ฉินมู่ เจ๋อหัวหลี และคนอื่นๆ สะท้านหัวใจ พวกเขารีบหันไปยังทิศทางเสียงและเห็นฝ่ามือหนึ่งคว้ากล่องเล็กไป และฝ่ามือนั้นก็เป็นของชายผู้หนึ่งที่แบกขวานใหญ่สวมหมวกไม้ไผ่สาน เขามีเอวกลม แขนใหญ่ คิ้วหนา และดวงตาโต

เขาดูเหมือนคนตัดไม้ที่เพิ่งวางไม้ฟืนอันแบกเอาไว้อยู่ แต่ทว่า มันก็มีวี่แววของความเป็นบัณฑิตอันเข้มข้นในใบหน้าของเขา แตกต่างไปจากเครื่องแต่งกายและท่วงทีกิริยา

กล่องเล็กเมื่ออยู่ในมือของเขาก็ยิ่งดูเล็กและบอบบาง

“นักบุญคนตัดไม้!” ฉินมู่ปีติยินดี

เจ๋อหัวหลีตื่นตระหนก “ครูบาสวรรค์!”

ฉีเจี่ยวอี๋ซึ่งยังคงคุกเข่าอยู่อีกข้างหนึ่ง รีบเหลือบแลไปแลตกตะลึง นี่คือบุุคคลที่หมายจะบูชายัญสวรรค์หลัวฝู และบีบให้ฟู่ยื่อลัวต้องลงนามในสัตยาบันภูติบดี!

เขาลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ และก้าวถอยไป หมายจะออกจากที่นี่ แต่ก็ไม่กล้าพอ

หัวทั้งสามและแขนทั้งหกของชื่อซีเหี่ยวแห้ง เขาเงยหน้าด้วยความยากลำบากและมองนักบุญคนตัดไม้ขึ้นๆ ลงๆ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มหยัน “เจ้าต้องการมันหรือ เจ้ากล้ารับมันไปหรือ”

นักบุญคนตัดไม้ยกกล่องสี่เหลี่ยมนี่ขึ้นมา และสำรวจตรวจตราดู “ทำไมข้าจะไม่กล้าล่ะ วรยุทธเจ้ายังไม่ฟื้นฟูกลับมา กายเนื้อเจ้าก็ว่างเปล่า หากว่าเจ้าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เต็มร้อย ข้าก็คงจะอ่อนข้อให้เจ้าอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ ขนาดความอยากจะต่อสู้กับเจ้าข้ายังไม่มีเลย รับมันไป–”

เขาเฉือนข้อมือของตนเอง และโลหิตเทวะก็ไหลออกจากบาดแผล

ชื่อซีจ้องไปที่โลหิตเทวะที่ไหลออกจากอีกฝ่าย เขาข่มระงับตนเองไม่ได้อีกต่อไป เขาอ้าปากและโลหิตเทวะก็ไหลออกจากข้อมือของนักบุญคนตัดไม้ไปยังปากทั้งสามของเขา

เมื่อรับโลหิตของนักบุญคนตัดไม้ไป ร่างกายอันแห้งซูบของเขาก็ค่อยๆ พองขยายขึ้นมาด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โลหิตไหลเวียนในเส้นเลือดของเขา และการเต้นของหัวใจก็ยิ่งดังขึ้นและดังขึ้น อวัยวะเหี่ยวฝ่อทั้งหลายในร่างกายเริ่มจะฟื้นฟูการทำงานขึ้นมาทีละอย่าง

ปราณชีวิตของเขามีชีวิตชีวามากขึ้นทุกที ใบหน้าของเขาเริ่มมีสีฝาด และได้รูปโฉมดั้งเดิมกลับคืนมา

ด้วยหน้าตาของเขา อาจจะนับได้ว่าชื่อซีเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าทั้งสามบนศีรษะทั้งสามของเขาเหมือนกันไม่มีผิด มีคิ้วอันคมกริบราวกระบี่ รังสีสังหารระหว่างคิ้วของเขานั้นหนักหน่วง และนั่นก็อาจจะเพราะว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นเพชฌฆาตแห่งยุคสมัยแสงฉาน

รัศมีของเขาแข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น ไม่นานนักเขาก็ทำให้ฉินมู่ เจ๋อหัวหลี และฉีเจี่ยวอี๋ร่างสั่นเทิ้มไปหมด พวกเขาต้องถอยกรูดๆ ออกไป

เมื่อเขาฟื้นฟูได้ไม่มากก็น้อย บาดแผลบนข้อมือของนักบุญคนตัดไม้ก็สมานและไม่หลั่งโลหิตอีกต่อไป

“จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าแห้งเหี่ยวไปกว่าสองหมื่นปี เจ้าก็ค่อยๆ บำรุงมันขึ้นมาใหม่ละกัน”

สายตาของนักบุญคนตัดไม้อยู่ที่กล่องเล็กตลอด เขาไม่สบตามองไปยังชื่อซีเลย ผ่านไปพักหนึ่ง เขาเอ่ยถาม “ฉินมู่ กล่องเล็กนี้มาจากที่ไหน”

ฉินมู่กล่าว “ศิษย์พี่ใหญ่ไปเจอมันเข้า”

“เขาล่ะ?”

