ตอนที่ 157 ซือคงอวี้รอจนเกือบควบคุมตนเองไม่ได้

เดิมพันเสน่หา

วิลล่าตระกูลฉู่ ตอนที่เสิร์ริฟบะหมี่ไก่ตุ๋นนั้น พระอาทิตย์ตกแล้ว

ไซ่หย่าเซวียนตัวติดกับเหลิ่งรั่วปิงตลอดเวลา พวกเธอสองคนกินไปด้วยและพูดคุยกันอย่างมีความสุข ทางด้านฉู่เทียนรุ่ยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามพวกเธอ ไม่ว่าจะมองอย่างไรยังไงก็รู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก

“หนิงซยา ช่วงนี้มีนักร้องหนุ่มคนใหม่เพิ่งเดบิวต์ ชื่อ ลู่เหยียน เธอรู้จักไหม ลู่เหยียนหล่อมากเลย ร้องเพลงก็เพราะมาก เป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงทุกคน ฉันจะต้องให้พี่ตี้จวิ้นพาไปรู้จักเขาให้ได้”

ยังไม่รอให้เหลิ่งรั่วปิงตอบ ฉู่เทียนรุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ทันที “ผู้ชายบอบบางอ้อนแอ้นแบบนั้นน่ะเหรอ ที่เป็นผู้ชายในฝันของผู้หญิงทุกคน เอาไปหลอกเด็กไป!”

“พี่ฉู่เทียนรุ่ย พี่ยอมรับมาเถอะค่ะว่าพี่อิจฉา ไม่ต้องมาใส่ร้ายลู่เหยียนแบบนี้” ไซ่หย่าเซวียนชำเลืองมองฉู่เทียนรุ่ย สายตาที่เธอมองไปนั้น มีแต่ความเต็มไปด้วยความดูถูก

ฉู่เทียนรุ่ยรู้สึกจุกขึ้นมากลางอก ไซ่หย่าเซวียนเคารพนับถือเขามานานกว่าสิบปี วันนี้อยู่ดีๆ ก็ไม่เห็นเขาในสายตา เขาไม่เคยรู้สึกแพ้แบบนี้มาก่อนในชีวิต

หันไปมองเหลิ่งรั่วปิง เธอคลี่ยิ้มบางๆ แล้วนั่งเงียบ รลอยยิ้มนั้นทำให้คนรู้สึกมีเลศนัย เหลิ่งรั่วปิงเหมือนดอกลิลลี่ป่าที่ยืนหยัดด้วยตนเอง เบิกบานใต้แสงแดดอย่างสวยสง่า เธอมองทุกอย่างบนโลก แต่ไม่มีสิ่งไหนอยู่ในสายตาของเธอ ทำให้คนที่มองรู้สึกจั๊กจี้หัวใจ แต่ไม่ว่าจะเอื้อมมือไปเด็ดยังไงก็เอื้อมไม่ถึง

ความรู้สึกที่ไซ่หย่าเซวียนให้เขาในเวลานี้ก็เหมือนกัน เธอกำลังเป็นเหมือนเหลิ่งรั่วปิง ฉู่เทียนรุ่ยเข้าใจบางอย่างขึ้นมา เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนให้คำแนะนำไซ่หย่าเซวียนแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจากไอคิวและอีคิวของไซ่หย่าเซวียน ไม่มีวันเปลี่ยนเป็นคนละคนได้ขนาดนี้แน่นอน

การเปลี่ยนแปลงของเธอ เพื่อที่จะดึงดูดเขา!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉู่เทียนรุ่ยหัวเราะอย่างชอบใจ ดวงตาสีดำเข้มหรี่ลง พูดด้วยความเจ้าเล่ห์ “หย่าเซวียน คนเราพยายามที่จะเป็นเหมือนคนอื่น ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่เหมือนหรอกนะ เข้าใจไหมครับ”

