“เจ้ารู้หรือไม่? คนที่เจ้ามอบให้ข้า นอกจากเรียกชื่อเจ้า ก็พูดอย่างอื่นไม่เป็น ทำอะไรไม่เป็น ไม่สื่อสารกับคนอื่น” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างเดือดดาล มีอารมณ์ซาบซึ้งอยู่บ้าง

นางย่อมซาบซึ้งเป็นธรรมดา ห้าสิบปีมานี้ช่วยหวาซีดูแลตัวโง่งมหรือเกิดมาก็ป้อนเป็นอาหารสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ นี่ไม่ยุติธรรมกับเนี่ยนซี นางไม่ได้เกิดมาเพราะความต้องการของตนเอง เกิดมาพร้อมความคะนึงหาและอยากเจอเพียงเขาชั่วชีวิต วาระสุดท้ายกลับเป็นสิ่งของชั้นต่ำที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีคุณค่าในการคงอยู่ใดๆ

“อา? คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ ถ้าพูดแบบนี้ ตอนนั้นข้าน่าจะป้อนนางให้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเสีย ไม่ทราบว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด รบกวนสหายเซียนจินแล้ว” พอหวาซีได้ยิน ก็เอ่ยอย่างตกตะลึง

จินเฟยเหยามองเขาด้วยสายตาเดือดดาล “นางตายเมื่อหลายวันก่อน เจ้าพอใจแล้วสินะ ถ้ายังไม่ตาย เจ้าจะป้อนนางให้บุตรสาวของเจ้าหรือสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของนางใช่หรือไม่?”

หวาซีขมวดคิ้ว เหมือนไม่พอใจอยู่บ้าง “สหายเซียนจิน เจ้าช่วยข้าดูแลนางห้าสิบปี ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าอย่างยิ่ง แต่เหตุใดเจ้าต้องมีโทสะเช่นนี้ นางไม่มีพลังธาตุ เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าโมโหข้าทำไม?”

“ข้าไม่ได้มีโทสะเพราะเรื่องนี้ ข้าเห็นว่านางไม่คู่ควร เรื่องที่เจ้าทำน่าขยะแขยงจริงๆ จนกระทั่งยามนางตายยังเรียกชื่อของเจ้า แต่เจ้ากลับทำเหมือนนางเป็นขยะมาตลอด” จินเฟยเหยาด่าทออย่างรุนแรง

“สหายเซียนจิน ข้าเห็นนางเป็นขยะเมื่อใด ก่อนที่ข้ายังไม่รู้ว่าการรับรู้ของนางมีปัญหา ข้าไม่เคยคิดเช่นนี้ อีกอย่างตอนนี้นางก็ยืนอยู่ข้างๆ ข้า ตอนนี้นางสามารถฝึกบำเพ็ญได้และสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดกาล ยังมีอะไรไม่ดี” หวาซีตบศีรษะเนี่ยนซีน้อยเบาๆ ส่วนเนี่ยนซีน้อยแนบติดกับขาของเขาครู่หนึ่งก็ใช้สายตาสงสัยมองจินเฟยเหยา

จินเฟยเหยาจ้องมองเนี่ยนซีน้อยด้วยสีหน้าเย็นชา จากนั้นหัวเราะเสียงเยียบเย็น “ต่อให้พวกนางเกิดจากที่เดียวกัน แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน คืนชีพคนผู้หนึ่งโดยสมบูรณ์เป็นเพียงความเพ้อฝันของเจ้า เจ้าเพียงแค่สร้างตัวประหลาดตัวหนึ่งออกมาเท่านั้น เนี่ยนซีใช่ คนที่อยู่ข้างกายเจ้าก็ใช่ ดูภายนอกแล้วเจ้ารักท่านแม่ของเจ้าปานนี้ ดังนั้นจึงใช้ทุกวิถีทางมาคืนชีพนาง”

