นายใหญ่เฉินหัวเราะเสียงดังลั่น

“จริงหรือปลอม ปลอมหรือจริง จะยึดมั่นถือมั่นไปทำไม ออกไปเถอะ ออกไปเถอะ ” เขาโบกมือแล้วยิ้ม

แม่นางเฉินสิบแปดไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงแค่ยิ้มคำนับแล้วออกไป

พี่สาวและน้องสาวคนอื่นๆ ยืนรออยู่นอกประตู ก่อนจะเดินไปตามทางอย่างช้าๆ

เฉินตันเหนียงสีหน้าเคร่งเครียดกำลังดึงแขนเสื้อของนางอยู่

“พี่สาว ข้าต้องคัดด้วยหรือไม่” นางถามอย่างเขินอาย

“ไม่ต้อง เจ้าไปฝึกเขียนตัวอักษรก่อนเถอะ” แม่นางเฉินสิบแปดเอ่ยพลางยิ้ม

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าต้องฝึกเขียนตัวอักษรให้สวยเหมือนพี่เฉิง” เฉินตันเหนียงพยักหน้าเอ่ยสียงดัง

แม่นางเฉินสิบแปดตะลึงไปเล็กน้อย

“ตันเหนียง เจ้าหมายถึงแม่นางเฉิงเขียนตัวอักษรสวยงั้นหรือ” นางกระซิบถาม

“ใช่ พวกเราเคยเขียนไว้บนกำแพงวัดเฉี่ยถิง ท่านพ่อก็นำกลับมาให้ท่านปู่ดู ข้าบอกไปว่าเป็นบทกวีที่ข้าแต่งขึ้นเองและเขียนโดยพี่เฉิง แต่พวกเขากลับไม่เชื่อแล้วยังหัวเราะเยาะข้าด้วย” เฉินตันเหนียงเอ่ย

แม่นางเฉินสิบแปดรู้สึกถึงเพียงหัวใจที่เต้นอย่างรุนแรง นางยืนนิ่งไม่ขยับ

“ตันเหนียง ครั้งนั้นเราไปด้วยกันใช่หรือไม่” นางถาม

เฉินตันเหนียงพยักหน้า

“วัดเขารอดอกบ๊วยบาน” แม่นางเฉินสิบแปดมองไปที่นางและพูดด้วยเสียงสั่น

เฉินตันเหนียงทำหน้าบูดบึ้ง นางยังเด็กอยู่ เรื่องก็ผ่านมานานพอสมควรแล้ว นอกจากจำเหตุการณ์นั้นได้ นางจะจำสิ่งที่นางเขียนได้อย่างไรเล่า

“อย่างน้อยก็เป็นตัวอักษรที่ท่านพ่อวางไว้ในห้องหนังสือแล้วกัน” นางเอ่ยพึมพำ

“เป็นเรื่องจริงหรือ” แม่นางเฉินสิบแปดถาม

“หากพี่ไม่เชื่อจะมาถามข้าทำไม! พี่ยังจะว่าพวกพี่ๆ คนอื่นอีก พี่ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เชื่อแต่ตัวเอง ไม่เชื่อในสิ่งที่ข้าพูด” เฉินตันเหนียงเบ้ปาก เอ่ยพลางกระทืบเท้า

แม่นางเฉินสิบแปดหัวเราะ

“ข้าเชื่อ ข้าเชื่อ” นางรีบเอ่ยพร้อมกับนั่งย่อตัวลงและมองไปที่เฉินตันเหนียงด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น ครั้งหน้าตันเหนียงจะไปหาแม่นางเฉิงอีก พาพี่ไปด้วย ตกลงหรือไม่”

“ได้” เฉินตันเหนียงตอบรับทันที

แม่นมของเฉินตันเหนียงมารอรับนางกลับแล้ว

“นายหญิงถึงเวลานอนพักกลางวันแล้วเจ้าค่ะ” พวกนางเอ่ย

เฉินตันเหนียงร่ำลาพี่สาวทั้งหลายก่อนจะจับมือแม่นมแล้วเดินจากไป

แม่นางเฉินสิบแปดยืนเหม่ออยู่กับที่

“ข้า ข้าควรเตรียมตัวแล้ว” นางเอ่ยพึมพำด้วยสีหน้าตื่นเต้น กุมมือไว้ข้างหน้าอย่างเคยตัว

