ตอนที่ 101 สำนักศึกษาจิงตู

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 101 สำนักศึกษาจิงตู

เสียงฟ้าผ่าดังเปรี้ยง ! หนึ่งครา ทำให้ปี้จูเงยหน้ามองท้องฟ้าและฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วก็ตกลงมาทันที

หมิงซินรีบปิดหน้าต่างแต่ยังมีลมพัดแรงเข้ามาในเรือนจนทำให้กระดาษบนโต๊ะของอันหลิงเกอปลิวไปทั่ว

“อากาศเปลี่ยนแปลงเร็วเสียจริง ” ปี้จูบ่นพึมพำออกมาแล้วถือเสื้อคลุมตัวยาวเอาไว้ในมือ นางเอาไปคลุมให้อันหลิงเกอ

ส่วนอันหลิงเกอที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็เอามือข้างหนึ่งกดกระดาษที่กำลังจักปลิวไว้ มืออีกข้างทับอยู่บนที่วางพู่กันเพื่อมิให้มันล้มตามแรงลม

“พรุ่งนี้คือวันแรกที่บรรดาบุตรขุนนางชั้นสามขึ้นไปต้องเข้าเรียนที่สำนักศึกษาจิงตู” เมื่อพึมพำออกมาและจ้องไปยังใบสั่งยาที่เขียนเอาไว้ ดวงตาที่ราบเรียบในยามปกติก็ฉายแววกังวลออกมา

เมื่อนึกถึงเรื่องฮ่องเต้มีราชโองการให้บุตรของขุนนางขั้นสามขึ้นไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาจิงตูอย่างกะทันหัน ก่อนหน้านี้มิมีข่าวสารอันใดเผยออกมาสักนิด แม้กระทั่งเริ่มสร้างสำนักศึกษาจิงตูก็มิมีผู้ใดในราชสำนักรับรู้สักคน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบุตรชายและบุตรสาวของขุนนางยศสูงเหล่านั้นไปที่สำนักศึกษาจิงตูแล้ว*กั๋วจื่อเจี้ยนจักทำเยี่ยงไร?

การทำเยี่ยงนี้ส่งผลกระทบต่ออนาคตของขุนนางและทหารของต้าโจว ฮ่องเต้ทำเยี่ยงนี้มิกลัวว่าราษฎรจักมิพอใจจนทำให้ราชบัลลังก์สั่นคลอนและสร้างความวุ่นวายไปทั้งแผ่นดินต้าโจวหรืออย่างไร ?

ผู้ที่คิดเยี่ยงนี้มิได้มีเพียงอันหลิงเกอ แต่ทั้งเมืองจิงมิว่าเบื้องบนเช่นขุนนางชั้นสูงและเครือญาติของเชื้อพระวงศ์ ไล่ลงมาเบื้องล่างเช่นประชาชนล้วนวิเคราะห์ถึงจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ของฮ่องเต้

ในด้านอันหลิงเฉว่กลับดีใจมาก นางมิสนว่าจุดประสงค์ของฮ่องเต้คืออันใด สำหรับนางแล้วการที่ฝ่าบาทมีราชโองการเยี่ยงนี้ก็เพื่อให้บุตรขุนนางเข้าเรียนที่สำนักศึกษาจิงตู เปิดโอกาสในการคบหาของเหล่าตระกูลชั้นสูงและเชื่อมสัมพันธ์ต่อกัน

เมื่อก่อนนางเติบโตมาในเรือนบรรพบุรุษ ตำแหน่งขุนนางสูงสุดที่เคยพบเจอก็มีเพียงขั้นหก อาศัยว่าอันหลิงห่าวต้องเข้าสอบในฤดูใบไม้ผลิ ท่านย่าจึงได้พาพวกนางกลับมาเมืองหลวง

ทว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมา อันหลิงเฉว่เสียโอกาสในคบหากับบรรดาคุณหนูจากชนชั้นสูงในเมืองจิงไปแล้ว แม้ต่อมาฮูหยินผู้เฒ่าจักจัดงานเลี้ยงต่าง ๆ ให้นาง แต่ก็มิมีผู้ใดยอมเข้าหานางก่อน

ในยามนี้จักมิเหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อหญิงสาวสูงศักดิ์ในเมืองจิงต้องมาเรียนที่เดียวกัน โอกาสในการผูกมิตรจึงมากขึ้น ด้วยรูปโฉมอันงดงามของอันหลิงเฉว่ย่อมเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย แม้นางได้เสียเวลาเหล่านั้นไปในอดีต ทว่าเมื่อได้โอกาสดีเช่นนี้ก็ต้องคว้าเอาไว้

