บทที่ 146: สิทธิพิเศษและเหล่านักเรียน (2)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 146: สิทธิพิเศษและเหล่านักเรียน (2)

เงียบ….

นี่คือกระบี่ที่ถูกหลอมขึ้นมาจากทองคำบริสุทธิ์ มันยังอยู่ในฝัก และฝักกระบี่ก็ถูกสลักด้วยลวดลายและสัญลักษณ์ที่อ่านไม่ออกไปทั่ว ถึงแม้ว่ามือนั้นจะถือกระบี่อยู่ แต่เหล่าอาจารย์ที่อยู่ภายในห้องบรรยายกลับรู้สึกราวกับว่า…หากมีการดูหมิ่นกระบี่ตรงหน้าแม้เพียงเล็กน้อย มันก็จะเดินทางทะลุช่องว่างระหว่างมิติและมาปรากฏอยู่ตรงหน้าคนทั้งหมดได้ในพริบตา

ความรู้สึกดังกล่าวนั้นเหมือนจริงจนเม็ดเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผากของฉินเย่

มันคือสมบัติล้ำค่า

และพวกเขาทำได้เพียงจินตนาการถึงภาพของมันในตอนที่ถูกดึงออกมาจากฝัก

สีหน้าของโจวเซียนหลงไม่เคยเคร่งขรึมเท่านี้มาก่อน เขาหันไปคำนับกระบี่ตรงหน้าอย่างจริงจังก่อนจะหันกลับมาหาบรรดาอาจารย์อีกครั้ง “อาจารย์ทุกท่าน มีข่าวลือหนึ่งที่กำลังแพร่กระจายไปในโลกแห่งการบ่มเพาะ”

“เล่าลือกันว่า…ในยุคสมัยที่ผ่านมา มีองค์กรที่คล้ายกับหน่วยสอบสวนพิเศษอยู่องค์กรหนึ่ง ไม่ว่ายุคสมัยของราชวงศ์จะถูกเปลี่ยนหรือล่มสลายไป องค์กรนี้ก็จะส่งสมบัติของพวกเขาให้กับองค์กรที่คล้ายกันต่อไป อันที่จริงแล้วข่าวลือเกี่ยวกับองค์กรพวกนั้นมีอยู่ทั่วโลกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผู้ฝึกตนต่างชาติเรียกองค์กรพวกนี้ว่าผู้เฝ้าหลุมศพ ที่จีนเองก็มีข่าวลือที่คล้ายกันนี้เช่นกัน”

เขามองไปรอบ ๆ และสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ตอนนี้ผมจะยืนยันข่าวลือนี้ให้กับคุณทุกคนได้ทราบว่า…”

“มันเป็นความจริง”

ตู้ม! มันเหมือนกับว่ามีค้อนขนาดใหญ่ทุกลงบนหัวใจของคนทั้งหมดอย่างแรง แม้แต่ผู้ที่มีความอดทนมากที่สุดก็ไม่สามารถรักษาสีหน้านิ่งสงบได้อีกต่อไป

คลังทรัพย์ที่มีอายุมานานกว่าพันปี!

แหล่งความรู้ตลอดหลายพันปี!

แต่… ทำไมอีกฝ่ายถึงมาบอกเรื่องนี้กับพวกเขาตอนนี้?

หรือว่านี่จะเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิพิเศษที่อาจารย์ได้รับ?

“ในอดีต หน่วยสอบสวนพิเศษเป็นที่รู้จักกันในนามของผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ พวกเขาคือผู้ที่มีฝีมือมากที่สุดสามตนของกลุ่มแปดกองธง [1] หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือพวกเขาคือกลุ่มหัวกะทิที่ได้รับการคัดเลือกมาจากกลุ่มธงเหลือง ธงขลิบเหลือง และธงขาว ผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ยังคงมีอยู่จนกระทั่งหลังจากที่ประเทศจีนในปัจจุบันถูกสถาปนาขึ้น และพวกเขาก็ได้ส่งมอบสิทธิ์ทั้งหมดเกี่ยวกับสมบัติให้แก่หน่วยสอบสวนพิเศษ และในตอนนั้นกลุ่มผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ก็กลายเป็นเพียงอดีตไป”