นักบุญคนตัดไม้ตื่นตระหนก พลางถาม “ตัวเขาอยู่ไหน”

“ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ปรากฏตัว ข้าได้พบกับมังกรชั่วร้ายที่เขาสะกดข่มเอาไว้ในแดนโบราณวินาศ ข้าสังหารมังกรชั่วนั่น และทรายดาวในกระถางของศิษย์พี่ใหญ่ก็จัดเรียงแสดงแผนที่ภูมิประเทศจำนวนมาก แต่ทว่า เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกมา”

ฉินมู่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าว “บริเวณรอบๆ แท่นประหารเทพของดาวผิดประหลาดนี้ตรงกับหนึ่งในแผนที่พวกนั้น เมื่อข้าค้นหาตามแผนที่ชี้ไป ข้าก็เจอเส้นทางมายังที่นี่และค้นพบกล่องเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่ใช้พยุหะสังหารวงโคจรหมู่ดาวสวรรค์เพื่อเก็บกล่องเล็กนี้ไว้ และเขาทิ้งโจทย์พีชคณิตยากๆ หนึ่งข้อ ข้าแก้โจทย์ดังกล่าวและพบว่ามันเป็นเวลาสามหมื่นห้าพันปี”

“สามหมื่นห้าพันปี…”

นักบุญคนตัดไม้พึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้ “ทำไมเจ้าเซ่อนี่ถึงต้องทิ้งปริศนาเอาไว้มากมาย หรือเขากำลังบอกใบ้อะไรข้า การที่เขาทิ้งแผนที่ภูมิประเทศมากมายพวกนี้เอาไว้มีความหมายว่าอย่างไรกัน…แผนที่นี้ไม่ได้ทิ้งไว้ให้เจ้า พวกมันไว้สำหรับข้า เขาต้องการให้ข้าค้นหาเบาะแสที่เขาทิ้งเอาไว้ นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นหรอกที่เจ้าไปพบเจอแผนที่ที่เขาทิ้งเอาไว้”

ฉินมู่กล่าว “สามหมื่นห้าพันปีก่อน เป็นยุคสมัยแสงฉาน ผู้อาวุโสชื่อซีนี้มาจากเมื่อสามหมื่นห้าพันปีก่อน”

นักบุญคนตัดไม้ผงกหัว “ข้ารู้ เมื่อข้าเห็นสามหัวหกแขนของเขา ข้าก็รู้ว่าเขามาจากยุคสมัยแสงฉาน ครั้งหนึ่งข้าเคยพบกับซากโบราณของยุคสมัยนั้น และค้นพบว่าผู้คนในยุคสมัยนั้นยกย่องว่าสามหัวหกแขนคือกายเนื้อที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นกายาที่มีกำลังฝีมือเหนือธรรมดา สามารถย้ายภูเขาและขับไล่ดวงดาว กล่องเล็กนี่ก็มาจากยุคนั้นเช่นกัน รูปร่างของมันเหมือนกับมีดปริศนาประหารเทพของสภาสวรรค์ที่ว่าๆ กัน ข้าไม่รู้ว่าใครลอกเลียนแบบใคร”

ฉีเจี่ยวอี๋ไม่กล้าเปล่งวาจา แต่เขาก็ยิ้มหยันในใจ ก็แน่อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นสภาสวรรค์แสงฉานที่ลอกเลียนแบบมีดปริศนาประหารเทพของสภาสวรรค์ของพวกข้า!

ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและนำเอาป้ายประกาศิตทัพที่ผู้เฒ่าชิงหวงมอบให้เขาออกมา “ครูบาศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์พี่ใหญ่ทิ้งวัตถุนี้เอาไว้กับผู้เฒ่าชิงหวง แม้แต่ผู้เฒ่าก็ไม่รู้ว่าป้ายประกาศิตทัพนี้มาจากยุคสมัยใด”

นักบุญคนตัดไม้รับป้ายประกาศิตทัพมา และตรวจตราดู เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “ผู้เฒ่าชิงหวง? เจ้าหมายถึงจักรพรรดิเขียวใช่ไหม เจ้าหมอนี่อารมณ์ร้ายตลอดเวลา และมีท่าทีเย็นชากับทุกๆ คน แต่ทว่าจริงๆ แล้วเขามีหัวใจอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง นี่เขาได้นินทาว่าร้ายข้าเสียมากมายหรือเปล่า”

ฉินมู่รีบส่ายหัวและกล่าวอย่างมั่นเหมาะ “ไม่หรอก! ไม่ใช่อย่างแน่นอน! ผู้อาวุโสชิงหวงทั้งสุภาพและโอบอ้อมใจดี เขานั้นเต็มไปด้วยมารยาท และถึงกับไปส่งข้าออกไปด้วยตนเอง เขาไม่ด่าทอใครเลยสักคน!”

“เขาไม่ทำก็เหลือเชื่อไปล่ะ! เขาจะต้องด่าทอข้าแน่ๆ ทั้งจักรพรรดิก่อตั้งอีก! เขาจะต้องขับไล่ไสส่งเจ้าออกมา!”

นักบุญคนตัดไม้โยนป้ายประกาศิตทัพกลับไปให้เขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้ไส้รู้พุงเขาดี ข้าไม่รู้ว่าป้ายประกาศิตทัพนี้มาจากสมัยไหน และข้าก็ไม่รู้ว่ามันถูกทิ้งไว้เมื่อใด เจ้าควรจะเก็บมันเอาไว้ก่อน”

“ช้าก่อน!”

สายตาของชื่อซีจับจ้องไปที่ป้ายประกาศิตทัพในมือของฉินมู่ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ให้ข้าดูป้ายประกาศิตนั่นหน่อย ข้าอาจจะรู้จักมัน!”

ฉินมู่มองไปยังนักบุญคนตัดไม้ ซึ่งก็ผงกหัวให้เขาน้อยๆ

ฉินมู่เดินเข้าไปและส่งป้ายประกาศิตทัพให้แก่ชื่อซี ชื่อซีพลิกดูมันซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนที่จะกล่าว “นี่คือป้ายประกาศิตทัพจากยุคสมัยหลงฮั่น ในระหว่างสมัยแสงฉาน มีซากโบราณยุคหลงฮั่นอยู่มากมาย ข้าเคยเห็นของทำนองนี้มาก่อน เจ้าเด็ก ข้าจะคืนนี่ให้เจ้า”

ฉินมู่รับป้ายประกาศิตทัพกลับมา และกล่าวด้วยความฉงนฉงาย “ศิษย์พี่ใหญ่ส่งป้ายประกาศิตทัพจากยุคสมัยหลงฮั่นให้ผู้เฒ่าชิงหวงเก็บรักษา นี่มันมีความหมายว่าอย่างไรกัน ผู้เฒ่าชิงหวงเป็นถึงจ้าวผู้ปกครองทิศอุดรในช่วงสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง การที่ศิษย์พี่ใหญ่ร้องขอให้เขาเก็บรักษาสิ่งนี้เอาไว้ เขาจะต้องคิดว่ามันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเป็นแน่ แล้วความลับเบื้องหลังสิ่งนี้มันคืออะไร”

นักบุญคนตัดไม้แย้มยิ้ม “ในเมื่อเขาทิ้งแผนที่ภูมิประเทศเอาไว้มากมาย ก็ค่อยๆ ค้นหาตามแผนที่เหล่านั้นดู เจ้าจะต้องไขปริศนานี้ได้ไม่ช้าก็เร็ว”

ฉินมู่รับคำ

ชื่อซีกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “สหายเต๋าท่านนี้ กล่องเล็กนั่นเป็นของสภาสวรรค์แสงฉานของข้า ในเมื่อเจ้ากำนัลโลหิตให้แก่ข้า ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้าเด็กผู้นี้ก็ถือว่าลบล้างกันไป”

