เล่ม 1 ตอนที่ 131 เขาเป็นปรมาจารย์ค่ายกล

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งวิ่งออกมาจากวิทยาลัยก็เห็นทหารยามคนหนึ่งของจวนแม่ทัพขวางเอาไว้

“คุณชายห้า ท่านแม่ทัพให้ท่านออกไปจากเมืองหลวงเดี๋ยวนี้เลยขอรับ นี่คือสิ่งของที่มอบให้กับท่าน…”

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นแหวนเก็บวัตถุในมือทหารยามแล้วยื่นมือไปรับมา ก่อนจะหมุนกายวิ่งตรงไปยังจวนแม่ทัพ

“คุณชาย… เฮ้!” ทหารยามผู้นั้นเห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งตรงไปยังจวนแม่ทัพ จึงรีบตามไปในทันที

เว่ยจือฉี เป่ยกงถัง และโอวหยางเฟยได้ยินความเคลื่อนไหวข้างนอกจึงรีบออกมาดู ก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์กับเจ้าอ้วนชวีวิ่งออกไป จึงรีบตามไปติดๆ

เจ้าอ้วนชวีตามออกไป แต่เมื่อไปถึงด้านนอกเรือนพักก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของซือหม่าโยวเย่ว์เลย

“เจ้าอ้วน เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” พวกเว่ยจือฉีดึงเจ้าอ้วนชวีเอาไว้พลางเอ่ยถาม

“เกิดเรื่องใหญ่ที่จวนแม่ทัพน่ะสิ!” เจ้าอ้วนชวีทุบต้นขาพลางพูดขึ้น

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ” เป่ยกงถังถาม

“ปัง…”

แรงกระแทกอันรุนแรงทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนไปด้วย

“นี่มัน…การต่อสู้ระหว่างราชันวิญญาณนี่นา!” โอวหยางเฟยมองไปยังทิศทางของการต่อสู้อย่างตื่นตกใจ

เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างเป็นกังวล “ไม่รู้ว่าราชันวิญญาณสามคนโผล่มาจากที่ใด ทั้งยังมีบรรพวิญญาณกับราชาวิญญาณด้วย พากันมาก่อเรื่องที่จวนแม่ทัพ ตอนนี้คนหนึ่งในนั้นกำลังต่อสู้กับท่านแม่ทัพอยู่!”

“อะไรนะ! เช่นนั้นโยวเย่ว์วิ่งเข้าไปเช่นนี้ก็มิได้อันตรายอย่างยิ่งเลยหรือ” เว่ยจือฉีพูดอย่างเป็นกังวล

“ใช่แล้ว ข้าตามนางมาติดๆ แต่เพียงพริบตาเดียวก็ไม่เห็นนางเสียแล้ว!” เจ้าอ้วนชวีพูด

“พวกเราไปดูกันหน่อยดีกว่า” เป่ยกงถังพูดแล้ววิ่งนำไปยังประตูวิทยาลัย

มีนักเรียนจำนวนมากพอสมควรออกันที่บริเวณประตูวิทยาลัยอยู่ก่อนแล้ว ทำเอาบริเวณประตูแน่นขนัดจนไร้ช่องว่าง

ประตูใหญ่ปิดสนิท ผู้อำนวยการสอนคนใหม่ยืนอยู่ตรงที่สูงพลางพูดกับนักเรียนที่อยู่เบื้องล่างว่า “ตอนนี้ข้างนอกอันตรายเป็นอย่างยิ่ง วิทยาลัยจึงตัดสินใจปิดผนึกประตูและเริ่มใช้ค่ายกลอภิบาล ไม่มีนักเรียนคนใดได้รับอนุญาตให้ออกไปทั้งสิ้น! เปิดค่ายกล”

เขาเพิ่งเอ่ยวาจาออกไป ลำแสงสีฟ้าอ่อนสายหนึ่งก็ค่อยๆ ห่อหุ้มทั่วทั้งวิทยาลัยเอาไว้อย่างช้าๆ คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า

“จะทำเช่นไรกันดีเล่า โยวเย่ว์ยังอยู่ข้างนอกเลยนะ!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างร้อนใจ

“เมื่อเปิดค่ายกลอภิบาลแล้ว นอกจากการปิดค่ายกลก็มิอาจเข้าออกได้ ตอนนี้คงได้แต่รออยู่ที่นี่แล้วล่ะ” เว่ยจือฉีพูด

เป่ยกงถังมองเงาร่างคนที่ต่อสู้กันอยู่กลางอากาศแล้วเอ่ยพึมพำว่า “ขออย่าได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเจ้าเลย…”

ที่กลางอากาศ ซือหม่าเลี่ยมองซือหม่าข่าย สองมือวางอยู่บนหน้าอก ปลายนิ้วประกบกันอย่างรวดเร็ว ปราณวิญญาณธาตุไฟบริเวณรอบๆ รวมตัวกันขึ้นมาตามการเคลื่อนไหวของเขาแล้วก่อตัวขึ้นมาเป็นดาบเปลวอัคคีเล่มหนึ่ง