“หน่วยสอบสวนพิเศษได้รักษาสมบัติทั้งหมดมานับแต่นั้น สิ่งนี้ก็เป็นสิทธิพิเศษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกคุณจะได้รับด้วย! หากจะพูดกันตามตรง นี่คือสิทธิพิเศษที่รัฐได้มอบให้กับพวกคุณทุกคน”

อึก….เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นให้ได้ยิน พวกเขาจับที่วางแขนของตนแน่น บางคนก็แทบจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ร่างของโจวเซียนหลงขณะที่เขากำลังอธิบายอะไรบางอย่าง แม้แต่ฉินเย่เองก็ต้องกำหมัดแน่นเพื่อข่มความตื่นเต้นภายในใจของเขา

ใช่แล้ว…

คลังสมบัติที่เต็มไปด้วยสมบัติที่นรกสามารถใช้งานได้อยู่จริง ๆ! หากไม่ใช่เพราะเขาไม่สามารถเรียกอาร์ทิสมาตอนนี้ได้ ตอนนี้เขาคงบังคับให้นางหา ‘ตำแหน่งของเป้าหมาย’ ให้กับเขาไปแล้ว!

ในที่สุดฮัสกี้ตัวน้อยก็สามารถแอบเข้ามาในฝูงหมาป่าได้สำเร็จ และสายตาของมันกำลังจับจ้องไปยังคลังทรัพย์ของหมาป่าตาเป็นมัน….

“คลังสมบัตินี้ถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น แต่ละชั้นถูกตั้งชื่อตามดาวกระบวยใหญ่คือ แอลฟาดูเบ บีตาเมอแรก แกมมาเฟคดา เดลตาเมเกรซ เอปไซลอนอัลอิออธ ซีต้ามิซาร์ และอีตาอัลไคด์ [2] ตามบันทึกโบราณของพวกเรา ชั้น แอลฟาดูเบจะมีสมบัติขั้นยมเทพ ชั้นบีตาเมอแรกจะมีสมบัติขั้นนักล่าวิญญาณ ชั้นแกมมาเฟคดาจะมีสมบัติขั้นยมทูตขาวดำ ชั้นเดลตาเมเกรซจะมีสมบัติขั้นตุลาการ และสูงขึ้นเรื่อย ๆ”

ระดับการฝึกตนในแดนมนุษย์นั้นถูกแบ่งตามลำดับขั้นของยมบาล นี่อาจจะเป็นการฝึกฝนที่ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ฉินเย่ไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้นัก เพราะท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งระบบดังกล่าวเหมือนกันมากเท่าไหร่ โอกาสในการพลั้งปากก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น

“ชั้นสุดท้ายคือชั้นอีตา…ซึ่งมีสมบัติที่แม้แต่พวกคุณก็ไม่คาดคิด” โจวเซียนหลงเอ่ยด้วยแววตาที่ลุกโชน “ยกตัวอย่างเช่นกระบี่เล่มนี้ก็แล้วกัน มีใครรู้บ้างว่าชื่อของกระบี่เล่มนี้คืออะไร?”

ในเวลาเดียวกัน แทบจะพร้อมกับเวลาที่เสียงของโจวเซียนหลงดังขึ้น มือในจอก็เอื้อมไปพลิกแผ่นป้ายของกระบี่เล่มดังกล่าว และในวินาทีต่อมา ทั่วทั้งห้องบรรยายก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ

ดวงตาของฉินเย่เบิกกว้างขึ้นขณะที่เขาจ้องไปที่หน้าจออย่างเหลือเชื่อ ซู่เฟิงเองก็ส่ายศีรษะไปมาราวกับไม่เชื่อสายตาของตนเอง จากนั้นจึงยืดตัวตรงมากกว่าที่ผ่านมา

ณ มุมหนึ่งของห้องบรรยาย อาจารย์สูงวัยคนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นะ นี่มัน….เป็นไปได้ยังไง…”

เขาลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว…และมันก็ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว เหล่าอาจารย์ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับอุทานออกมาเบา ๆ จะเว้นก็แต่เหล่าศาสตราจารย์ หัวหน้าสาขา และผู้อำนวยการสวี่อันกั๋วเท่านั้น

