ตอนที่177 กัดจูบ
หลี่ถงซีไม่ลงไปรับประทานอาหารที่ชั้นล่าง ฉีเล่ยเกรงว่าหลี่ฮั่วเฉินจะสงสัย ก็เลยบอกแม่บ้านไปว่า วันนี้หลี่ถงซีอยากจะทานอาหารที่ห้อง ให้ช่วยเอาไปส่งให้เธอด้วย
โชคยังดีที่หลี่ฮั่วเฉินไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากค่อยๆริมจิบไวน์หมดไปสามแก้ว เขาก็เผลอหลับไปท่ามกลางอาการมึนเมาเล็กน้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ฉีเล่ยก็กลับเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอนของตัวเอง หลังจากเป่าผมจนแห้งถอนขนจมกจนเรียบเนียนอยู่หน้ากระจกเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปเคาะห้องของหลี่ถงซีทันที
หลี่ถงซีเปิดประตูแง้มออกมาเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นฉีเล่ยยืนอยู่หน้าประตู เธอก็เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาห่างเหิน
“มีอะไร?”
ดูเหมือนว่าเธอเองก็เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จเช่นกัน คืนนี้หลี่ถงซีสวมชุดนอนสีม่วงเนื้อบางเบาในแบบที่ฉีเล่ยคุ้นตาดี
แม้ว่าชุดนอนดังกล่าวจะสามารถปกปิดส่วนสัดตามเรือนร่างของเธอได้ แต่มันก็ยังทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งอันแสนเย้ายวนและหน้าอกทรงลูกพีชกลมสุดเซ็กซี่ของเธอ อีกทั้งยังมีกลิ่นกายของหญิงสาวหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆโชยออกมาด้วย
ผมยาวสลวยยังคงกลิ่นหอมของแชมพู มีผ้าขนหนูพาดอยู่บนไหล่าอย่างลวกๆ ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางทำให้หลี่ถงซีดูสวยเป็นธรรมชาติ โดยรวมแล้วช่างน่ารักมากจริงๆ
แต่เมื่อเหลือบมองไปที่สายตาคู่นั้น ฉีเล่ยกลับยังคงสังเกตเห็นความเย็นชาปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ราวกับว่าเธอไม่แยแสใครหรือสนใจกับอะไรทั้งนั้น
ฉีเล่ยยิ้มบางพร้อมเอ่ยตอบกลับไปว่า
“ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร ผมแค่อยากคุยกับคุณหน่อย”
แต่หลี่ถงซีตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชาและท่าทางห่างเหินยิ่งกว่าเดิม
“ฉันต้องการพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยคุยก็แล้วกัน”
ภายใต้ความสิ้นหวัง ฉีเล่ยได้แต่บอกหญิงสาวไปว่า
“ถงซี อาการของคุณในตอนนี้ยังต้องรับการฝังเข็มต่อนะ ไม่อย่างนั้นอาการอาจจะแย่ลงกว่าเดิมก็ได้”
“ฉันรู้ดีว่าตัวฉันเป็นอะไร”
หลี่ถงซีพูดจบก็ปิดประตูใส่หน้าฉีเล่ยอย่างแรง
ปัง!
แต่ถึงแม้จะถูกปิดประตูใส่หน้าแบบนั้น ฉีเล่ยก็ยังคงยกมือขึ้นเคาะประตูไม่หยุด
หลี่ถงซีแง้มประตูออกมาอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงชืดชาเช่นเดิม ทั่วทั้งใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ สายตาของหญิงสาวที่จ้องมองไปทางฉีเล่ยนั้นดูราวกับหุ่นยนต์
“ต้องการอะไร?”
ทว่าครั้งนี้ฉีเล่ยไม่ตอบ แต่กลับใช้มือออกแรงผลักประตูเพื่อที่จะพยายามเข้าไปด้านในให้ได้ และเมื่อเข้าไปได้ เขาก็บังคับร่างของหลี่ถงซีให้ถอยห่างออกไปจนติดกำแพงอีกฟากหนึ่งของห้อง จากนั้นจึงใช้ท่อนแขนกดบริเวณลำคอของเธอไม่ให้สามารถดิ้นหลุดไปไหนได้
“แล้วคุณคิดว่าผมต้องการอะไรล่ะ?”