“เคล็ดแยกอัคคีพิโรธ…”

ดาบเปลวอัคคียาวสามเมตรฟาดฟันเข้าใส่ซือหม่าข่าย

“คิดไม่ถึงว่าเคล็ดแยกอัคคีพิโรธของพี่เลี่ยจะฝึกมาได้ถึงขั้นนี้แล้ว!” ซือหม่าชิงมองดาบเปลวอัคคีฟันเข้าใส่ซือหม่าข่ายแต่กลับมิได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยแม้แต่น้อย

ซือหม่าข่ายมองดาบใหญ่ที่ฟาดฟันลงมาแล้วรวมพลังอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น แต่ก็ยังมิอาจสู้ความเร็วของซือหม่าเลี่ยได้

คราวก่อนก็ถูกสิ่งนี้ทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ คราวนี้มิอาจใช้หนูปีศาจหกนิ้วได้ ดูท่าทางคงต้องได้รับบาดเจ็บอีกครั้งเสียแล้ว

แต่ถ้าหากซือหม่าเลี่ยกล้าทำร้ายตน วันนี้เขาก็อย่าได้คิดจะมีชีวิตรอดอีกต่อไปซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งมาถึงจวนแม่ทัพ ขณะนี้จวนแม่ทัพได้กลายเป็นกองซากปรักหักพังไปเสียแล้ว ประตูได้หักออกเป็นสองท่อน ลานบ้านพังทลาย ยังดีที่คนได้ออกมาก่อนหมดแล้ว จึงไม่มีคนถูกทับอยู่ข้างใน

“ท่านพี่!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นพวกซือหม่าโยวหมิงนอนหมดสติอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังจึงรีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว

“คุณชายห้า ท่านมาได้อย่างไร!” พ่อบ้านมองเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ จึงพูดอย่างเป็นกังวล “ท่านรีบอาศัยจังหวะที่พวกเขายังไม่เห็นหนีไปเสีย!”

“ข้ามิอาจหนีไปคนเดียวได้หรอก!” ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงตรงหน้าพวกซือหม่าโยวหมิงแล้วตรวจดูร่างกายของพวกเขารอบหนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นไรจึงถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะหันไปมองซือหม่าเลี่ยที่อยู่กลางอากาศแล้วถามว่า “ผู้ที่อยู่กลางอากาศผู้นั้นคือใครหรือ”

“ท่านแม่ทัพเพิ่งบอกไปเมื่อครู่ว่าคราวก่อนก็เป็นเขานี่เองที่ทำร้ายท่าน แต่กลับมิได้บอกว่าเขาเป็นใคร” พ่อบ้านเอ่ยตอบ “คุณชาย ท่านรีบหนีไปดีกว่า!”

“พวกเขาเห็นข้าแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนขึ้นมองซือหม่าข่ายด้วยสายตาเยียบเย็น

เป็นเจ้าคนผู้นี้นี่เองที่มีหนูปีศาจหกนิ้วแล้วใช้มันมาลอบโจมตีท่านปู่จนทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ

ในขณะที่ดาบเปลวอัคคีของซือหม่าเลี่ยฟาดฟันลงมา เคล็ดแยกอัคคีพิโรธของซือหม่าข่ายก็ก่อตัวขึ้นมาพอดี เขาจึงรีบใช้มันต้านรับดาบของซือหม่าเลี่ยเอาไว้

“เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลย ตอนนี้เจ้าก็ยังมิใช่อยู่ดี! คราวก่อนถูกเจ้าลอบโจมตี คราวนี้ข้าไม่มีทางกระทำผิดเช่นเดิมอีกแน่ ข้าจะต้องเอาชีวิตเจ้าให้จงได้!” ซือหม่าเลี่ยมองดาบของซือหม่าข่ายถูกดาบของตนโจมตีจนรางเลือนไปพลางเอ่ยขึ้น

ซือหม่าข่ายเห็นดาบของตนค่อยๆ รางเลือนไป อีกครู่เดียวดาบของซือหม่าเลี่ยก็กำลังจะฟันถูกตนแล้ว

ในขณะนี้เอง ซือหม่าหลินที่มิได้เคลื่อนไหวมาโดยตลอดก็ลงมือ เขาความคิดวูบไหวคราหนึ่ง ดาบเปลวอัคคีของซือหม่าเลี่ยและซือหม่าข่ายราวกับถูกแช่แข็ง ไม่ว่าทั้งสองจะขยับเช่นไร ดาบเปลวอัคคีนั้นก็ไม่ฟังคำสั่งการของทั้งสองคนเลย

“ปิดผนึกมิติ!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองการเคลื่อนไหวของซือหม่าหลินแล้วส่งเสียงอุทานออกมา