บนป้ายถูกเขียนด้วยคำไม่กี่คำ

กระบี่เซวียนหยวน![3]

“กระบี่ของมนุษยชาติ กระบี่ของจักรพรรดิเหลือง…” โจวเซียนหลงขนลุกไปทั่วทั้งร่าง เขาหลับตาลงขณะที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “แม้แต่ตัวผมเองก็แทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองในตอนที่ได้เห็นมันครั้งแรก อย่างไรก็ตาม….ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา ไม่มีใครสามารถดึงกระบี่เล่มนี้ออกมาได้เลยสักคน…”

“ให้ตาย….ราชาผีทั้งสามจะต้องร้องไห้แน่ ๆ…” ฉินเย่ปาดเหงื่อที่เกาะอยู่บนหน้าผากของตนและนั่งลงตามเดิม นี่เรากำลังพูดถึงกระบี่เซวียนหยวนอยู่นะ…ของในตำนาน แถมยังมีอยู่จริงเสียด้วย?! ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครดึงมันออกมาจากฝักเป็นเวลาหลายสหัสวรรษ แต่ใครจะไปรู้บางทีราชาผีทั้งสามของแผ่นดินจีน อาจจะสามารถดึงออกมาจากฝักเองได้ก็ได้!

จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหมาป่าฝูงนี้อันตรายกว่าที่คิด…เขาควรจะทำอย่างไรดี?

บางทีการที่เขาทำตัวไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตา เป็นเพียงฮัสกี้โง่ ๆ ตัวหนึ่งต่อไป มันอาจจะดีที่สุดแล้วก็ได้…แดนมนุษย์นั้นยากที่จะหยั่งจริงๆ…

และแม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่ขั้นฝู่จวินนั้นน่ากลัวเพียงใด เขาก็ยังรู้สึกว่า…มันไม่น่าจะมีสิ่งไหนที่น่ากลัวไปกว่านี้อีกแล้ว…

“ไม่…” ทันทีที่เขานั่งลง เขาก็รู้สึกราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางหัว ทำให้เขาต้องรีบหันไปมองหน้าจออีกครั้งทันที

ไม่… ไม่!

กระบี่เซวียหยวนควรจะอยู่ระดับไหนกัน? มันจะถูกดึงออกมาโดยใครก็ไม่รู้ได้อย่างไร?

ในเมื่อมันเป็นแบบนั้น….มือที่ถือกระบี่เมื่อครู่….คือมือใครกัน?

ผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับเดียวกับราชันย์วิญญาณทั้งหกอย่างนั้นหรือ?

เขามองดูมือในหน้าจออย่างละเอียด ความสนใจก่อนหน้านี้ของเขาถูกชักจูงโดยรัศมีความรุ่งโรจน์ของตัวกระบี่ และมันก็เป็นตอนนี้เองที่เขาสังเกตเห็นว่ามือดังกล่าวนั้นเหี่ยวย่นเพียงใด แต่ในขณะเดียวกับ มือข้างนั้นก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังและความแข็งแกร่งที่ไร้ขอบเขต

“อย่างต่ำที่สุด…เขาน่าจะอยู่ขั้นฝู่จวิน…” เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และพยายามข่มใจให้สงบ “แดนมนุษย์เองก็มีไพ่ตายของตัวเอง…ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขากล้าที่จะปราบปรามเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วทั้งแผ่นดินจีน….ไม่แปลกใจเลยที่ราชาผีทั้งสามจะยังคงลังเลไม่กล้าเคลื่อนไหว…”

“ไม่สิ…อันที่จริง ประเทศจีนก็คงพอจะเดาถึงการมีอยู่ของราชาผีทั้งสามได้อยู่แล้ว…ผีขั้นฝู่จวินพวกนี้…เป็นตัวกักเก็บวิญญาณนับร้อยล้านดวงที่อาจจะหลั่งไหลออกมาจากรังแล้ว เผชิญหน้ากับกองทัพมนุษย์…แต่ไม่ว่าฝ่ายใดก็ไม่มีใครกล้าประกาศสงครามขึ้นมาก่อนทั้งนั้นในตอนนี้”

ฟึ่บ….หน้าจอถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว คนทั้งหมดได้สติจากความมึนงงและมองหน้ากันอย่างประหลาดใจขณะที่กลับไปนั่งที่อย่างเงียบ ๆ

“ทุกท่าน” โจวเซียนหลงเอ่ย “ผมขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าตั้งแต่วินาทีแรกที่สำนักผู้ฝึกตนก่อตั้งขึ้น คลังสมบัติแห่งนี้จะเปิดกว้างให้กับอาจารย์ผู้สอนทุกคนได้เข้ามาแย่งชิง!”

