ตอนที่ 175 เจ้าเต็มใจหรือไม่

แม่สาวเข็มเงิน

ฝูฉูเปลี่ยนสีหน้าไปมา ความกังวลใจปรากฏลึกในดวงตานาง แต่จากนั้นนางก็ฝืนยิ้ม “แม่นางเจียง ข้าไม่ได้…”

เจียงป่าวชิงขัดจังหวะฝูฉูโดยการโบกมือไปมา “ช่างเถอะพี่ ข้าเองก็ไม่อยากฟังพี่แก้ต่างอะไรอีกแล้ว ข้าขอพูดตรง ๆ เลยนะว่าข้ากับพี่ชายไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องนี้มากนัก ข้าแค่กล้ำกลืนฝืนทนความอยุติธรรมไม่ได้ก็เท่านั้น เหอะ ๆ ถึงยังไงข้าก็จิตใจคับแคบและเจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่แล้ว”

เจียงป่าวชิงมองฝูฉูด้วยแววตามีความหมายแฝง ทว่าฝูฉูไม่พูดอะไรออกมาอีก นางฝืนยิ้มอีกตามเคย ก่อนจะหันไปมองเซยู่เสีย “เสียเอ๋อร์ ขอโทษแม่นางเจียงกับคุณชายเจียงสิ”

หยาดน้ำตาใสยังคงเกาะอยู่ที่หางตาของเซยู่เสีย นางได้ยินฝูฉูบอกให้ขอโทษ สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความยากที่จะเชื่อ แต่ผ่านไปสักครู่ นางก็กัดริมฝีปากพูดกับเจียงป่าวชิงและเจียงหยุนชานอย่างน้อยใจว่า “แม่นางเจียง พี่ชายเจียง เมื่อสักครู่ข้าไม่ได้เจตนาจะเตะงูไปทางพวกเจ้าจริง ๆ ข้าขอโทษทั้งสองคนด้วย”

เจียงป่าวชิงสั่งสอนก็แล้ว ระบายความโกรธก็แล้ว มาถึงตอนนี้ นางคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับสองพี่น้องที่น่าเบื่อคู่นี้จึงหันไปพูดกับองครักษ์ “เหล่าองครักษ์ทั้งหลาย เรากลับกันเถอะจ้ะ”

องครักษ์พยักหน้ารับคำ

ในตอนที่พวกเขาทั้งหมดกำลังเดินทางกลับ ก็ได้มีองครักษ์บางส่วนแยกตัวออกไปอย่างรีบเร่ง พวกเขาจะกลับไปรายงานให้กงจี้ได้ทราบก่อนว่าพบคนที่ตามหาแล้วและองครักษ์อีกส่วนรับหน้าที่พาพวกเขากลับมา

ณ ตอนนี้ เจียงป่าวชิงรู้สึกว่าไม่อยากจะพูดคุยกับพวกกงจี้ เมื่อนางเห็นฝูฉูกับเซยู่เสียเข้าไปในบ้านโดยมีองครักษ์คุ้มกันอยู่ นางก็หมุนตัวหันไปสบตากับเจียงหยุนชาน แล้วถึงจะตระหนักได้ว่าตัวนางกับพี่ชายของนางอยู่ในสภาพจนตรอกไม่ต่างกัน

ใบหน้านั้นเปรอะเปื้อนจนแทบจำไม่ได้ ประกอบกับเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและเส้นผมที่มีกิ่งไม้กับวัชพืชติดอยู่หร็อมแหร็ม ดูแล้วเหมือนขอทานสองคนอย่างไรอย่างนั้น

เจียงป่าวชิงกลั้นขำไม่อยู่ นางหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด

“อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ พี่หยุนชาน ข้าขอไปต้มน้ำก่อนนะเจ้าคะ อีกประเดี๋ยวเราจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้ว”

เจียงหยุนชานรีบโบกมือเป็นการแสดงออกว่าเขาไม่ติดขัดอะไรทันที เขาพูดขึ้นอย่างเจ็บปวดใจ “อย่าเลยป่าวชิง ข้าไปต้มน้ำเองดีกว่า เจ้ารีบไปพักผ่อนก่อนเถอะ เจ้าดูตัวเจ้าเองสิ…”

เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานต่างเป็นคนที่ทำอะไรว่องไวเหมือน ๆ กัน หลังจากที่พวกเขาจัดการกับตัวเองเสร็จแล้ว คนในบ้านข้าง ๆ ก็มาหาราวกับคำนวณเวลาเอาไว้แล้วอย่างไรอย่างนั้น

ไป๋จีมาเชิญพวกเขาด้วยวาจาให้เกียรติ “นายท่านของข้าเชิญแม่นางเจียงกับคุณชายเจียงไปที่บ้านขอรับ”

เจียงป่าวชิงมองเจียงหยุนชานด้วยหางตา ตอนนี้เจียงหยุนชานเองก็กำลังเป็นห่วงฝูฉูอยู่เช่นกัน เขาจึงพยักหน้าตอบตกลง

ตอนที่ทั้งสามคนเข้าไปในห้อง พวกเขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศภายในห้องผิดปกติไป ฝูฉูกับเซยู่เสียคุกเข่าอยู่ตรงกลางห้อง นอกจากนี้ยังมีสาวน้อยอีกคนที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นด้วย

เจียงป่าวชิงมองไปทางพวกนาง หลังจากที่เพ่งมองดี ๆ ก็พบว่านางรู้จักสาวน้อยคนนี้

สาวน้อยคนนี้คือสาวใช้นิสัยเย่อหยิ่งที่ติดตามอยู่ข้างกายเซยู่เสียในครั้งแรกที่เจียงป่าวชิงพบเจอทั้งสองคน

ฝูฉูกับเซยู่เสียต่างก็เปลี่ยนเป็นชุดที่สะอาดสะอ้านแล้ว ผมเผ้าก็ถูดจัดการม้วนให้ดูดีและเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ดูเหมือนว่าสีหน้าของพวกนางจะไม่ค่อยดีนัก ออกจะค่อนข้างขาวซีดเหมือนกังวลอะไรสักอย่างอยู่ในใจ

กงจี้นั่งมองพวกนางอย่างเงียบ ๆ อยู่นาน จนกระทั่งเจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานเดินเข้ามา เขาถึงหันหน้าไปมอง ทว่ามองเพียงหางตาข้างเดียว หัวคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันทันที

“หืม! ใบหน้าเจ้า รอยเลือดนั้น…” กงจี้ไม่พอใจ สีหน้าท่าทางของเขาดูโมโหราวกับต้องการกินหัวคนอย่างไรอย่างนั้น

แต่เจียงป่าวชิงกลับลูบใบหน้าตัวเองอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อย ก็แค่แผลตื้น ๆ คงไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรอก”

กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามอดกลั้นอารมณ์วู่วามอยากด่าคนเอาไว้ จากนั้นเขาก็มองไป๋จี “ไป๋จี เจ้าไปหยิบน้ำมันยู่เหยียนมาให้นาง”

ไป๋จีพยักหน้า ก่อนจะเดินไปหยิบกระปุกใบเล็กมากที่ดูประณีตกลับมายื่นให้เจียงป่าวชิง “แม่นางเจียง รับนี่ไปเอาไว้ใช้ทาแผล ใช้ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับทาบริเวณแผลหนึ่งครั้ง เวลาเช้าและเย็นนะ”

เจียงป่าวชิงเปิดกระปุกดูอย่างสงสัย  ทันทีที่เปิดออก กลิ่นหอมสดชื่นพลันปะทะจมูก มันเป็นกลิ่นประหลาด ๆ ที่นางอธิบายไม่ถูก แต่กลิ่นของมันทำให้รู้สึกมีสมาธิเป็นอย่างยิ่ง

มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นยาดี

เจียงป่าวชิงพูดยิ้ม ๆ “ขอบคุณมากนะคุณชายกง”

กงจี้ทำเป็นไม่มองนาง เขาไม่สนใจเจียงป่าวชิงและหันไปมองฝูฉูแทน

ฝูฉูตัวสั่น นางคำนับคว่ำหน้าลงกับพื้น “ท่านชาย ข้าออกไปข้างนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ท่านชายเป็นห่วง โปรดท่านชายลงโทษข้าได้เลยเจ้าค่ะ”