เห็นใบหน้าของหวาซีเริ่มเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ จินเฟยเหยาชะงักไปแล้วเอ่ย “เจ้าเป็นแค่เด็กน้อยที่ขาดแม่ไม่ได้และยังไม่หย่านมคนหนึ่งเท่านั้น”

“จินเฟยเหยา!” หวาซีอับอายจนกลายเป็นโทสะ คำรามอย่างเดือดดาล ปลดปล่อยพลังกดดันออกมาใส่นางอย่างมืดฟ้ามัวดินในพริบตา

จินเฟยเหยารีบล่าถอยอย่างว่องไว โยนม่านแสงอันหนึ่งออกมาสกัดพลังกดดันขั้นหลอมรวมที่พุ่งมาหา พลังกดดันถูกลดทอนกว่าครึ่ง นางเชิดหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ทำไม ข้าพูดแทงใจดำหรือ?”

ในยามนี้เอง เสียงสตรีก็ลอยมา สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวหนึ่งกระโดดขึ้นบนกำแพง มีสาวน้อยที่นั่งบนหลังมันตวาดใส่จินเฟยเหยา “พี่สิบสาม คนผู้นี้พูดจาโอหังบังอาจ วันนี้ต้องสั่งสอนเสียหน่อย ให้นางรู้ว่าจะพูดจาเหลวไหลไม่ได้”

“มีคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนโผล่มาอีกแล้ว!” จินเฟยเหยามองอย่างละเอียด คนผู้นี้สวมชุดกระโปรงยาวสีดำ ใบหน้าเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง ดูแล้วคุ้นตาอยู่บ้าง

เอ๋ นี่คือสตรีชื่อหวาเสี่ยวจือซึ่งเป็นผู้เพาะเลี้ยงวิญญาณที่ประมูลในหอผิ่นเมิ่งในวันนั้นมิใช่หรือ เหมือนจำได้ว่าตอนนั้นมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวม พอเห็นวันนี้ เหตุใดพลังการบำเพ็ญเพียรจึงลดลงเหลือขั้นสร้างฐานช่วงปลาย

จริงสิ หรือว่ายายนี่ใช้โลหิตปฐมคืนชีพใครบางคนให้แขกที่ประมูลได้ไป ดังนั้นพลังการบำเพ็ญเพียรจึงลดลงจากขั้นหลอมรวม แต่หวาซีสามารถเลื่อนจากขั้นฝึกปราณกลับเป็นขั้นหลอมรวมได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาน่าจะมีวิธีลับในการฟื้นฟูพลังการบำเพ็ญเพียร บนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของยายนี่ไม่มีคน ดูท่าน่าจะเลี้ยงวิญญาณสำเร็จ ได้ศิลาวิญญาณชั้นกลางห้าล้านก้อนแล้ว

จินเฟยเหยาเปลี่ยนความคิด จงใจเอ่ยอย่างคลุมเครือ “ข้ายังนึกว่าใคร ที่แท้คือหวาเสี่ยวจือที่ขายตัวได้เงินก้อนโตนี่เอง”

“เจ้าอยากตายหรือ!” หวาเสี่ยวจือนั่งบนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ นัยน์ตาหงส์ที่ชำเลืองมองเผยแววดุร้ายทันที

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “อย่าว่าแต่ตอนเจ้าอยู่ขั้นหลอมรวมข้ายังไม่กลัวเจ้า ตอนนี้เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐาน ข้าไม่กลัวการกำจัดเจ้าทิ้งตรงหน้าประตูบ้านเจ้าเลยสักนิด”

“วาจาโอหังไม่เบา ข้าจะฉีกปากของเจ้าเสีย” หวาเสี่ยวจือตวาดอย่างมีโทสะ ตบสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณแล้วพุ่งเข้าหาจินเฟยเหยา

“น้องจือ! อย่าลงมือ ข้ารู้จักกับนาง เห็นแก่หน้าข้าอย่าก่อเรื่อง” หวาซียื่นมือออกมาขัดขวางสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่เตรียมตัวจะกระโดดไว้

หวาเสี่ยวจือถลึงตาใส่เขาอย่างดูแคลน “พี่สิบสาม ท่านก็ได้ยิน นางหยามเกียรติคฤหาสน์กุ่ยเม่ยของพวกเรา ถ้าไม่สั่งสอนนางสักหน่อย ต่อไปคฤหาสน์กุ่ยเม่ยก็สามารถให้คนมาหยามเกียรติได้ตามใจชอบใช่หรือไม่!”