ผู้คนจำนวนมากหลับตาลงและถอนหายใจออกมาอย่างช้า ๆ

บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“คะแนนการสอนสามารถถือได้ว่าเป็นเส้นทางสู่การเลื่อนตำแหน่งของพวกคุณ ในขณะที่คะแนนความดีจะใช้แลกสมบัติในคลังสมบัติ อาจารย์ทั่วไปของสถาบันจะสามารถแลกสมบัติระดับแอลฟาและบีตาได้ อาจารย์ดีเด่นจะสามารถแลกสมบัติระดับแกมมาจากคลังสมบัติได้ปีละหนึ่งครั้ง ส่วนรองศาสตราจารย์และศาสตราจารย์….”

เขายิ้มบาง ๆ “พวกคุณจะสามารถแลกสมบัติระดับที่สูงได้ทุกเมื่อที่ต้องการ!”

“ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ทั่วไปจะได้รับส่วนลด 10% สำหรับการแลกหินวิญญาณ อาจารย์ดีเด่นจะได้รับส่วนลด 15% รองศาสตราจารย์ลด 20% รองศาสตราจารย์อาวุโสลด 30% และศาสตราจารย์เต็มตัวลด…50%!”

“รายการแลกของรางวัลทั้งหมดจะถูกส่งให้พวกคุณทางแอปโม่โม่ทันทีที่พวกเรากลับไปที่เมืองเป่าอัน”

“ทุกท่าน” เขาทุบมือลงบนโต๊ะบรรยายและเอ่ยด้วยแววตาที่ลุกโชน “ด้วยการสนับสนุนที่ดีเยี่ยมขนาดนี้ พวกคุณทราบหรือไม่ว่าตัวเองต้องทำอะไร?”

“ทราบ!!” ครั้งนี้ ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกัน

สิทธิพิเศษที่มาพร้อมกับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในฐานะอาจารย์นั้นยิ่งใหญ่จนพวกเขาแทบจะเป็นลม!

นี่คือพลังที่แท้จริงของนโยบายการปกครอง!

“ดีมาก ถ้าเช่นนั้น…ผมคงต้องขอฝากความหวังไว้ที่พวกคุณด้วย” โจวเซียนหลงประสานมือ โค้งคำนับคนทั้งหมด “ไปต่อกันในส่วนที่สาม เกณฑ์สำหรับการประเมินอาจารย์ในรอบที่สอง…ผมยังไม่มีรายละเอียด”

“ทุกคำพูดที่คุณเอ่ยออกมา และทุกการกระทำจะถูกตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ทุกท่าน กรุณาอย่าลืมเก็บของของตัวเอง เราจะกลับไปที่เมืองเป่าอันในวันมะรืนนี้ และภาคการศึกษาแรกของสำนักฝึกตนจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในอีกห้าวันหลังจากนี้!”

“ขอให้ความกล้าหาญจงสถิตอยู่กับพวกคุณ! จบการประชุม!”

โจวเซียนหลงและคนอื่นจากไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่คนสุดท้ายในกลุ่มศาสตราจารย์ก้าวออกไป ห้องบรรยายที่เคยเงียบสนิทระเบิดเสียงพูดคุยขึ้นมาในทันที!

“บ้า…นี่มันบ้ามาก….นี่ผมจะเป็นลมเพราะความสุขอยู่แล้วเนี่ย….” หลินฮั่นเงยหน้ามองเพดานด้วยสายตาว่างเปล่าขณะที่ทรุดนั่งลงอย่างอ่อนแรง

ซู่เฟิงปรับระดับแว่นตาของตนก่อนจะพูดว่า “มีอะไรให้ตื่นเต้นนักหนา? การประเมินรอบแรกของเราเพิ่งจะจบลง แต่การประเมินรอบที่สองกำลังจะเริ่มขึ้น หลังจากนี้คือของจริง S9527 หรือคุณไม่คิดอย่างนั้น?”