อันหลิงเฉว่นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันแรกของการเปิดเรียนที่สำนักศึกษาจิงตู นางจึงแต่งกายอย่างงดงามมากทีเดียว

นางมิสนใจว่าเมื่อวานฝนตก วันนี้อากาศจึงยังค่อนข้างเย็นอยู่บ้าง แต่นางก็เลือกสวมเสื้อที่บางมากเยี่ยงชุดยาวผ้าไหมสีเขียวมรกตชั้นเดียว เป็นเหตุให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกหนาวเย็นแทนเล็กน้อย ทว่าอันหลิงเฉว่มิรู้สึกอันใด ยังเดินควงแขนอันหลิงเกอแล้วยิ้มอย่างมีความสุข

“เหตุใดพี่หญิงใหญ่มาสายเจ้าคะ เฉว่เอ๋อรอท่านได้สักพักแล้ว”

อันหลิงเกอมองอันหลิงเฉว่ที่สวมอาภรณ์ผืนบางชั้นเดียว เดิมทีนางก็มีรูปลักษณ์อ่อนโยนไร้เดียงสาอยู่แล้ว ยิ่งนางแต่งตัวเยี่ยงนี้ก็ยิ่งขับเน้นให้ดวงตาเปล่งประกายขึ้น คิ้วโก่งสวย นับเป็นหญิงงามที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนหลงใหลมากทีเดียว

หากอันหลิงเฉว่มิมีใจคิดแย่งคู่หมั้นผู้อื่น อันหลิงเกออาจรู้สึกเอ็นดูและรักใคร่นางเพราะรูปโฉมภายนอกก็ได้

น่าเสียดาย เพราะตนจักมิโง่เหมือนชาติก่อนที่โดนรูปลักษณ์ภายนอกบดบังจนตาบอด

แม้ภายในใจคิดเยี่ยงนั้น ทว่าใบหน้ายังส่งยิ้มให้อันหลิงเฉว่ เป็นรอยยิ้มเบาบางที่บอกมิได้ว่าใกล้ชิดหรือห่างเหิน เพียงรู้สึกราวกับว่าทั้งกายของอันหลิงเกอเปล่งประกาย ทั้งที่มีเพียงรอยยิ้มแต้มมุมปากก็ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางงามสง่าและเข้าถึงยาก

อันหลิงเกอมีใบหน้างดงามตั้งแต่กำเนิด เพียงยืนนิ่ง ๆ ก็สามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้มากมาย ความงดงามที่แฝงความเย็นชาช่วยเพิ่มความรู้สึกสูงค่าเหลือเกิน

อันหลิงเฉว่รู้สึกว่าความสนใจของผู้คนส่วนใหญ่ถูกอันหลังเกอดึงดูดไปเกือบหมด นางได้แต่นึกเกลียดชังตนเองที่มิมีใบหน้างดงามและสูงส่งเยี่ยงอันหลิงเกอบ้าง คิดไปก็เท่านั้นเพราะนางทำได้เพียงเข้าไปตีสนิทกับอันหลิงเกอและเดินเข้าสำนักศึกษาจิงตูด้วยกัน

พวกนางมาถึงตั้งแต่เช้าก็มีคนมานำทางไปยังห้องโถงหนึ่ง ในห้องนั้นมีคุณหนูที่แต่งกายหรูหรามีเสน่ห์นั่งอยู่แล้วประมาณ 3 – 5 คน

“ด้านนี้เป็นสถานศึกษาสำหรับสตรี อีกสักครู่จึงจักมีอาจารย์หญิงมาสอนเจ้าค่ะ”

คนที่นำทางพวกนางมาเป็นสตรีที่แต่งงานแล้วอายุประมาณยี่สิบกว่าปี ใบหน้าขาวสะอาดและมีรอยยิ้มเป็นมิตร

อันหลิงเกอและอันหลิงเฉว่พยักหน้า จากนั้นก็ได้เดินเข้าไปในห้องโถง

พอจักคุ้นหน้าคุ้นคุณหนูเหล่านี้อยู่บ้าง เนื่องจากพวกนางล้วนได้ไปแสดงความสามารถตอนงานฤดูใบไม้ผลิในวัง โดยเฉพาะจางหว่านหยีแห่งจวนช่างชูที่นั่งอยู่ตรงกลางห้อง มือหนึ่งของนางถือกระดาษและพู่กันเอาไว้ เป็นเหตุให้อันหลิงเกอสามารถจดจำนางได้ทันทีจากการแสดงเขียนอักษรที่งดงามในงานฤดูใบไม้ผลิ

อังหลิงเกอทำเพียงพยักหน้าให้คุณหนูเหล่านั้นเล็กน้อยก็ถือว่าได้ทักทายแล้ว จากนั้นก็นั่งลงเงียบ ๆ และเปิดตำราบนโต๊ะออกอ่าน