นักบุญคนตัดไม้หันไปมองเขาในที่สุดและกล่าวอย่างจริงจัง “สหายเต๋าเฒ่า กล่องเล็กนี้ศิษย์คนโตของข้าทิ้งเอาไว้ให้ข้า ดังนั้นมันเป็นของข้า ข้าย่อมให้แก่เจ้าไม่ได้ สาเหตุที่ข้ากำนัลโลหิตให้แก่เจ้านั้นก็เพราะว่า หากพวกเราฉีกหน้าลงมือกันจริงๆ ข้าคงไม่มีหน้าไปทุบตีเจ้า ดังนั้นข้าจะช่วยให้เจ้าฟื้นฟูวรยุทธกลับมาบางส่วนก่อน หากว่าพวกเราฉีกหน้าต่อยตีกัน ข้าจะได้ทุบตีเจ้าได้อย่างสะดวกใจ ข้าเพิ่งขับไล่ฟู่ยื่อลัวไป และมาที่นี่เพื่อค้นหา ข้าถึงได้เห็นเจ้ากำลังรังแกศิษย์ของข้าและผู้เยาว์สองคนตรงนั้น พฤติกรรมของเจ้าไม่เหมาะสมกับฐานะผู้อาวุโส ดังนั้นข้าจึงไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร”

ชื่อซียิ้มหยัน กายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขายังไม่ฟื้นฟูกลับมาโดยสมบูรณ์ เขาจึงค่อนข้างขยาดคนตัดไม้ผู้นี้อยู่เล็กน้อย “ต่อให้เจ้าได้กล่องเล็กของข้าไป มันก็ไม่มีประโยชน์ โดยปราศจากการจัดเรียงอักษรรูนของสภาสวรรค์แสงฉานของข้า เจ้าก็ไม่อาจคลายผนึกเปิดมันออกได้”

นักบุญคนตัดไม้เผยยิ้ม และกล่องเล็กก็ลอยขึ้นจากมืออันหยาบกร้านของเขา นิ้วของเขาเคลื่อนไหวไปมา อักษรรูนแปลกประหลาดพวยพุ่งจากปลายนิ้วของเขา และเข้าไปในกล่องเล็กนั้นตามๆ กัน เขากล่าวอย่างสบายอารมณ์ “ข้าสนใจเรื่องต่างๆ มากมายจนเกินไปทำให้วรยุทธของข้าล่าช้า ข้าเคยไปยังซากโบราณของยุคสมัยแสงฉานหลายต่อหลายครั้ง และข้าก็ยังรู้เกี่ยวกับอักษรรูนในยุคสมัยของเจ้า”

กล่องเล็กสะเทือนกรอกแกรก เมื่อดาลที่ลั่นผนึกมันเอาไว้กำลังเปิดและส่งเสียงมาจากข้างใน เสียงนั้นดังถี่ยิบขึ้นทุกที ราวกับดาลข้างในกำลังคลายออกมา ใจกลางของดาลผนึกกำลังหดถอยกลับไปทีละอันๆ

สีหน้าของชื่อซีแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง และรัศมีของเขาก็พวยพุ่งอย่างมหันต์ เขาหมายที่จะลงมือโจมตี แต่ก็ยับยั้งตนเองเอาไว้!

ในเวลาเดียวกันนั้น เจ๋อหัวหลี และฉีเจี่ยวอี๋ก็มีสีหน้าซีดเผือดพลางสบถด่าในใจ นักบุญคนตัดไม้เป็นศัตรูของสภาสวรรค์และเผ่ามาร หากว่าเขาเปิดมีดปริศนาประหารเทพออกมา เขาก็อาจจะใช้ชีวิตทั้งคู่เซ่นสังเวยมีด!

ทุกครั้งที่เปิดมีดปริศนาประหารเทพ มันต้องการเครื่องเซ่น มันต้องการโลหิตของมนุษย์เพื่อหล่อเลี้ยง!

กิริยาท่าทีของคนตัดไม้ผู้นี้ดูไม่เลว ข้าหวังว่าเขาคงจะไม่เซ่นสังเวยพวกข้า แต่เซ่นสังเวยเจ้าคนสามหัวหกแขนผู้นี้แทน

หัวใจพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัวระคนกับความคาดหวัง พวกเขาอยากจะเห็นศาสตราวุธอันดุร้ายที่เก็บอยู่ในกล่อง!

ทันใดนั้น กล่องเล็กก็เปล่งเสียงออกมาๆ เบาๆ และเปิดขึ้นเล็กน้อย

ทันใดนั้น แสงโลหิตก็พวยพุ่งขึ้นไปบนนภากาศ และย้อมทุกๆ คนให้เป็นสีแดง แม้แต่เส้นผมของพวกเขาก็ยังเป็นสีแดง

บนท้องฟ้า เมฆโลหิตหลั่งไหลเข้ามาราวกับว่ามวลเลือดกำลังหมุนวนไป ใจกลางของเมฆวังน้ำวนนี้อยู่ตรงกับกล่องเล็กพอดิบพอดี

แม้ว่ามันจะสาดส่องแสงสีเลือดออกมาและดูอบอุ่น แต่ทุกคนรู้สึกราวกับตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง

รังสีฆ่าฟันจากกล่องได้ทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาเยือกแข็ง ไม่อาจจะกระดุกกระดิกได้ ดวงวิญญาณของพวกเขาก็ถูกแช่แข็งเช่นกัน ราวกับว่าหากพวกเขากระดุกกระดิกสักนิด แสงมีดก็จะฟาดฟันเข้ามาและคร่าชีวิตพวกเขาไปเสีย!