เซยู่เสียรีบคำนับตามพี่สาว “คุณชายกง เสียเอ๋อร์เอาแต่ใจตัวเองเกินไป ข้าหนีออกจากบ้านมาโดยพลการ ทำให้พี่ฝูฉูต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย ข้า…”

กงจี้ขัดขึ้นอย่างมีอารมณ์ “พี่สาวเจ้าเป็นญาติสนิทของเจ้า เจ้าจะพูดไม่ได้ว่าเป็นการดึงมาเกี่ยวข้อง แต่การที่เจ้าเพียงคนเดียวทำนิสัยเอาแต่ใจ ทำให้อีกหลายคนต้องเข้าไปในป่าลึกเพื่อเจ้า เจ้าก็คิดเอาว่ามันควรหรือไม่ เจ้าดูสิ แต่ละคนมีสภาพแทบดูไม่ได้”

กงจี้ขึ้นเสียงอย่างโมโหใส่พวกนาง แน่นอนว่าฝูฉูกับเซยู่เสียถึงกับไม่กล้าลุกขึ้นเลยทีเดียว เซยู่เสียตัวสั่นเบา ๆ “ชะ… ใช่แล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ”

แม้อีกฝ่ายจะขอโทษอย่างสำนึก แต่กงจี้กลับไร้ซึ่งความสนใจ เขาเพียงพูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน “เจ้าก็รู้ว่าตัวเองรนหาที่ตายกระทำเรื่องไม่สมควร ฉะนั้นเจ้าก็ควรรู้ไว้ว่าอย่าทำอีก ต่อไปนี้ไปถ้าหากว่ายังเกิดเรื่องแบบนี้ขี้น เจ้าก็ไปตายคนเดียวเลย ไม่ต้องลากคนอื่นไปลำบากกับเจ้าเข้าใจหรือไม่ ?!”

เซยู่เสียสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง แต่กงจี้ยังคงดุดัน เขากระแทกเสียงสั่งว่า “ลุกขึ้น!”

จูฮัว สาวน้อยที่รับใช้เซยู่เสียรีบแสดงความเคารพกงจี้ จากนั้นนางก็ลุกขึ้นไปพยุงคุณหนูของตัวเอง

เซยู่เสียมองฝูฉูที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความลังเล

ฝูฉูพยายามกลั้นน้ำตา นางก้มหัวให้กงจี้อีกครั้ง “ท่านชาย ข้าไม่ได้จะปิดบังเรื่องที่เสียเอ๋อร์มาหาท่าน เพียงแต่สถานที่ที่ท่านชายพักอาศัยอยู่นี้นั้นยังคงเป็นความลับ เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากที่ข้าหายู่เสียพบแล้ว ข้าจะลอบพานางไปส่งที่บ้านอย่างเงียบ ๆ  แต่โชคร้าย เราสองพี่น้องลื่นตกสันเขา ดีที่มันไม่ลึกมาก ข้าน้อยจึงคิดแผนการขึ้นมาโดยสั่งให้จูฮัวนำปิ่นปักผมกลับมารายงานให้ท่านชายทราบ เดิมทีข้าคิดว่าถ้าหากไม่หลงเหลือซากกระดูกของพวกข้า อย่างน้อยก็ขอให้ท่านชายได้รับรู้สักนิด…”

“พอได้แล้ว!” กงจี้เอ่ยขัด เวลานี้เขาไม่อยากเงยหน้าขึ้นมามองนางเลยด้วยซ้ำ “น้องสาวเจ้าไม่รู้เรื่องก็ว่าแย่พอแล้ว เจ้ายังจะก่อเรื่องไปกับนางอีก เห็นแก่การที่ความผิดครั้งนี้เป็นการทำผิดครั้งแรก ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน เอาล่ะ ทีนี้ก็ลุกขึ้นเถอะ”

“ขอบคุณท่านชายที่ให้อภัยข้านะเจ้าคะ” ฝูฉูรีบเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว นางทำความเคารพกงจี้อีกครั้งถึงจะลุกขึ้นยืน

เจียงหยุนชานเห็นขอบตาของฝูฉูบวมแดง ใบหน้าก็ขาวซีดแทบไม่เหลือสีเลือด เห็นดังนั้นเขาก็รู้สึกไม่ดี เขาไม่อยากเห็นนางในสภาพน่าเวทนาอย่างนี้เลย