“แม่นางสิบแปดจะเตรียมอะไรหรือ” พี่สาวและน้องสาวที่อยู่ด้านหน้าได้ยินจึงหันกลับมาถาม

แม่นางเฉินสิบแปดเพิ่งได้สติกลับมาจึงยิ้มตอบ

“เตรียมตัวคัดคัมภีร์อย่างไรเล่า” นางยิ้มเอ่ย “ข้าเขียนไม่สวย ต้องเริ่มเขียนเร็วหน่อย มิเช่นนั้นคงโดนอาจารย์ลงโทษแน่เลย”

“งั้นรีบไปเถอะ” พี่สาวและน้องสาวทั้งหลายเอ่ยพลางยิ้ม

ข่าวเรื่องที่เฉิงเจียวเหนียงปฏิเสธเงินสองหมื่นก้วนแพร่กระจายไปทั่วภายในวันเดียว เว้นเสียแต่นายใหญ่เฉินที่ถือโอกาสนี้สอนลูกหลาน ขณะที่ผู้คนจำนวนมากกลับตั้งหน้าตั้งตารอดูประเด็นร้อนนี้

บางคนเล่ากันว่าเป็นเพราะครั้งที่แล้วนางสร้างปัญหาให้กับยมบาลจนถึงขั้นตัดขาดกัน เลยถูกตระกูลเซียนยึดสูตรเซียนกลับคืนไป บ้างก็เล่าว่าปฏิบัติไปตามกฎ เมื่อยังไม่ถึงฆาต จึงรักษาให้ไม่ได้ บ้างก็เล่าว่าเงินจำนวนน้อยไป บ้างก็เล่าว่าสถานะของผู้ป่วยรายนั้นไม่สูงพอที่จะอยู่ในสายตาของตระกูลโจว…

คำพูดอื่น ไม่สำคัญเท่าใดนัก แต่สำหรับคำพูดชื่นชมยินดีล้วนมอบให้แก่หญิงสาวคนนั้นเพียงผู้เดียว แต่สำหรับคำพูดเชิงลบกลับโยนให้กับตระกูลโจว เรื่องเหล่านี้ทำให้ทั้งนายใหญ่และฮูหยินตระกูลโจวฝืนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว

มันเกี่ยวอะไรกับพวกเราเล่า ฮูหยินโจวโมโหจนร้องไห้ออกมา อาการไอที่เพิ่งหายดีก็กลับมาอีกครั้ง

บ่าวรับใช้ทั้งหลายวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา

“เจ้าว่าแม่นางผู้นั้นจงใจทำให้นายท่านและฮูหยินโกรธ หรือรักษาไม่ได้จริงๆ กันแน่”

“ต้องเป็นยั่วโมโหนายท่านและฮูหยินอยู่แล้ว”

“ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ จะมีโรคใดที่รักษาไม่ได้กัน”

ขณะที่เหล่าสาวใช้แม่นมพูดคุยกันเสียงดัง คนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็โพล่งเสียงแหลมออกมา

“ไม่ใช่”

ทุกคนตกตะลึง เมื่อมองไปตามเสียงนั้นก็เห็นสาวใช้ร่างเล็กคนหนึ่งกำลังตากผ้าปูที่นอนอยู่ นางกำลังพับแขนเสื้อขึ้น ในช่วงฤดูหนาวเช่นนี้ทำให้มือและแขนของนางแข็งจนเปลี่ยนเป็นสีเขียวม่วง

 เมื่อเห็นทุกคนมองมา นางจึงก้มหน้าลงหลบสายตา

“อย่างเจ้าจะไปรู้อะไร” แม่นมคนหนึ่งตะคอก

“ไม่ใช่หรอก นายหญิงทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผล” ปั้นฉินเอ่ยเพียงแผ่ว