“ไป!” หวาเสี่ยวจือไม่สนใจหวาซี หันหน้าไปขี่สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณพุ่งใส่จินเฟยเหยา

“น้องจือ!” หวาซีห้ามนางไว้ไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้นางพุ่งออกไป

ส่วนเนี่ยนซีน้อยกลับฉุดดึงเขา เอ่ยอย่างหวาดกลัวอยู่บ้าง “ท่านพ่อ น้าเสี่ยวจือสู้กับพี่สาวคนนั้น ข้ากลัว”

“หวั่นซีไม่ต้องกลัว มาให้พ่ออุ้ม” หวาซีอุ้มหวาหวั่นซีขึ้นอย่างรักใคร่ ตั้งใจให้จินเฟยเหยาได้รับความลำบากนิดหน่อย จึงมองคนทั้งสองต่อสู้กันกับหวั่นซี

สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของหวาเสี่ยวจือพุ่งขึ้นกลางอากาศ แฝงด้วยคาววายุ คำรามเข้าใส่จินเฟยเหยา

“มีสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณแล้วยอดเยี่ยมนักหรือ ข้าก็มีเช่นเดียวกัน” จินเฟยเหยาเก็บพรมบิน คายทงเทียนหรูอี้ออกมา พริบตาก็กลายเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณโปร่งใสขนาดยักษ์สองตัว นางกระโดดขึ้นตัวหนึ่งในนั้น พุ่งเข้าหาหวาเสี่ยวจือที่มีสีหน้าประหลาดใจ

ไม่รู้ว่าของวิเศษของอีกฝ่ายเป็นสิ่งใด คิดไม่ถึงว่าจะแปลงร่างได้ นี่ทำให้หวาเสี่ยวจือตกใจ ถึงแม้ทุกคนรู้จักศิลาน้ำแข็ง ทว่าไม่มีใครได้มาสักชิ้นจริงๆ ต่อให้มี อันใหญ่ขนาดนี้ก็พบเห็นได้น้อย ส่วนการใช้ศิลาน้ำแข็งหลอมสร้างของวิเศษล้วนๆ ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่ต้องคิดเพ้อฝันไป มองของวิเศษสองชิ้นนี้แปลงกายเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ลักษณะเหมือนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณของตนเองอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งเป็นอย่างไร

“แสงวิญญาณ!” หวาเสี่ยวจือชี้ไปที่ตำแหน่งหนึ่งของทงเทียนหรูอี้ชิ้นหนึ่งในนั้น สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณอ้าปากกว้าง ลำแสงสีขาวสายหนึ่งก็พุ่งออกไปตรงเข้าใส่ทงเทียนหรูอี้ที่กลายเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ

“มายา” จินเฟยเหยาไม่ต้องตะโกน แค่พูดออกมา ทงเทียนหรูอี้ที่กำลังจะถูกโจมตีพลันกลายเป็นห่วง ลำแสงที่มีอานุภาพรุนแรงสายนั้นก็ทะลุผ่านห่วงไป หลังแสงสีขาวผ่านไป ทงเทียนหรูอี้ก็เปลี่ยนกลับเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณอีกครั้ง

ทงเทียนหรูอี้ชิ้นนี้พุ่งไปถึงด้านหน้าลำตัวของหวาเสี่ยวจืออย่างรวดเร็ว ยื่นกรงเล็บอันคมกริบและโปร่งใสตวัดใส่สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณอย่างแรง