ส่วนอันหลิงเฉว่นั่งลงด้านข้างอันหลิงเกอกลับสงบนิ่งมิได้ นางเปิดตำราอ่านได้มิกี่หน้าก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปสนทนากับคุณหนูด้านข้าง ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องเครื่องประดับไปจนถึงการแต่งกาย ส่งเสียงหัวเราะออกมาราวกับว่าเป็นการพูดคุยที่ต่างฝ่ายต่างรู้สึกสนุก

“ฮึ พี่หญิงรองช่างร่าเริงเสียจริง ท่านกลับมาที่จวนได้มากกว่าหนึ่งเดือนแล้วมิเคยมาเยี่ยมหรือพูดคุยกับข้าสักครั้ง” อันหลิงอีที่เดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมอันหลิงเหมิงได้กล่าวเย้ยหยันอันหลิงเฉว่ออกมา

เมื่อกล่าวจบอันหลิงอีก็ยิ้มเยาะแล้วนั่งลงด้านข้างอันหลิงเฉว่ด้วยใบหน้าบึ้งตึง

การที่อันหลิงเฉว่เป็นสาเหตุให้มารดาได้รับโทษ มิว่าจักมองเยี่ยงไรก็รู้สึกมิถูกชะตาเอาเสียเลย

เมื่อได้ฟังคำเย้ยหยันของอันหลิงอี ฝ่ายอันหลิงเฉว่กลับยิ้มให้อย่างใสซื่อ “น้องหญิงสามล้อข้าเล่นแล้ว ข้าเพียงรู้สึกถูกชะตากับพี่หญิงใหญ่จึงสนิทแต่กับนาง หากเจ้ามิพอใจ ต่อไปข้าจักปรับปรุงตัว”

คำกล่าวของอันหลิงเฉว่ทำให้อันหลิงอีดูเป็นคนเย่อหยิ่ง ส่วนอันหลิงเฉ่วนั้นเป็นพี่สาวที่มีเหตุผลและมีน้ำใจ สร้างภาพลักษณ์ใจดีและอ่อนโยนต่อหน้าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ได้เป็นอย่างดี

ผู้ที่กำลังสนทนากับอันหลิงเฉว่คือเจียงหนิงหลานสาวของท่านราชครู นางสังเกตอันหลิงอีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วเบ้ปากอย่างดูถูก จากนั้นก็หันกลับไปเอ่ยกับอันหลิงเฉว่ “นางคือบุตรีของอนุภรรยาท่านโหวสินะ ช่างต่างจากบุตรสาวฮูหยินใหญ่ราวฟ้ากับเหว”

“เจ้ากล่าวอันใด ? ” อันหลิงอีมิชอบเวลาที่ผู้อื่นว่านางเป็นบุตรอนุ ตอนนี้เจียงหนิงพูดขึ้นมา นางจึงเป็นเหมือนแมวถูกเหยียบหาง ดวงตาจดจ้องเจียงหนิงอย่างดุร้าย “เจ้าลองกล่าวออกมาอีกที ! “

เจียงหนิงเค้นเสียง ฮึ ! ออกมาอย่างดูถูกและมิได้สนใจสายตาดุร้ายที่อันหลิงอีมองมา จากนั้นก็กล่าวอย่างชัดเจนว่า “ข้าพูดว่าเจ้าคือบุตรีของอนุภรรยาที่มิสามารถถูกยกย่อง ทำไมหรือ ข้าพูดผิดตรงไหนมิทราบ ? “

เจียงหนิงมิชอบบุตรของอนุภรรยาที่สุด ทำให้ยิ่งทนมองพฤติกรรมเย่อหยิ่งของอันหลิงอีมิได้

อันหลิงอีรู้สึกโกรธแค้น ใบหน้าแดงก่ำ สุดท้ายจึงยื่นมือไปผลักเจียงหนิงจนล้มลงพื้น

“น้องหญิงสามทำอันใดลงไป ? ” อันหลิงเฉว่ร้องตกใจพร้อมก้มหน้าปิดบังรอยยิ้มเอาไว้แล้วรีบประคองเจียงหนิงขึ้นมา นางมองเจียงหนิงด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่ามิได้บาดเจ็บอันใดจึงเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด “ที่นี่คือสำนักศึกษาจิงตูที่ต้องสำรวมและประพฤติตามกฏระเบียบ น้องหญิงสามลงมือผลักคุณหนูเจียงได้เยี่ยงไร ? “

*กั๋วจื่อเจี้ยน เป็นสถาบันที่ช่วยสนับสนุนการสอบเข้ารับราชการของราชสำนัก มีหน้าที่จัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตสุดยอดบัณฑิตของแผ่นดิน