ตอนที่ 130.1 ปกปิดความลับ (1) (รีไรท์)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

“เรื่องเมื่อคืน มันเป็นอุบัติเหตุ ความจริงข้าไม่ได้ตั้งใจ หลังข้ารู้ว่าเจ้าคือสตรี พลันสวมเสื้อผ้าแก่เจ้าให้เรียบร้อย ดังนั้น เจ้าวางใจได้”

แม้ตงฟางไป๋จะพูดเช่นนี้ แต่ใบหน้าหล่อเหลานั้น หลังเอ่ยประโยคนี้จบ พลันแดงก่ำดุจมะเขือเทศ

เช่นเดียวกันกับตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาก็เช่นกัน

เพราะอายุมากขนาดนี้ เธอไม่เคยถูกผู้ชายเห็นร่างกายมาก่อน และไม่รู้ว่าตงฟางไป๋จะเห็นมากน้อยเพียงใด หรือเห็นทั้งหมด

สวรรค์! น่าอับอายยิ่งนัก!

เล่อเหยาเหยาเขินอายในใจไม่หยุด ใบหน้าเล็กก้มต่ำลง และใบหน้าของเธอก็แดงก่ำเช่นเดียวกับตงฟางไป๋

ดังนั้นเวลานี้ ทั้งสองคนต่างขวยเขินกันไม่หยุด ไม่มีผู้ใดพูดจา

บรรยากาศค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอึดอัด

ทั้งสองคนเงียบงันอยู่นาน กระทั่งสุดท้ายยังเป็นเล่อเหยาเหยาที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน

เพราะในใจเธอยังมีคำถามอีกมากมายที่ยังไม่ได้เอ่ยถามออกมา

“เช่นนั้น คนที่รู้ว่าข้าคือสตรี นอกจากท่าน ยังมีผู้อื่นอีกหรือไม่ หนานกงจวิ้นซีเขาก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เขารู้หรือไม่!”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าร้อนใจ

เมื่อได้ยินตงฟางไป๋ส่ายหน้า ยิ้มพร้อมเอ่ยว่า

“ตอนนั้นจวิ้นซีเมามายจนหลับไป ดังนั้นเขาจึงยังไม่รู้ว่าเจ้าคือสตรีแน่นอน”

“อืม เช่นนั้นก็ดี”

เมื่อได้ยินตงฟางไป๋เอ่ยเช่นนี้ เล่อเหยาเหยาที่เดิมทีหวั่นใจ ก็สงบใจลงในที่สุด

เพราะหากเป็นผู้อื่น เธอปรารถนาให้คนที่รู้ความลับของเธอคือตงฟางไป๋

มิใช่อย่างอื่น แต่เพราะเธอมั่นใจในตัวเขา!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาโล่งอกอย่างที่สุด

เพราะวันนี้หลังตื่นขึ้นมา ใจเธอวิตกกังวล อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา

เพราะเธอรักทะนุถนอมชีวิตเล็กๆ นี้อย่างยิ่ง หากคนที่พบความลับของเธอเมื่อคืนคือพญายม ชีวิตเธอต้องจบสิ้นแน่

หากเป็นหนานกงจวิ้นซี พญายมคือศิษย์พี่ใหญ่ของเขา เขาต้องบอกเรื่องนี้แก่พญายมแน่ เช่นนั้นจุดจบเธอก็มีเพียงอย่างเดียว

แต่หากเป็นตงฟางไป๋ เธอกลับไม่มีสิ่งใดให้กังวล

ขณะเล่อเหยาเหยาถอนหายใจอย่างโล่งอก ก็เห็นตงฟางไป๋เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดจา มองเธออยู่เงียบๆ

เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยามีสีหน้าเก้อเขิน พลันคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ เอ่ยปากถามว่า

“ท่านไม่ถาม ว่าเหตุใดข้าจึงแต่งกายเป็นขันทีหรือ”

“หากข้าถาม เจ้าจะบอกหรือไม่”

สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋เพียงยิ้มที่มุมปาก ก่อนเอ่ยถามย้อนกลับไป

เมื่อได้ยิน เล่อเหยาเหยาตะลึงเล็กน้อย พลันส่ายหน้า ก่อนเอ่ยตามความจริงว่า

“ไม่บอก”

เพราะคำถามนี้ กระทั่งเธอเองก็ยังไม่มีคำตอบ!