หลี่ถงซีมีสีหน้าตื่นตกใจอย่างเห็นได้ชัด เธอพยายามใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีผลักร่างของฉีเล่ยให้ถอยห่างออกไป
แต่ไม่เพียงร่างของฉีเล่ยไม่ขยับถอยออกไปไหน มิหนำซ้ำเขายังใช้ท่อนแขนกดย้ำไปที่ลำคอของหลี่ถงซีจนแน่นยิ่งกว่าเดิม ทำให้เธอแทบจะหายใจไม่ออก ฉีเล่ยทำราวกับว่ากำลังจับผู้ร้าย หรือไม่ก็คนบ้าที่หนีออกจากสถานกักกัน
หลี่ถงซีเคยผ่านประสบการณ์การต่อสู้แบบนี้ที่ไหนกัน เธอได้แต่ดิ้นรน และพยายามตะเกียดตะกายอย่างสุดกำลัง เพื่อที่จะหนีออกไปจากตรงนั้นให้ได้ ปากก็พลางร้องออกมาเสียงแผ่ว
“นาย…”
ฉีเล่ยใช้มืออีกข้างบีบคางของหลี่ถงซีไว้เพื่อไม่ให้เธอสามารถดิ้นรนสะบัดได้ จากนั้นจึงได้ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มนวลของหญิงสาวโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง
……
ภายในช่องปากเรียบลื่น รสชาติราวกับช็อกโกแลตที่ทั้งหอมและหวานละมุน ความรู้สึกเย็นซ่านหอมหวานนี้เป็นความรู้สึกประทับใจแรกที่ฉีเล่ยสัมผัสได้
ดวงตาคู่สวยของหลี่ถงซีเบิกกว้าง จิตใจของเธอมีเพียงสีขาวโพลนและว่างเปล่าไปหมด
นี่คือจูบแรกในชีวิตของเธอ และเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เธอควรที่จะดิ้นรนขัดขืน หรือว่าโอนอ่อนผ่อนตามอย่างว่าง่ายดี
แต่ความรู้สึกที่สุดแสนจะไม่คุ้นเคยนี้กลับเปรียบเสมือนยาพิษ หลี่ถงซีรู้สึกราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปตามเส้นประสาททั่วร่างกาย และทำให้เธอถึงกับเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ
แม้แกระทั่งความนึกคิดยังถึงกับมึนตื้อไปหมด
ฉีเล่ยจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว ในวินาทีนั้น เขาก็เริ่มสัมผัสได้ว่า ร่างกายของหลี่ถงซีค่อยๆมีไออุ่นขึ้นบ้างแล้ว และเธอเองก็เริ่มไม่ขัดขืน อีกทั้งยังดูเหมือนจะยินยอมเชื่อฟังเขามากขึ้นกว่าครั้งแรก ราวกับว่าหญิงสาวเองก็เริ่มโอนอ่อนคล้อยตามอารมณ์ที่นำพาไปแล้วเช่นกัน
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ภาพๆหนึ่งก็โฉบแล่นผ่านเข้ามาภายในจิตใจของหลี่ถงซี มันคือภาพฉากที่ฉีเล่ยลุกขึ้นเดินหนีเธอไปจากโต๊ะอาหารในคืนนั้น ทำให้เธอกลับมาได้สติอีกครั้ง ประกอบกับเธอเองก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เริ่มเคลื่อนไหวอยู่ภายในช่องปากของตนเอง หลี่ถงซีไม่แม้แต่จะลังเลใจ เธอใช้ฟันกัดสิ่งนั้นเข้าไปอย่างแรง
“อ๊าก!!”