“เหตุผลอะไร คงจงใจแกล้งนายท่านกับฮูหยินเสียมากกว่า” คนอื่นๆ พูด

“ไม่ ไม่ นายหญิงเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว” ปั้นฉินเอ่ยอย่างรีบร้อน “ไม่ใช่เพราะมาอยู่กับนายท่านและฮูหยินถึงเป็นเช่นนี้”

ตั้งแต่ไหนแต่ไรหรือ

คนเหล่านั้นมองสำรวจไปที่สาวใช้คนนี้

“อ๋อ เจ้าคือสาวใช้คนนั้นนี่เอง” ใครบางคนจำได้ เลยยื่นมือออกไปชี้แล้วเอ่ย “ใช่แล้ว เจ้าเคยรับใช้คนบ้านางนั้นมาก่อน…”

“นางไม่ใช่คนบ้า! นางฉลาดกว่าทุกคน! เจ้าไม่เข้าใจหรอก! ” ปั้นฉินตะโกนอย่างดุดัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องมองคนเหล่านี้

เสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้หลายคนตกใจไม่น้อย

หลังจากสิ้นเสียง ปั้นฉินรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย จึงหันหลังวิ่งหนีออกไป

“เอ้า นางบ้าไปแล้วหรือเนี่ย”

“ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครต้องการ”

เสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลัง

ปั้นฉินวิ่งออกจากลานบ้านในทันที นางยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา

พวกนางไม่เข้าใจ พวกนางไม่เข้าใจ

“นายหญิงพักฟื้นร่างกายให้หายดีก่อนเถิด อย่าเพิ่งรีบร้อนไปเลย”

“ครั้งนี้เป็นเพราะความเจ็บป่วยของนายหญิงข้างบ้าน พวกเราจึงได้พักที่เดิมเป็นเวลาหลายวัน…เช่นนี้ คงไม่ดีเป็นแน่”

นางเคยไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงไม่ดี แต่เพราะนางติดตามนายหญิง เลยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ซึ่งต่อมา นางได้สูญเสียนายหญิงไป เรื่องราวที่ผ่านมาจึงกลายเป็นความหวังเดียวของนาง

คิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลังจากนั้น นางก็ค้นพบว่าหลายเรื่องที่นางไม่เข้าใจ และหลายสิ่งที่นายหญิงพูด นางเคยไม่เข้าใจ บัดนี้นางเริ่มเข้าใจแล้ว

“เพราะเจ้ามีในสิ่งที่พวกนางไม่มี และเจ้าไม่ต้องการถูกพวกนางใช้ ดังนั้น นี่คือบาปของเจ้า”

“อีกอย่าง ข้าเป็นคนสติไม่สมประกอบ”

“เจ้า ลองคิดดูดีๆ ก็จะสามารถเข้าใจได้”

“เพราะบางอย่างทำง่ายกว่าพูด”

“สำหรับตอนนี้แล้ว พวกเราควรทำความดีความชอบเล็กๆ น้อยๆ ถึงจะดีกว่า”

“ปล่อยให้พวกเขาเชื่อเจ้าก่อน หลักจากนั้นค่อยว่ากัน”

“ปั้นฉิน ท่านชายหันบอกว่าเรื่องเล็กน้อย ใครๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น มิใช่บุญคุณอะไรหรอก”

“ปั้นฉิน โอกาสที่จะได้พบเจอคนอย่างท่านชายหันมีไม่มากนัก”

ทุกครั้งที่หวนคิดถึงเรื่องนี้ ปั้นฉินก็จะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่นายหญิงสอนนางและเป็นคำพูดสุดท้ายด้วย

น่าเสียดายที่ตอนนั้นนางไม่เข้าใจ

นางยกมือเช็ดน้ำตาและหันหน้ามองไปทางเรือนของเฉิงเจียวเหนียง

ตอนนั้นนางช่างโง่เขลาเบาปัญญาสิ้นดี เมื่อลองคิดย้อนกลับไปในตอนนี้ ผู้หญิงเพียงสองคนต้องพบเจอกับภัยอันตรายมากมายตลอดการเดินทาง