“?” ไซ่หย่าเซวียนกัดตะเกียบแน่น เธอทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที แววตาสงสัยและพิจารณาของฉู่เทียนรุ่ยก่อนหน้านี้หายไป เธอรู้สึกกลัวเหมือนถูกคนอื่นอ่านใจออก หันไปมองเหลิ่งรั่วปิง เห็นเธอกำลังก้มหน้าลงคลี่ยิ้มเศร้าแล้วนั่งเงียบ ความร้อนที่แผ่ซ่านขึ้นมาของไซ่หย่าเซวียน หายวับไปทันที

ฉู่เทียนรุ่ยเองก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เขามองตามไซ่หย่าเซวียนที่กำลังมองเหลิ่งรั่วปิง อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา เหลิ่งรั่วปิงเป็นคนเงียบ ฉลาดและสง่างาม เขาไม่เคยเห็นเธอเหม่อลอยมาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะคิดถึงเรื่องที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกในใจ เธอคงไม่เป็นแบบนี้

ขณะที่ไซ่หย่าเซวียนกำลังจะร้องเรียกเธอ ฉู่เทียนรีบยกมือขึ้นห้าม ทำให้ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบทันที เงียบมาก

นอกหน้าต่างมีลมพัดปลิว เมฆดำกดทับลงมา หิมะเริ่มตกโปรยปรายลงมา

ประเทศเอ้าตูและเมืองหลงอยู่ในซีกโลกเหนือเหมือนกัน เวลานี้จึงเป็นฤดูหนาว อากาศของทั้งสองพื้นที่จึงหนาวเย็น

เหลิ่งรั่วปิงคิดถึงหนานกงเยี่ย

คืนนั้น เขาทำตัวปัญญาอ่อน โกรธที่เธอออกไปกินข้าวกับลั่วเฮิ่ง หนานกงเยี่ยนั่งทำหน้าบึ้งอยู่ในห้องรับแขก เขาไม่ยอมเปิดไฟในวิลล่า ไม่ยอมกินข้าว พอเธอกลับมาก็บอกให้เธอทำอาหารให้เขากิน ทั้งๆ ที่วันนั้นเธอเหนื่อยมาก แต่เธอก็ทำบะหมี่ไก่ตุ๋นให้เขากิน หนานกงเยี่ยใส่ผ้ากันเปื้อน เดินวนไปวนมารอบๆ เธอ มาเป็นลูกมือให้จอมวุ่นวาย ระหว่างที่ทำอาหารหนานกงเยี่ยเข้ามากอดและหอมเธออยู่หลายครั้ง หลังจากทำอาหารเสร็จเขาก็กินด้วยความพอใจ เหงื่อไหลเต็มหน้าผาก

วันที่เธอไปจากเมืองหลง เธอตัดสินใจแล้วว่าจะลืมทุกอย่างให้หมด แต่ค่ำคืนในฤดูหนาว ตอนที่ไอร้อนของบะหมี่ไก่ตุ๋นลอยฟุ้ง เธอกลับคิดถึงเขา เธอควรจะเศร้าที่เขาฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของเธอ หรือควรจะถอนหายใจที่หัวใจเธอไม่เข้มแข็งพอ

ปลดปล่อยตนเอง ปล่อยให้ความคิดแล่นอย่างเป็นอิสระ หวนนึกถึงภาพวันเก่าๆ ของเขา ทันใดนั้นเองเธอก็นึกขึ้นได้ เขาเป็นจอมเผด็จการ ชอบกดขี่ข่มเหงคนอื่น ต้องการครอบครองและอยู่เหนือทุกอย่าง แต่ในบางครั้งเขาก็รักและตามใจเธอมาก

หนานกงเยี่ยบอกว่าชอบเธอ อยากได้หัวใจของเธอ แต่ทำไมตอนที่เธอตัดสินใจยกหัวใจของเธอให้เขา เขาถึงต้องทำให้เธอขายหน้าแบบนั้น ทำให้เธอดปวดใจแบบนั้น?

หนานกงเยี่ย ถ้าคุณไม่ใช่คนที่จะอยู่กับฉันจนถึงวันสุดท้าย คุณช่วยหายไปจากความคิดของฉันที!