เสียงดังแคว่ก! ขนสีดำของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณร่วงกระจายกลางอากาศ ใบหน้าปรากฏรอยแผลลึกถึงกระดูกสามสาย โจมตีสำเร็จ ทงเทียนหรูอี้ก็หนีวูบออกมา เว้นระยะห่างจากหวาเสี่ยวจือ

“น่าชังนัก!” หวาเสี่ยวจือมีโทสะแทบตาย พลิกมือนำมุกสุกใสขนาดใหญ่เท่าศีรษะออกมา บนมุกพันรอบด้วยอัญมณีห้าแสงสิบสี เปล่งแสงสดใสออกมารอบด้าน งดงามอย่างยิ่ง

พอจินเฟยเหยาเห็นมุกขนาดใหญ่เม็ดนี้ ก็หัวเราะทันที “เจ้าจะเชิดสิงโตหรือ? เช่นนั้นเจ้ายังขาดหัวแป๊ะยิ้มนะ”

“ข้าจะบดขยี้เจ้าให้เป็นผุยผง!” หวาเสี่ยวจือคำรามอย่างเดือดดาล โยนมุกในมือขึ้นกลางอากาศ พริบตาก็ขยายใหญ่ กว้างถึงห้าหกจั้งกว่าเต็มๆ

มุกกดดันมาทางจินเฟยเหยาอย่างหนักหน่วง ส่วนใต้ร่างนางคือเมืองของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย คนธรรมดาในเมืองมองมุกขนาดยักษ์เม็ดนี้อย่างหวาดกลัว ถ้ากระแทกลงมา มิบ้านพังทลายคนตกตายหรือ พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายรุ่นแล้ว ทั้งหมดเป็นคนที่ไม่มีพลังวิญญาณสายอนุภรรยาของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ถือว่าเป็นคนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยเช่นเดียวกัน ไม่เคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อนและไม่เข้าใจอยู่บ้าง หรือว่าจะชำระล้างสายโลหิตอีกครั้ง แต่พวกเราก็ส่งสตรีออกไปอุ้มบุญกลับมา ทำให้คนไม่ค่อยโง่งมขนาดนั้นแล้ว เหตุใดยังต้องสังหารอีก

“น้องจือ! รีบเก็บมุกไฉ่กวง ด้านล่างทั้งหมดเป็นคนธรรมดา!” พอหวาซีเห็นก็ตะโกนเสียงดังทันที

ถ้าทำลายเมืองด้านล่าง พวกเขาสองคนต้องถูกลงโทษอย่างหนัก อีกทั้งคนด้านล่างก็เป็นคนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ว่าไปแล้วก็เป็นญาติกัน

มุกไฉ่กวงบดบังแสงอาทิตย์ เงาดำขนาดยักษ์ปกคลุมเหนือศีรษะจินเฟยเหยา นางเงยหน้าขึ้นมองมุกไฉ่กวง แล้วมองคนในเมืองด้านล่าง จากนั้นเบ้ปากเอ่ยว่า “ถ้าทับคนตายมากมายปานนี้ เกรงว่าพวกขั้นหลอมรวมขั้นกำเนิดใหม่ในคฤหาสน์กุ่ยเม่ยคงไม่ให้ข้าจากไป”

“หวาเสี่ยวจือ! คิดไม่ถึงว่าเพื่อความเห็นแก่ตัวของเจ้า เจ้าจะสละชีวิตคนธรรมดาของตระกูลตนเองมาต่อกรกับข้า หัวใจของเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือ เหตุใดจึงมีคนเช่นเจ้าได้!” ในเสียงตะโกนของจินเฟยเหยาแฝงพลังวิญญาณ เสียงดังสะท้อนถึงชั้นเมฆ สั่นสะเทือนสองหูของคนธรรมดาในเมืองจนรู้สึกชา