หลินฮั่นเหลือบมอง “ถ้าคุณไม่ตื่นเต้นจริงๆ ทำไมขาของคุณถึงยังสั่นไม่หยุดเลยล่ะ?”

ฉินเย่เดินไปหาทั้งคู่ยิ้มๆและพยักหน้าให้ซู่เฟิง “ทำไมล่ะ? คุณคิดจะแย่งตำแหน่งอันดับหนึ่งไปจากผมหรือไง?”

ฉินเย่เอ่ยด้วยเสียงที่ดังไปทั่วทั้งห้อง และมันก็เรียกเสียงหัวเราะและสาปแช่งของคนทั้งหมดได้อย่างดี “S9527 คุณอาจจะนำหน้าเราตอนที่อยู่ที่เมืองไดซาน แต่พวกเราต่างเริ่มการประเมินรอบที่สองด้วยจุดเริ่มเดียวกัน ไม่มีอะไรรับรองว่ารอบนี้คุณจะได้อันดับสูงสุดอีก”

ชายชราคนหนึ่งลูบเคราแพะของตนพร้อมกับยิ้มอย่างเริงร่า “ตาแก่คนนี้เองก็พอจะมีความรู้และประสบการณ์ในการสอนและการศึกษาอยู่บ้าง….”

“บังเอิญว่าผมเองก็อยากจะลองลิ้มรสการที่ได้นั่งอยู่อันดับสูงสุดบ้างเหมือนกัน”

“คุณได้อันดับหนึ่งในรอบแรก แต่การแข่งขันหลังจากนี้จะยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน”

“ฮ่า ๆๆๆ พูดได้ดี ทุกคนต่างอยากอันดับหนึ่ง นี่ค่อยทำให้ทุกอย่างน่าสนใจขึ้นมาหน่อย”

ฉินเย่กลอกตา

รอบต่อไป?

ขอโทษด้วยนะ…แต่ฮัสกี้ตัวนี้ยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่ หวังว่าพวกนายคงจะไม่ร้องไห้ฟูมฟายเมื่อมันถูกเปิดออกมานะ…พวกนายต้องเข้าใจว่าฮัสกี้ตัวนี้ได้เลียขานักวิชาการบางคนเอาไว้แล้ว….วาทศิลป์ของฉันน่ะสิบเต็มสิบ!

“เราไปทานข้าวเย็นด้วยกันดีไหม?” โจวฉินเฟิ่นเดินเข้ามาหาคนทั้งหมดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อเราจะออกจากที่นี่ในวันมะรืนนี้แล้ว เราก็ควรจะใช้โอกาสนี้ไปเที่ยวรอบ ๆ เมืองไดซานดีหรือเปล่า? เพราะหลังจากที่เปิดภาคการศึกษาแล้ว เราก็คงไม่มีโอกาสได้กลับมาที่นี่ไปหลายปี…”

“เอาสิ”

“ไปกันเถอะ!”

“คุณอันธพาลท้องถิ่นคงต้องพาเราเที่ยวหน่อยแล้ว”

“หมายความว่าไงอันธพาลท้องถิ่น?! ผมแค่เคยเรียนมัธยมปลายที่นี่เท่านั้นเองนะ!”

คืนนั้น พวกเขาทั้งหมดต่างดื่มด่ำกิน ดื่ม และปาร์ตี้กันอย่างมีความสุข เว้นก็แต่ฉินเย่ คนอื่น ๆ เมามายไม่เป็นท่าในตอนท้ายของค่ำคืน หลังจากพักผ่อนจนเต็มที่ ในวันถัดมาอันธพาลท้องถิ่นก็พาพวกเขาไปเที่ยวรอบ ๆ เมืองด้วยรถเช่าสองคัน

มันเป็นการพักผ่อนระยะสั่น ๆ และสนุกสนาน…ในระหว่างทางกลับ ฉินเย่มองไปยังกลุ่มเพื่อน ๆ ด้วยแววตาที่ซับซ้อนและลึกซึ้ง มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว

มันผ่านมากี่ปีแล้วนะ?