“อาวุธดุร้ายอะไรอย่างนี้!”

นักบุญคนตัดไม้มีสีหน้าอันเครียดขรึม และยกกล่องเล็กขึ้นมา มืออีกข้างของเขาจับที่ฝาก่อน และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกเจ้าสู้กันมาสักพักแล้วเพื่อกล่องเล็กนี่ ใช่หรือไม่ ตอนนี้ ข้าจะเปิดให้พวกเจ้าได้ดู!”

ชื่อซีเผยสีหน้าหวาดกลับและรีบถอยออกห่างไปยังที่ไกลๆ

ฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลีก็หมายจะไปด้วย แต่พวกเขาทำไม่ได้ จึงได้แต่จ้องมองนักบุญคนตัดไม้เปิดกล่อง!

กล่องค่อยๆ เปิดออก ขณะที่สีหน้าของนักบุญคนตัดไม้ค่อยๆ เครียดเข้มขึ้นทุกทีๆ มือของเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย และดูเหมือนว่าเขาจะต้องใช้กำลังแรงอยู่ไม่เบา

เขากำลังสยบฤทธานุภาพอันร้ายกาจในกล่อง และพลันกู่ร้องออกมา พวยพุ่งพลังเต็มพิกัด เขาสะกดข่มรัศมีอันดุร้ายและเปิดกล่อง!

ฉินมู่ เจ๋อหัวหลี และฉีเจี่ยวอี๋อดไม่ได้ที่จะมองเข้าไปในกล่อง พวกเขาเห็นศีรษะมนุษย์อยู่ข้างใน!

ศีรษะมนุษย์นี้ไม่มีผิวหนังชั้นนอก มันเหมือนกับว่าจะถูกถลกออกไป แต่ทว่าข้างใต้นั้นก็ไม่มีสีสันของโลหิต ภายใต้ผิวหนัง เลือดและเนื้อของเขาใสดุจแก้วผลึกราวกับว่ามันก่อขึ้นมาจากแสง

ข้างหลังศีรษะ มีหนวดรากอันดูเหมือนกับเส้นเลือดและเนื้อเชื่อมต่อกับด้านในของกล่อง ราวกับว่ามันงอกเงยขึ้นมาจากกล่อง

ไม่รู้ว่าสภาสวรรค์แสงฉานใช้เวทมนตร์ใดในการหลอมรวมศีรษะยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิเข้ากับกล่อง

ศีรษะเหมือนแก้วผลึกนี้ยังไม่ตาย และเขาก็ลืมตาขึ้นมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแสงสีขาวที่อัดแน่นอยู่ข้างในและไม่ปลดปล่อยออกมา ไม่มีแก้วตาดำ มีแต่สีขาวล้วนๆ ราวกับว่ามันไม่มีตัวตนสสาร

แสงที่ส่องออกมาจากดวงตานั้นยาวหนึ่งคืบ และบางครั้งมันก็สั้น บางครั้งมันก็ยาว

ในขณะเดียวกันนั้น หนวดรากข้างหลังศีรษะของเขาก็สั่นเทิ้มอย่างไม่หยุดนิ่ง สร้างเสียงเหมือนแมลงกำลังกระพือปีก ราวกับว่าศีรษะนี้กำลังตื่นเต้นและหมายที่จะเข่นฆ่าเพื่อดื่มโลหิตของใครสักคน!

ฉินมู่เห็นว่ามันมีปีกบางเฉียบอยู่ตรงจุดที่หนวดรากเชื่อมต่อกับศีรษะ

ปัง!

นักบุญคนตัดไม้ปิดหีบ และสูดลมหายใจลึก เปิดหีบเพื่อควบคุมฤทธานุภาพอันดุร้ายและความกระหายเลือดของกล่องนั้นยิ่งเหนื่อยหนักกว่าการต่อสู้กับฟู่ยื่อลัวเสียอีก!

“ครูบาศักดิ์สิทธิ์ไม่เซ่นสังเวยมีดสักหน่อยหรือ” ฉินมู่ถามพลางปรายตามองไปยังฉีเจี่ยวอี๋และเจ๋อหัวหลี