กงจี้เห็นสีหน้าของเจียงหยุนชาน เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นในใจ  จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้น “ฝูฉู”

ฝูฉูได้ยินว่ากงจี้เรียก นางจึงรีบถอนสายบัวทันที “เจ้าค่ะท่านชาย”

กงจี้มองเจียงหยุนชานอีกครั้ง จากนั้นเขาก็พูดอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ถึงแม้ว่าเจียงหยุนชานจะถือว่าเป็นเด็กอายุยังน้อยคนหนึ่ง แต่เขากลับมีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้าอย่างลึกซึ้ง ทันทีที่เขาได้ยินว่าเจ้าหายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ เขาก็ไม่สนใจอะไรใด ๆ และรีบออกจากบ้านเพื่อไปตามหาเจ้าทันที ความรักความห่วงใยนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยาก”

เจียงหยุนชานหน้าแดงลามไปถึงหู เขาอ้าปากอยากจะพูดอะไร แต่ความเขินอายที่ก่อตัวขึ้นอย่างกะทันหันหยุดเขาไว้ ยิ่งมองยิ่งเขินอาย ยิ่งเขินอายหน้าก็ยิ่งแดง เขาพูดอะไรไม่ออกเลย

‘แย่แล้ว!  แย่แล้ว ๆ ๆ’ เจียงหยุดชานได้แต่พูดซ้ำ ๆ ในใจ

เจียงป่าวชิงเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของพี่ชาย สายตาแหลมคมของนางก็เหล่ไปทิ่มแทงกงจี้ทันที ในใจพลันเกิดความรู้สึกว่ากงจี้กำลังจะจับคู่ เจียงหยุนชาน-ฝูฉู อย่างไรอย่างนั้น

กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้นจริง ๆ!

กงจี้ยกยิ้มมุมปากแล้วพูดกับฝูฉูว่า “หึ ๆ ในความคิดของข้า เจียงหยุนชานเป็นชายฉลาดที่หาได้ไม่ง่าย  เขาคู่ควรกับเจ้าโดยที่ไม่ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อเจ้า ฝูฉู เจ้าเต็มใจหรือไม่ ?”

เจียงป่าวชิงหลับตาลง  คำว่า ‘แย่แล้ว’ ผุดขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ

สองพี่น้องฝาแฝดประหนึ่งมีสายใยเชื่อมโยงกัน คนพี่เพิ่งคิดว่าแย่แล้วไปหยก ๆ ก็ตามมาด้วยคนน้อง

เวลานี้ใบหน้าของเจียงหยุนชานแดงก่ำ เขาอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าตัวเองต้องการจะพูดอะไรกันแน่

ทว่าทันใดนั้น ฝูฉูกลับทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นางคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาคลอเบ้า “ท่านชาย… ท่านชายเบื่อหน่ายข้าเลยคิดจะไล่ข้าใช่ไหมเจ้าคะ ? ข้าน้อยติดตามท่านชายมาตั้งแต่เล็ก โปรดท่านชายเมตตาข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ”

กงจี้ขมวดคิ้ว “อะไรของเจ้า ? ข้ามองหาสามีที่ดีให้กับเจ้า ใช่ว่าจะทำร้ายเจ้าสักหน่อย”

ฝูฉูที่ยังคงคุกเข่าอยู่ยืดสันหลังตั้งตรง จากนั้นนางก็พูดอย่างแน่วแน่ “ข้าน้อยไม่เต็มใจเจ้าค่ะ!”

ใบหน้าแดงก่ำของเจียงหยุนชานพลันเปลี่ยนกลายเป็นขาวซีด ขณะที่อารมณ์ของเจียงป่าวชิงสุดจะแปรปรวน นางบอกไม่ได้จริง ๆ ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร

หากให้พูดจากใจจริง เจียงป่าวชิงรู้ดีว่าตัวเองอคติกับฝูฉูอยู่พอสมควร การที่ฝูฉูไม่เต็มใจแต่งงานกับพี่ชายของนางก็ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับนางแล้ว  แต่ตอนนี้เมื่อเห็นสีหน้าขาวซีดไม่ต่างจากแผ่นกระดาษขาวของผู้เป็นพี่ชาย ลึก ๆ นางก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน

.