มันผ่านมากี่ปีแล้วที่เขาได้ปล่อยใจและมีความสุขไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ของตัวเอง?

แม้แต่คำว่า ‘เพื่อน’ ก็ยังให้ความรู้สึกห่างไกลสำหรับเขาเลย

เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะมอบความเชื่อใจให้กับคนอื่น และมันก็ยิ่งยากเข้าไปอีกที่เขาจะเชื่อในความเป็นมนุษย์ เพราะสุดท้ายเขามักจะทำตัวล่องหนไม่พยายามเป็นจุดสนใจ ไม่ว่าจะไปยังสถานที่ใด

เขาแทบจะไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมในโรงเรียนเลยสักครั้ง เพราะเมื่อใดที่ไป เขามักจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับคนจำนวนมาก และเมื่อเขาเข้าไปมีส่วนร่วม เขาก็จะกลายเป็นที่สังเกต และยิ่งเขากลายเป็นที่สังเกต เขาก็จะดึงดูดปัญหา…ดังนั้น เขาจึงใช้ชีวิตอย่างจืดจางมาโดยตลอด มักจะเดินอยู่รอบนอกของสังคมอย่างระมัดระวัง แต่ไม่เคยพาตัวเองกระโดดลึกเข้าไปในวงเลยสักครั้ง

ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเพื่อน ในชีวิตเขามีเพื่อนไม่กี่คนที่เขานึกถึง ตัวอย่างเช่น จางเปากัว เป็นต้น แต่ถึงอย่างนั้น มิตรภาพพวกนี้ก็ล้วนเกิดขึ้นจากสถานการณ์พิเศษทั้งสิ้น

และตัวเขาเองก็ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มการสานสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยจินตนาการถึงวันที่ตัวเองจะรายล้อมไปด้วยกลุ่มคนที่เขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นสหายหรือเพื่อนร่วมงานเลยสักนิด

แชะ….เสียงชัตเตอร์ของกล้องดังขึ้น หลินฮั่นเอียงหน้าไปใกล้ฉินเย่และถ่ายรูปกับเขา ก่อนจะโพสต์มันลงบัญชีโซเชียลมีเดียของตนเองพร้อมกับคำบรรยายใต้ภาพว่า ‘สิ่งน่าดึงดูดใจของเหล่าอาจารย์แห่งสำนักฝึกตนรุ่นแรก’ หลังจากนั้นคนจำนวนมากต่างเข้ามากดไลก์ทันที

“ไม่จำเป็นจะต้องมีรูปถ่ายเก็บไว้หรอก” ฉินเย่ยิ้มบาง “ผมรับรองได้เลยว่าเราจะได้เห็นหน้ากันทุกวันทันทีที่คุณตาย เมื่อถึงเวลานั้นคุณก็จะไม่สามารถหลบหน้าผมได้อีก”

เกี่ยวกับเรื่องนั้น…ฉินเย่อาจจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่มองความตายของเพื่อนร่วมงานด้วยความคาดหวัง….

วันเวลาแห่งความสุขและเสียงหัวเราะผ่านไปอย่างรวดเร็ว สองวันต่อมา รถบัสคันใหญ่ได้รองรับเหล่าอาจารย์ ศาสตราจารย์หลายคนและหัวหน้าสาขาต่าง ๆ มุ่งหน้ากลับไปที่สถานที่ซึ่งพวกเขาได้จากมา…เมืองเป่าอัน

ในที่สุดการเปิดภาคเรียนของสำนักฝึกตนแห่งแรกก็มาถึง!

[1] กองกำลังทหารที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาในช่วงต้นของศตวรรษที่ 17 ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์หมิงและเปลี่ยนสู่ยุคสมัยของราชวงศ์ชิง

[2] ระบบการตั้งชื่อดาวฤกษ์จะใช้ตัวอักษรกรีกขึ้นนำหน้าชื่อของดวงดาวโดยไล่จากดวงที่สว่างที่สุดตามลำดับไปเรื่อยๆ

[3] จักรพรรดิในประวัติศาสตร์จีนที่มีนามว่าเซวียนหยวน และมักเป็นที่รู้จักกันในชื่อหวงตี้หรือจักรพรรดิเหลือง