ตั้งแต่เธอย้อนเวลามายังยุคสมัยที่แปลกตานี้ เธอมาแทนที่และใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นเท่านั้น

กระทั่งเธอยังไม่รู้ถึงสถานะของเจ้าของร่างนี้ และไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องปลอมตัวเป็นขันที

ดังนั้น หากตงฟางไป๋เอ่ยถามถึงเหตุผลนี้กับเธอจริง เธอคงไม่รู้จะตอบอย่างไรเช่นกัน!

ส่วนตงฟางไป๋ที่อยู่ตรงข้าม หลังได้คำตอบที่แท้จริงจากเล่อเหยาเหยา กลับไม่โมโหแม้แต่น้อย และยังยิ้มมุมปาก ก่อนเอ่ยว่า

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าจะไม่เอ่ยถาม”

เพราะเขารู้ว่าทุกคนต่างมีความลับของตน ดังนั้น เขาจึงเคารพเธอ

เพราะอาจมีสักวันหนึ่ง เขาคงได้ยินความจริงจากปากเธอก็เป็นได้

สำหรับคำพูดของตงฟางไป๋ ดวงตาคู่งามเล่อเหยาเหยาเป็นประกายครู่หนึ่ง เพราะประโยคเดียวของเขา ในใจจึงอบอุ่นขึ้น

เฮ้อ…

ช่างเป็นชายหนุ่มที่เคารพผู้อื่นเสียจริง!

ชาติที่แล้วเธอต้องมีบุญวาสนาเพียงใด ชาตินี้ถึงได้พบกับพี่ชายที่ดีขนาดนี้!

พอคิดถึงตรงนี้ ในใจเล่อเหยาเหยาหวานชื่นขึ้น เพราะมีความสุข กระทั่งบนใบหน้างามนั้น ก็ค่อยๆ ปรากฎรอยยิ้มที่อ่อนหวานถูกใจผู้คน

“พี่ไป๋ ท่านเป็นคนดียิ่งนัก”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยปากชื่นชม โดยไร้การประจบสอพลอ

เพราะเธอรู้สึกเช่นนี้จริงๆ ตงฟางไป๋เป็นคนดีคนหนึ่ง!

เมื่อตงฟางไป๋ได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา และมองรอยยิ้มดุจบุปผาของเธอบนใบหน้าเล็ก ดวงตาคู่งามที่โค้งงอขึ้น สดใสบริสุทธิ์ งดงามดุจน้ำพุไร้สิ่งเจือปน สะอาดบริสุทธิ์ เปล่งประกายจับใจคน!

เห็นเช่นนั้น ตงฟางไป๋หวั่นไหวในใจ ดวงตาดำขลับที่มองเล่อเหยาเหยา ปรากฏความตกตะลึง หลงใหลวาบขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้ตัว

เล่อเหยาเหยาที่อยู่ตรงข้าม คล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“พี่ไป๋ เช่นนั้นท่านช่วยปกปิดความลับนี้ได้หรือไม่!”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยปากขึ้น และสายตาที่มองตงฟางไป๋ เปี่ยมด้วยการอ้อนวอน

ท่าทางคิ้วเข้มขมวด ดวงตาคู่งามหยาดเยิ้ม ปากเล็กเผยอขึ้น น่าประทับใจนั้น ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ทำให้คนที่เห็นต่างมิอาจปฏิเสธคำขอร้องของเธอได้ลง

เห็นสายตาอ้อนวอนของเล่อเหยาเหยา และน้ำเสียงแฝงความออดอ้อนนั้น มองดูแล้วราวกับแมวตัวน้อยที่น่ารักตัวหนึ่ง ทำให้ตงฟางไป๋เห็นแล้ว อดใจอ่อนไม่ได้

ทันใดนั้น รีบพยักหน้าพลางเอ่ยขึ้นโดยไม่คิดทันที

“ได้”

“ฮ่า ๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ไป๋ดีที่สุด!”

หลังได้รับคำตอบของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาร้องขึ้นมาอย่างมีความสุข

รอยยิ้มดุจบุปผาบนใบหน้านั้น ดุจแสงอาทิตย์ในเดือนสาม ที่อบอุ่นประทับใจคน และดวงตาโค้งแฝงรอยยิ้มของเธอ ดุจหยกที่บริสุทธิ์อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งแจ่มชัด บริสุทธิ์ เป็นประกายจับใจ!