ฉีเล่ยถึงกับร้องจ๊ากออกมาด้วยความเจ็บปวด และรีบผลักร่างออกจากอีกฝ่ายหนีทันที
ไม่นานนัก ทั่วทั้งช่องปากของฉีเล่ยก็คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวคล้ายกลิ่นโลหะ ปรากฏว่าเขาถูกหลี่ถงซีกัดลิ้นเข้าจนเลือดออก
สายตาของหญิงสาวจับจ้องอยู่ที่ร่างของฉีเล่ย ซึ่งเวลานี้กำลังยกมือขึ้นกุมปาก พร้อมกับธารเลือดสีแดงที่ไหลออกมา
“ออกไป!” หญิงสาวร้องตะโกนไล่เสียงดัง
หลังจากพินิจพิจารณาจากสีแก้มที่แดงระเรื่อของหลี่ถงซีแล้ว จึงเห็นได้ชัดว่า เธอยังไม่หายตกอกตกใจกับอารมณ์หื่นกระหายเมื่อครู่
ฉีเล่ยรีบเอ่ยปากอธิบายให้หลี่ถงซีฟังทันที
“ผมแค่เป็นห่วงอาการป่วยของคุณ”
แต่แน่นอนว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คำพูดประโยคของฉีเล่ยจึงไม่ต่างอะไรจากข้ออ้างเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครก็คงไม่มีทางเชื่อข้อแก้ตัวข้างๆคูๆนี้แน่นอน
แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ การกระทำเช่นนี้ของฉีเล่ยยิ่งทำให้หลี่ถงซีโกรธมากขึ้นไปใหญ่ เธอยกมือขึ้นชี้ไปที่ประตูห้องพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังลั่นว่า
“ไสหัวไป!”
“รู้แล้วๆ ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ คุณช่วยสงบสติอารมณ์ก่อน”
เดิมทีฉีเล่ยต้องการจะอธิบายเพิ่มเติมอีกสักสองสามคำ แต่เมื่อได้เห็นแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยรังสีอำมหิตของหลี่ถงซี เขาก็รีบเดินหนีออกมาทันที ตามมาด้วยเสียงดังปังของประตูที่ถูกหญิงสาวกระแทกปิดอย่างแรง
ปัง!!
หลังจากที่ฉีเล่ยเดินออกจากห้องไปแล้ว หลี่ถงซีที่กระแทกประตูปิดเสียงดัง ก็ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งเอนหลังพิงประตูอยู่ในท่านั่งยองๆ พลางหายใจหอบถี่ไม่หยุด
หัวใจของเธอเต้นรุนแรงราวกับว่ามันกำลังจะกระเด็นหลุดออกมานอกหน้าอก
จากสภาวะอารมณ์ประดุจน้ำที่สงบนิ่งอยู่ในบ่อน้ำเย็นพันปี เวลานี้กลับแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นบ่อน้ำที่กำลังเดือดพล่าน!
หัวใจของเธอกระสับกระส่ายกระวนกระวายร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก!
ฉีเล่ยเดินเอามือปิดปากกลับเข้าไปในห้องนอนของตนเอง ก่อนจะรีบวิ่งไปที่หน้ากระจกพร้อมกับอ้าปากกว้างเพื่อส่องดูบาดแผลบริเวณลิ้นของตนเอง
แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับมีเพียงเลือดสีแดงสดที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุดเท่านั้น
ปากของหลี่ถงซีช่างเหี้ยมโหดเหลือเกิน นี่อีกฝ่ายคิดที่จะกัดลิ้นของเขาจนขาดออกจากกันเลยหรือยังไง? นี่ขนาดว่าเขามีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รวดเร็วมากแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถหนีพ้นฟันของเธอได้เลย
แต่เอาเถอะ…อย่างน้อยริมฝีปากของเธอก็นุ่มดีเหมือนกันแฮะ ไม่สินุ่มละมุมไปทั้งตัวเลยต่างหาก…
ฉีเล่ยยกแขนทั้งสองข้างชูขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจเล็กน้อย
อาการป่วยทางใจ ย่อมต้องใช้ใจรักษา
โรคอารมณ์สองขั้วของหลี่ถงซียังอยู่ในระยะเริ่มต้นเท่านั้น การอาศัยสิ่งเร้าจากภายนอกยังคงใช้ได้ผลกับคนไข้ประเภทนี้เสมอ เพียงแค่ว่า เธอมีปฏิกิริยาปิดกั้นตัวเองที่รวดเร็วมากเหลือเกิน และในเสี้ยวินาทีนั้น แม้แต่ฉีเล่ยเองก็ยังรับมือแทบไม่ทัน