยงดูอบรมออกมา  จะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน

เย่เทียนเฉินเองก็เคยได้ยินเรื่องตระกูลซูมาบ้าง นี่เป็นตระกูลที่ใหญ่มากตระกูลหนึ่ง แต่ตระกูลของพวกเขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับโลกของการเมืองและในตระกูลก็ไม่มีข้าราชการอยู่ แต่ว่าในระดับสูงของส่วนกลางจะได้เห็นคนจากตระกูลซูอยู่ทุกๆ ปี เนื่องจากตระกูลซูกุมอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศถึงหกสิบเปอร์เซ็น มีเพียงงานด้านเศรษฐกิจเท่านั้นที่ตระกูลซูจะเข้าไปทำ ยิ่งทำก็ยิ่งใหญ่ ใหญ่จนถึงระดับที่สามารถกล่าวได้ว่าตระกูลซูกระทืบเท้าก็สามารถสั่นสะเทือนเศรษฐกิจในประเทศได้ นี่ไม่ใช่คำพูดที่มากเกินไปเลย

แน่นอนว่าผู้อาวุโสตระกูลซูซึ่งก็คือปู่ขอซูเฟยเฟย เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์คนหนึ่ง สามปีแรกที่เริ่มต้น เขาสั่งให้ลูกหลานของตัวเองเริ่มลดทอนการควบคุมเศรษฐกิจในประเทศของตระกูลซูลง ไม่อนุญาตให้ขยายมากเกินไป ต่อให้เล็กลงมาบ้างหรือได้เงินน้อยลงมามากก็ไม่สนใจ พยายามให้เศรษฐกิจของตระกูลซูพัฒนาไปในต่างประเทศ เพื่อดึงดูดการลงทุนจำนวนมากกลับมาที่ประเทศ

ผู้อาวุโสซูทำเช่นนี้ ในสายตาของลูกหลานตระกูลซูรู้สึกว่าไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก ส่วนในสายตาของคนนอกก็รู้สึกสงสัย เนื่องจากธุรกิจมีแต่ยิ่งทำยิ่งใหญ่ มีการหยุดนิ่งที่ไหนกัน? นี่ไม่ใช่ว่าทำให้ธุรกิจตระกูลของตัวเองถูกบีบตายหรอกเหรอ?

แต่ว่าในสายตาของบุคคลระดับบิ๊กทั้งหลายในโลกของธุรกิจกลับรู้สึกนับถือจนแทบจะคารวะ ผู้อาวุโสซูทำเช่นนี้ ไม่เสียทีที่ตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งในด้านเศรษฐกิจในประเทศเลยจริงๆ

ร่ำรวยจนสามารถคุกคามประเทศได้ คำพูดนี้คนส่วนใหญ่ชอบมาก และยังเป็นเป้าหมายของตระกูลจำนวนมากอีกด้วย แต่หลายคนมักจะไม่เข้าใจ เมื่อคุณสามารถมั่งคั่งร่ำรวยจนคุกคามประเทศได้ เช่นนั้นตระกูลของคุณก็จบสิ้นแล้ว เนื่องจากคุณสามารถทำลายประเทศได้ ประเทศก็จะลงมือกำจัดคุณ หรือคิดว่าคุณจะร่ำรวยจนถึงขั้นคุกคามประเทศได้จริงๆ? นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด จะมีการคิดทุกวิถีทางเพื่อเก็บกวาดตระกูลเช่นนี้ ดังนั้นคำคำนี้เมื่อคิดดูแล้ว ต่อให้วันหน้าสามารถไปถึงระดันี้ได้แต่ก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้

……….