ในยามนี้เอง มุกไฉ่กวงก็ส่งเสียงดังวิ้งๆ กระแทกลงมาใส่นาง

ส่วนจินเฟยเหยากระโดดขึ้นทงเทียนหรูอี้ในพริบตา ตวาดลั่น ทงเทียนหรูอี้สองชิ้นหลอมรวมเป็นร่างเดียว กลายเป็นกระบองยาวสิบกว่าจั้งหนึ่งท่อน พลังวิญญาณของนางไหลออกไปราวกับสูบน้ำ จากนั้นกระบองก็ตวัดอย่างแรง มุกไฉ่กวงถูกนางฟาดออกไปในหนึ่งกระบอง

มุกลอยออกไปในแนวขวาง ผ่านทุ่งนาไปกระแทกบนยอดเขาที่อยู่ห่างไกลอย่างหนักหน่วง พริบตาขุนเขาปฐพีสะเทือนเลื่อนลั่น ฝุ่นธุลีฟุ้งตลบ แต่เนื่องจากแรงสะท้อนกลับแกร่งกร้าว ในปากจึงเค็มคาว มีโลหิตสดพลุ่งขึ้นมา แต่นางสะกดกลั้นไว้และฝืนกลืนกลับลงไป ไม่ได้พ่นออกมา

“เจ้าถึงกับฟาดมุกไฉ่กวงของข้าลอยไป!” หวาเสี่ยวจือหลุดเสียงร้องอุทานอย่างตกตะลึง

มุกนี้เป็นของวิเศษแก่นชีวิตที่นางหลอมสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งหลังเจี๋ยตัน ถึงพลังการบำเพ็ญเพียรของตนเองจะลดลงเป็นขั้นสร้างฐานช่วงปลาย ใช้อานุภาพทั้งหมดของมุกไฉ่กวงออกมาไม่ได้ แต่ก็ให้คนขั้นสร้างฐานช่วงกลางใช้กระบองตีลอยไปแบบนี้ไม่ได้

“เจ้าก็ลอยไปด้วยเถอะ” จินเฟยเหยากลืนโลหิตในปาก ด่าทออย่างดุร้าย ไม้พลองหวดเข้าใส่หวาเสี่ยวจือตามคำพูดของจินเฟยเหยา เสียงดังเพี๊ยะ หวาเสี่ยวจือและสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณถูกกระบองฟาดโดน ลอยข้ามทุ่งนาไปเช่นเดียวกัน พริบตาก็หายไปไม่เห็นเงา หลายอึดใจต่อมา ในป่าอันห่างไกลมีเสียงดังสนั่น ท่าทางจะถูกฟาดไปตกที่นั่น

“ฟาดมุกใหญ่ขนาดนี้ลอยไป ลำบากจริงๆ” จินเฟยเหยาถอนหายใจยาว ทงเทียนหรูอี้กลายเป็นปิ่นปักผมสองชิ้น เสียบลงบนมวยผมของนางอีกครั้ง

ส่วนหวาหวั่นซีในอ้อมกอดของหวาซีก็เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ท่านพ่อ พี่สาวคนนี้ฟาดท่านน้าเสี่ยวจือลอยไปแล้ว ต่อไปนางก็กลับมารังแกข้าไม่ได้แล้วใช่หรือไม่?”

“หวั่นซีวางใจ ขอเพียงนางไม่ตายก็กลับมาได้ แต่ว่า ต่อไปนางไม่มีโอกาสรังแกเจ้าแล้ว กฎตระกูลรอนางอยู่” หวาซียิ้มพลางเอ่ย จากนั้นหันหน้าไปมองด้านหลัง การต่อสู้ที่นี่ทำให้คนบนภูเขาแตกตื่น คนยี่สิบสามสิบคนขี่สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณบินมา ทั้งยังมีสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสองตัวเป็นสีขาว

……………………………….