ภายใต้การมองดูเงียบๆ ของฉู่เทียนรุ่ยและไซ่หย่าเซวียน จู่ๆ เหลิ่งรั่วปิงก็ล้วงมือเข้าไปในหม้อดินเผา ไซ่หย่าเซวียนห้ามเธอเอาไว้ไม่ทัน มือของเหลิ่งรั่วปิงล้วงเข้าไปในซุปที่กำลังเดือด ความเจ็บปวดแผ่ซ่านเข้าไปในหัวใจของเธอ เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกหัวใจบีบรัดแน่น ไซ่หย่าเซวียนรีบดึงมือเธอออกมา

“หนิงซยา เธอเป็นอะไรไป” ไซ่หย่าเซวียนเบิกตากว้างมองดูเหลิ่งรั่วปิงด้วยความตกใจ

เหลิ่งรั่วปิงดึงสติกลับมา มองดูนิ้วมือที่แดงเถือก แล้วยิ้มแห้งๆ “ฉันไม่เป็นไร พวกเธอกินกันเถอะ ฉันขอตัวไปล้างมือก่อน”

ไซ่หย่าเซวียนดึงสายตากลับมาจากแผ่นหลังของเหลิ่งรั่วปิง หันไปพูดกับฉู่เทียนรุ่ย “พี่เทียนรุ่ย หนิงซยาเป็นอะไรไปคะ”

ฉู่เทียนรุ่ยมองอย่างใช้ความคิดอยู่หลายวินาที จากนั้นหลบตาลง “จะไปสนใจอะไรมากมาย กินของเธอไป อีกเรื่องหนึ่ง ไม่เรียกพี่ว่าพี่ฉู่เทียนรุ่ยแล้วเหรอ ทำไมไม่แกล้งทำตัวเย็นชาแล้ว”

เอ่อ…

ไซ่หย่าเซวียนทั้งอายทั้งโกรธ เธอวางตะเกียบลง “ใครแกล้งทำตัวเย็นชาคะ ตั้งแต่วันนี้ฉันจะเป็นคนเย็นชา หึ”

พูดจบ ไซ่หย่าเซวียนวิ่งออกไป ไม่ถึงสองนาที ฉู่เทียนรุ่ยได้ยินเสียงสตาร์ตทรถยนต์

ไปทั้งๆ แบบนี้? ยัยเด็กกะโปโลคนนี้ อยู่กับเขาก็แอบดื้อเบาๆ เหมือนกัน!

เหลิ่งรั่วปิงเดินออกมาจากห้องน้ำ เมื่อเห็นไซ่หย่าเซวียนกลับไปแล้ว เธอจึงถลึงตามองไปที่ฉู่เทียนรุ่ย กระตุกมุมปาก “ทำไมคะ เสียใจที่ทำให้ไซ่หย่าเซวียนโกรธจนหนีกลับไปเหรอ”

ฉู่เทียนรุ่ยเบนสายตาจากประตูกลับมา เขาหลุบตาลง แล้วกินบะหมี่ต่อ “ไซ่หย่าเซวียนกลับไป ชีวิตของพี่ถึงจะสงบสุข มีอะไรให้ต้องเสียใจ เธอต่างหาก เสียใจหรือเปล่าที่หนีมาจากเมืองหลง”

ตอนนั้นเพื่อที่จะหนีออกมาจากเมืองหลง เธอทั้งกระโดดตึก ทั้งขับรถด้วยความเร็วสูงและยังฝ่าด่านกั้น เธอทำถึงขนาดนั้นแล้วรู้สึกเสียใจไหมงั้นหรือ ตอบเลยว่าไม่!