ซือหม่าหลินคิดไม่ถึงว่าจะมีคนรู้จักกระบวนท่าของเขา จึงมองลงมาเบื้องล่างปราดหนึ่ง ก็เห็นเงาร่างหยัดตรงสายหนึ่งอยู่ท่ามกลางกองซากปรักหักพัง

“จงสลาย” น้ำเสียงของเขาบางเบาเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับดุจดังอสนีบาตสายหนึ่งที่ฟาดเข้าไปกลางหัวใจซือหม่าโยวเย่ว์

ดาบเปลวอัคคีที่ถูกปิดผนึกค่อยๆ สลายตัวไปตามน้ำเสียงของเขาราวกับไม่มีธาตุไฟปราณวิญญาณคอยส่งเสริม

“พรึ่บ…”

“พรึ่บ…”

อาวุธวิญญาณของตนถูกบีบให้สลายไป ทำให้ซือหม่าข่ายและซือหม่าเลี่ยล้วนได้รับผลสะท้อนกลับจนกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง แต่ละคนกุมหน้าอกพร้อมกับร่นถอยหลังไปหลายเมตร

“พี่เลี่ย ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่!” ซือหม่าชิงเห็นซือหม่าเลี่ยได้รับบาดเจ็บจึงพุ่งตัวเข้าไปหาในทันใด มาถึงยังข้างกายเขาแล้วมองเขาอย่างเป็นห่วงเป็นใย

ซือหม่าเลี่ยเห็นซือหม่าชิงพุ่งเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวอันตราย จึงลูบศีรษะนางเหมือนสมัยเด็กๆ พลางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ยังมีชิงเอ๋อร์ที่ยังคงเหมือนกับสมัยก่อนอยู่คนหนึ่ง”

ขอบตาของซือหม่าชิงแดงก่ำขึ้นมาในทันใดแล้วพูดว่า “พี่เลี่ย อย่าฝืนอีกเลย พี่ใหญ่ใกล้จะเลื่อนไปถึงระดับจ้าววิญญาณแล้ว ท่านเอาชนะเขาไม่ได้หรอก! กลับไปกับพวกเราดีกว่า กลับไปเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นให้กระจ่าง”

“ชิงเอ๋อร์ เจ้าคิดว่ายังจะพูดเรื่องนี้ให้กระจ่างได้อยู่หรือ” ซือหม่าเลี่ยหัวเราะอย่างขมขื่น “ถ้าหากทำได้จริงๆ แน่นอนว่าพวกเราคงไม่จำเป็นต้องหนีมาหรอก!”

“พี่เลี่ย…” ซือหม่าชิงเห็นความเจ็บปวดในดวงตาของซือหม่าเลี่ย นางขบริมฝีปาก คิดจะเอ่ยแนะนำเขาแต่กลับมิอาจพูดออกมาได้

“เลี่ย เรื่องในตอนนั้นยังมิได้ตรวจสอบให้กระจ่าง แต่พวกเจ้ากลับนำเคล็ดแยกอัคคีพิโรธหลบหนีมา วันนี้พวกเจ้าต้องกลับไปกับพวกเรา” ซือหม่าหลินมองซือหม่าเลี่ย “ถ้าหากตระกูลเห็นว่าพวกเจ้ามีความผิดจริงก็จะเนรเทศมาที่นี่ แล้วค่อยให้พวกเจ้ากลับมาก็แล้วกัน”

“ซือหม่าเลี่ย ถึงแม้ว่าตัวเจ้าเองจะเป็นราชันวิญญาณ แต่พวกเราตรงนี้เป็นราชันวิญญาณกันถึงสามคน แล้วเจ้ายังได้รับบาดเจ็บด้วย หากเจ้าไม่ไปกับพวกเราก็อย่าหาว่าพวกเรามาลงโทษพวกเจ้าถึงที่ก็แล้วกัน!” ซือหม่าเค่อพูดพลางมองพวกซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่ข้างล่างปราดหนึ่งด้วย

“ท่านปู่ อย่านะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นแววอาฆาตในดวงตาของซือหม่าข่ายและซือหม่าเค่อจึงตะโกนขึ้น “ถึงจะกลับไปกับพวกเขาก็มีแต่ตายเท่านั้น มิสู้เอาชนะกันให้รู้ดำรู้แดงตอนนี้เลยดีกว่า ต่อให้ต้องตายจริงๆ พวกเราก็ต้องดึงพวกเขาให้ลงนรกไปด้วยกัน! เจ้าคำรามน้อย…”

เจ้าคำรามน้อยปรากฏตัวออกมาแล้วขยายร่างใหญ่ขึ้น ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงบนหลังของมันก่อนจะมายังข้างกายซือหม่าเลี่ย เผชิญหน้ากับพวกซือหม่าหลิน