อีกทั้งตงฟางไป๋พบว่า รอยยิ้มของคนตัวเล็กตรงหน้า ดุจมีพลังในการดึงดูด

และคำพูดของเธอ ทำให้ในใจเขาดุจอาบด้วยน้ำผึ้งที่หอมหวาน

เธอเอ่ยว่า เขาดีที่สุด!

ฮ่า ๆ

พอคิดถึงตรงนี้ ตงฟางไป๋ก็อดยิ้มให้แก่เล่อเหยาเหยาไม่ได้ จึงได้แต่ยิ้มมองหน้ากันกับเธอ

เวลานี้ พระอาทิตย์เจิดจ้า แสงแดดยามบ่าย เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ไร้ที่สิ้นสุด แผดเผาลงมาทั่วพื้นดิน ดุจกองไฟขนาดใหญ่ที่กำลังลุกโชน

พวกเล่อเหยาเหยาเวลานี้กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปี

ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีนี้ ใบไม้งอกงามหนาแน่น กิ่งและใบตัดสลับกัน ทำให้บดบังแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงด้านนอกไว้อย่างแน่นหนา

เหลือเพียงแสงดุจดาวหลากหลายที่สาดส่องลงอย่างอ่อนโยนนั้น ทำให้รอบด้านดูดุจห้วงฝัน

สายลมพัดผ่านมา ต่างนำพาไอความร้อนและกลิ่นของยาจางๆ มาด้วย ชวนให้หลงใหลอย่างยิ่ง!

ใต้ต้นไม้ใหญ่อายุร้อยปีเขียวชอุ่มนั้น กำลังมีชายหนุ่มหล่อเหลาสองคนยิ้มแย้มให้แก่กัน ภาพนั้นงดงามดุจภาพสีน้ำสีสันงดงาม ดุจในบทกวีภาพวาด ทำให้คนรู้สึกสบายตาสบายใจ น่าตะลึงจับใจ!

ทว่าตอนบ่าย ที่ทำให้คนมีความสุขนี้ก็ต้องผ่านไป เมื่อมีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น ก่อนจะทำลายบรรยากาศที่งดงามนี้ลง

เมื่อได้ยินเสียงประหลาดนั้น ดังออกมาจากท้องของตน ทำให้เล่อเหยาเหยาที่ยิ้มแย้มอดชะงักงันไม่ได้ พลันมีสีหน้าอึดอัดและละอายใจขึ้นมาทันที

ก่อนยื่นมือลูบท้ายทอยอย่างไร้เดียงสา ดวงตาคู่งามของเล่อเหยาเหยาโค้งขึ้น ก่อนหัวเราะขึ้นพลางเอ่ยกับตงฟางไป๋ว่า

“พี่ไป๋ ข้าหิวแล้ว มีของอร่อยให้ทานหรือไม่”

“ฮ่า ๆ มีแน่นอน เจ้ารอประเดี๋ยว”

เห็นเล่อเหยาเหยาหัวเราะอย่างละอายใจ และแฝงความขวยเขิน ทำให้ตงฟางไป๋อดยิ้มไม่ได้ พลันยืนขึ้นเดินเข้าไปในห้อง ไม่นานก็เห็นเขาถือจานบางอย่างกลับมา

หลังจากเล่อเหยาเหยาเห็นของบนจานอย่างชัดเจนแล้ว ดวงตาคู่งามพลันเป็นประกาย ก่อนเอ่ยอย่างดีใจว่า

“อา ขนมดอกกุ้ยฮวาและเสี่ยวหลงเปา นี่เป็นของที่ข้าชอบทั้งนั้นเลย”

“ฮ่า ๆ หากชอบก็ทานให้มากหน่อย ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก”

เห็นสีหน้าดีใจคล้ายเด็กน้อยผู้หนึ่งของเล่อเหยาเหยา ทำให้คนที่เห็นรักเอ็นดูจากใจ

ส่วนเล่อเหยาเหยาที่ได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ ก็หยิบขนมดอกกุ้ยฮวาขึ้นมากินอย่างไม่เกรงใจ

เมื่อได้ลิ้มรสถึงความหอมหวานนั้น ทำให้เล่อเหยาเหยาชื่นชมอย่างที่สุด

“ฮ่า ๆ อร่อยมาก พี่ไป๋ ที่แท้ท่านก็ชื่นชอบทานของสองสิ่งนี้เช่นกัน ครั้งก่อนองค์ชายเจ็ดเล่าว่าท่านไม่ชอบกินของหวานมิใช่หรือ!”