การที่เธอคิดถึงเขามันไม่ได้หมายความว่าเธอเสียใจกับสิ่งที่เธอทำลงไป เธอแค่รู้สึกเศร้า เพราะความทรงจำเหล่านั้นเคยเกิดขึ้นจริง

“ไม่ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพูดสั้นๆ สองพยางค์

ฉู่เทียนรุ่ยพยักหน้า เขาเชื่อว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ตัดสินใจทำอะไรแล้วไม่มีวันเสียใจ “เธอเป็นคนดื้อรั้นและไม่ยอมคน ดังนั้น เธอจึงเป็นฝ่ายที่ต้องเจ็บปวดมาโดยตลอด ปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไปเถอะ เวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่างเอง”

เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไรอีก เธอก้มหน้าก้มตากินบะหมี่จนหมดถ้วย พร้อมทั้งดื่มน้ำซุปจนหมดเกลี้ยง จากนั้นบอกลาฉู่เทียนรุ่ยเบาๆ แล้วกลับไปยังคอนโดมิเนียมของเธอ

ถูกต้อง ถึงแม้เวลาในชีวิตของคนคนๆ หนึ่งจะสั้น แต่มันก็เพียงพอ เพียงพอที่จะลบเขาออกไปจากความทรงจำของเธอ

*****

ทางด้านทิศตะวันตกของเมืองหลง ซึ่งมีคาบมหาสมุทรกั้นกลางเอาไว้ ตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือเหมือนกัน ประเทศที่เคร่งครัดในเรื่องของศาสนา มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ประเทศซีหลิง เวลานี้เป็นช่วงพลบค่ำ

ภายในวิหาร ซือคงอวี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ทองคำอย่างสง่าผ่าเผย เขาสวมเสื้อคลุมสีดำตัวยาว ภายใต้อากาศที่เหน็บหนาว ความเย็นยะเยือกนั้นเหมือนความมืดในตอนกลางคืน ตัวของเขาแผ่ซ่านไปด้วยความอาฆาต ดวงตาคมกริบเชี่ยวเหมือนนกฟีนิกซ์ด ริมฝีปากบางกระตุกขึ้นเล็กน้อย ทำให้เขาดูเหี้ยมโหด มือของเขาวางไว้บนที่วางแขนทองคำที่ยื่นออกมา คล้ายกับว่าเพียงแค่มีอะไรบางอย่างมากระตุ้นความคิดของเขา เขาก็พร้อมที่จะยิงมีดบินที่ซุกซ่อนไว้ออกมา เพื่อฆ่าคนและทำลายทุกอย่าง

หมาป่าสีเทาและอาเธอร์ยืนอยู่ตรงหน้า กลั้นหายใจอย่างสุดฤทธิ์ ไม่กล้าคิดถึงเรื่องอื่น รังสีอำมหิตฆ่าทำลายล้างแผ่ซ่านไปทั่ว พวกเขารู้สึกว่าตนเองจะตายได้ทุกวินาที

“หมาป่าสีเทา…” เสียงของซือคงอวี้ราวกับเสียงเรียกของทูฑูตนรก ดังก้องในห้องโถงใหญ่ภายในวิหาร คล้ายกับมือของยักษ์ที่เกี่ยวดึงความมืด “นายบอกฉันว่า นายออกคำสั่งการไล่ล่าอันดับหนึ่ง ตามหาเหลิ่งรั่วปิงไปทั่วทุกมุมโลกแล้ว แต่ยังคงไม่มีข่าวคราวของนางฟ้ารัตติกาล?”

“ครับ เจ้าวิหาร” หมาป่าสีเทาโค้งตัวคำนับด้วยความตื่นกลัว พยายามพูดทุกคำด้วยความระมัดระวัง เขากลัวว่าถ้าพูดอะไรผิดไปแม้แต่คำเดียวจะทำให้ตายด้วยมีดบินของซือคงอวี้

มือที่จับที่วางแขนทองคำของซือคงกวี้กำแน่น แววตาของเขาฉายความเกรี้ยวกราด ริมฝีปากยกสูงเป็นรูปทรงพระจันทร์เสี้ยว เสี้ยงทุ้มต่ำทว่ากลับทำให้ผู้คนเกรงกลัว “หมาป่าสีเทา ฉันควรจะบอกว่านายไร้ประโยชน์ หรือควรจะบอกว่าผู้หญิงที่ซือคงอวี้สอนมากับมือเก่งเกินไป หื้ม?”