เพราะเด่นเกินผู้อื่นจึงเป็นภัยต่อตัวเอง เป็นคนดีเกินไปก็จะนำไปสู่ความหายนะ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องถอยหนึ่งก้าว ถึงจะหลบเลี่ยงก้าวที่พลาดได้ ถอยหนึ่งก้าว ยอมหนึ่งก้าว ไม่ใช่ขี้ขลาดตาขาว

แต่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

แค่นี้ชื่อเสียงของนายหญิงก็โด่งดังมากพอแล้ว บัดนี้ถอยหลังหนึ่งก้าวจะดียิ่งกว่า

นายหญิงทำเช่นนี้มาโดยตลอด นับตั้งแต่ก้าวออกจากปิ้งโจว ก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ไม่ใช่เพราะต้องเผชิญหน้ากับใคร นางทำแต่ในสิ่งที่ควรทำ คนเหล่านั้นพูดอะไร ทำอะไร ตะโกนอะไร โวยวายอะไร ไม่เคยอยู่ในใจของนางเลย

“ตระกูลโจวของเราผิดอะไร! รักษาหรือไม่รักษา นางก็เป็นคนพูดเอง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา! ”

ท่านชายโจวหกใช้มือตบโต๊ะไม้เตี้ยอย่างแรงก่อนจะพูดด้วยความโกรธ

“เพราะนางเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว และตระกูลโจวของพวกเจ้าก็เป็นสายเลือดทางฝ่ายมารดาของนาง เมื่อเด็กทำผิด ก็ย่อมเป็นความผิดของผู้ใหญ่อยู่แล้ว” ท่านชายฉินยิ้มเอ่ย

ท่านชายโจวหกยิ้มอย่างเย็นชา

“หากได้รับคำชื่นชมก็เป็นเพราะนางมีสติปัญญาอันชาญฉลาดใช่หรือไม่” เขาเอ่ย

“หรือเป็นเพราะตระกูลเฉิง” ท่านชายฉินยิ้มเอ่ยพลางจ้องมองท่านชายโจวหกที่เบิกตากว้าง ทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตรงข้ามอย่างสมใจหมาย

“เรื่องทั้งหมดนี้ นางจงใจทั้งนั้น” ท่านชายโจวหกเอ่ย “เดี๋ยวบอกอย่างนั้น เดี๋ยวบอกอย่างนี้

จะรักษาหรือไม่รักษา ดีหรือไม่ดี ล้วนขึ้นอยู่กับนางทั้งหมด”

ท่านชายฉินหัวเราะเย้ย

“หรือจะให้การตัดสินใจของนางขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเล่า” เขาเอ่ยพร้อมกับส่ายหัว “ตกลงแล้วนางเป็นคนบ้าหรือพวกเจ้าเป็นคนบ้ากันแน่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่รู้อยู่แก่ใจแล้วหรือ ยังจะลังเลไปทำไม”

ท่านชายโจวหกไม่พูดอะไร กำมือที่วางอยู่บนตักไว้แน่น

“นางไปไหนแล้ว” เขาหันหน้ามาถามอย่างกะทันหัน

สาวใช้ที่คุกเข่าข้างประตูก้มศีรษะอย่างเร่งรีบ

“แม่นางเฉิงบอกเพียงว่าจะออกไปข้างนอก ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา

บอกว่าป่วยอยู่ ไม่สามารถรักษาโรคให้ได้ แต่กลับนั่งรถออกไปข้างนอกได้แทน เห็นทุกคนเป็นคนตาบอด เป็นคนโง่เขลาอย่างนั้นหรือ

ท่านชายโจวหกหายใจเข้าลึกแล้วมองออกไปที่ประตู

บางทีตอนนั้นที่ตนคิดว่าบีบบังคับให้นางกลับบ้าน ในสายตาของนางกลับคิดว่าเป็นเรื่องตลก หรือไม่ก็เป็นไปตามความต้องการของนางอยู่แล้ว

บีบบังคับหรือ สรุปแล้วใครบีบบังคับใครจนไม่มีทางเลือกกันแน่

………………………………………………………..