เล่อเหยาเหยาจำได้ ครั้งก่อนในรถม้า หนานกงจวิ้นซีเอ่ยว่า พวกเขาสามคนต่างไม่ชื่นชอบขนมหวาน!

ส่วนตงฟางไป๋เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เพียงยิ้มจางๆ ก่อนเอ่ยว่า

“ฮ่า ๆ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ชอบขนมหวาน จึงไม่รู้ว่าที่แท้ขนมหวานก็อร่อยถึงเพียงนี้”

ตงฟางไป๋เอ่ยจบ ก็หยิบขนมดอกกุ้ยฮวาขึ้นมาทาน

ก่อนหน้านี้เขาไม่แตะต้องขนมหวานพวกนี้แน่นอน

แต่เพียงเธอชื่นชอบ เขาก็ชื่นชอบเช่นกัน

อีกทั้ง เดาว่าวันนี้เธอต้องกลับมา เขาจึงให้คนจัดเตรียมของพวกนี้ไว้ เพราะเห็นเธอทานอย่างเอร็ดอร่อย พออกพอใจ จึงทำให้รู้สึกว่าบนโลกนี้ งดงามเช่นนี้เอง

เพียงเห็นเธอดีใจ ใจของเขาก็มีความสุขไปด้วย

สำหรับความคิดในใจของตงฟางไป๋ เล่อเหยาเหยาย่อมไม่รับรู้

เพราะเธอตอนนี้ สนใจเพียงอาหารเลิศรสตรงหน้า

ดังนั้น จึงไม่ทานไม่หยุด

ท่าทางการทานนั้น แม้จะไม่น่ามอง แต่ในสายตาของตงฟางไป๋ กลับรู้สึกว่าเรียบง่ายไร้ที่เปรียบ

 เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาทานขนมดอกกุ้ยฮวาและเสี่ยวหลงเปาจานใหญ่จนหมดเกลี้ยง ดวงตาดำขลับของตงฟางไป๋ปรากฎความแปลกใจขึ้นมา

เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสตรีที่ทานเยอะขนาดนี้

ส่วนเล่อเหยาเหยาที่จัดการเสี่ยวหลงเปาลูกสุดท้ายหมดแล้ว กำลังเลียเศษซาลาเปาบนนิ้วอย่างเอร็ดอร่อย

ลิ้นเล็กสีชมพูที่กำลังเลียนิ้วของตนและท่าทางนั้น คล้ายแมวตัวน้อยจอมตะกละ แสนน่ารักตัวหนึ่ง

เธอกลับไม่รู้เลยว่าท่าทางนี้ของตน ในสายตาของตงฟางไป๋ ทำให้เขาอดตกตะลึงในใจไม่ได้

ภายในสมอง อดทะลักภาพเหตุการณ์เมื่อคืนออกมาไม่ได้

คิดถึงภาพคนตัวเล็กนี้ผมสยายลงมา ดำสนิทเต็มสองไหล่

เสื้อผ้าถูกถอดลงจนหมด  เหลือเพียงผ้าพันหน้าอกตัวบางเลือนรางนั้น

ภาพนั้นหลากหลายอารมณ์ งดงามโดยธรรมชาติ และวนเวียนอยู่กับเขาทั้งคืน

ในใจเขาพัวพันไม่หยุด

ยิ่งคิด สายตาตงฟางไป๋ที่มองเล่อเหยาเหยา ยิ่งสนใจมากขึ้น

ก่อนที่เล่อแหยาเหยาจะค่อยๆ รับรู้ถึงสายตาจับจ้องตนของตงฟางไป๋ แต่เธอกลับคิดเพียงว่า ท่าทางการทานอาหารและจำนวนการทานของตนเมื่อครู่ ทำให้ตงฟางไป๋ตกใจ

เพราะเสี่ยวหลงเปาและขนมดอกกุ้ยฮวาจานใหญ่เมื่อครู่ ถือได้ว่ามีจำนวนมาก ตงฟางไป๋ทานเพียงสองชิ้น ทั้งหมดที่เหลือล้วนตกอยู่ในท้องของเธอ

เมื่อครู่ทานอย่างเอร็ดอร่อยจึงไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้พบว่าตอนทานค่อนข้างมากทีเดียว จึงไม่แปลกที่ตงฟางไป๋จะมองเธอด้วยสายตาแปลกประหลาดเช่นนี้