เสียงของซือคงอวี้เหมือนลมหนาวที่ขมขื่น พัดเข้ามาในห้องโถง ทำให้หมาป่าสีเทาตัวแข็งทื่อ จนไม่สามารถยืนต่อไปไม่ได้ เขาทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้น “เจ้าวิหารครับ ผมไร้ประโยชน์”

“ในเมื่อไร้ประโยชน์…” แววตาดุดันคล้ายต้องการสังหารคนฉายออกมาอย่างกะทันหัน “แล้วฉันจะเก็บนายไว้ทำไม!”

เสียงโลหะทองคำเสียดสีกัน มีดบินของซืองคงอวี้บินออกมาจากเก้าอี้ทองคำ มือของเขาเอียงเป็นองศาเล็กน้อย มีดบินพุ่งออกมาด้วยความเร็วสูง พุ่งไปยังหมาป่าสีเทาที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น

อาเธอร์ที่ยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้างด้วยความสั่นเทา สายตาของเขาจับจ้องไปยังพื้นหินอ่อน แต่กลับไม่ได้โฟกัสที่พื้น เขากำลังคิดภาพของเหลวสีแดงสดเปื้อนไปทั้งห้องโถง

หมาป่าสีเทาคุกเข่าบนพื้น ก้มหน้าลง พร้อมกับหลับตา ซือคงอวี้คิดจะฆ่าใครสักคน คนในวิหารไม่มีใครสามารถหลบได้ หมาป่าสีเทาเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน สิ่งเดียวที่ทำได้คือทำตามคำสั่ง ตอนที่ใบมีดพุ่งออกมา เขารู้สึกว่าในห้องโถงนี้กำลังมีพายุลูกใหญ่ ลมที่โหมกระหน่ำพัดไปทั่วทั้งห้องโถง ทำลายข้าวของทุกอย่าง

ลอยตามแรงลม ใบมีดทะลุผิวหนัง ของเหลวสีแดงหยดติ๋ง เปื้อนพื้นหินอ่อนในห้องโถง

ตอนที่ลมหยุดลง หมาป่าสีเทาค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขายังไม่ตาย ซือคงอวี้ที่กำลังโมโหเห็นแก่ที่พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ไม่ได้เอาชีวิตของเขา เพียงแค่เฉือนหัวไหล่ของเขาออกไปเล็กน้อย

มีดบินพุ่งออกไป ความโกรธของซือคงอวี้ได้ระบายออกไปเล็กน้อย เขาหลับตาลงด้วยความเย็นยะเยือก เสียงของเขากลับมาเหมือนเดิม “ตามหาเธอต่อไป ถ้าฤดูหนาวนี้ยังไม่เจอตัวนางฟ้ารัตติกาล นายก็หิ้วหัวของนายมาพบฉัน”

“ครับ เจ้าวิหาร” หมาป่าสีเทาลุกขึ้น เอามือกุมหัวไหล่ที่มีเลือดไหล แล้วเดินออกไปจากห้องโถง

ภายในห้องโถงกลับมาเงียบอีกครั้ง ซือคงอวี้หลับตาไม่ยอมพูดสิ่งใด อาเธอร์ยืนตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ

หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง ซือคงอวี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มุมปากคลี่ยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่ได้มาจากใจ ไม่ว่าจะมองอย่างไรยังไงก็ดูเป็นรอยยิ้มที่กระหายเลือด “อาเธอร์ นายบอกฉันมา นางฟ้ารัตติกาลอยู่ที่ไหน”

อาเธอร์แบกรับความกลัว พยายามยืดหลังของเขาให้ตรง “เจ้าวิหารครับ ผมไม่ทราบครับ”

“ไม่ทราบ?” ซือคงอวี้ยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม เดินลงมาทีละขั้น เข้าใกล้อาเธอร์มากขึ้นเรื่อยๆ เขาเพียงแค่ยื่นมือออกมา อาเธอร์ก็กลิ้งถลาไปไกล มองดูเขาอาเจียนออกมาเป็นเลือด สีหน้าของซือคงอวี้ยังคงนิ่งงัน “นายคิดจะปิดเงียบไม่ให้ฉันรู้ตลอดไปเหรอ ฮห๊ะ!”