ภาคที่ 2 บทที่ 158 ทุกข์ใจ

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนนั่งนิ่งไม่ได้อีกแล้ว นางสั่งหลิวตงเยว่ว่า “รีบเรียกหลี่เชียนมาหาข้า!”

นัยน์ตาของหลิวตงเยว่ฉายแววงุนงง

เจียงเซี่ยนก็อธิบายเรื่องนี้ไม่ได้มากเช่นกัน จึงเอ่ยว่า “ให้เจ้าเรียกเจ้าก็เรียก จะจุ้นจ้านขนาดนั้นไปทำไม!”

หลิวตงเยว่รีบโผล่หน้าออกไปเรียกหลี่เชียน

หลี่เชียนขึ้นมาบนรถม้าทันที และถามเจียงเซี่ยนว่า “มีอะไรหรือ?”

น้ำเสียงนุ่มนวลมาก

ทว่าเจียงเซี่ยนกลับไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว และเอ่ยว่า “คนที่อยู่ข้างกายเจียงลวี่คือใคร?”

สายตาของหลี่เชียนทอประกาย

เขารู้ว่าเจียงเซี่ยนฉลาด แต่คิดไม่ถึงว่านางจะฉลาดถึงขนาดนี้

นี่ใกล้เคียงกับความสามารถและสติปัญญาของพวกกุนซือและเสนาธิการแล้ว

หลี่เชียนเห็นเจียงเซี่ยนเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติและโชคดีจากก้นบึ้งของหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

ทว่าคำโกหกที่ต่ำต้อยเหล่านั้นกลับเป็นการดูหมิ่นเจียงเซี่ยนแบบหนึ่ง

“ข้าบอกเจ้าไม่ได้” หลี่เชียนจ้องเจียงเซี่ยนอย่างไม่สะทกสะท้าน และเอ่ยว่า “ต่อให้เจ้าเดาได้ว่าเป็นใคร ข้าก็จะไม่ยอมรับเช่นกัน”

เจียงเซี่ยนโกรธมาก นางหยิบหมอนอิงที่อยู่ใกล้มือมาขว้างใส่หลี่เชียน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงแค่ไหน? หากตระกูลเจียงถูกทำลายเพราะเจ้า ข้ากับเจ้าก็เป็นศัตรูที่ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้!”

ชาติก่อนหม่าเซี่ยงหย่วนไปพึ่งพาอาศัยชนกลุ่มน้อยทางเหนือ จนกระทั่งสี่ปีต่อมา ซึ่งเป็นปีที่สามที่นางว่าราชการหลังม่าน หม่าเซี่ยงหย่วนยุยงให้ปู้รื่อกู้เต๋อประมุขคนใหม่ของชนกลุ่มน้อยทางเหนือรวมรวบกำลังทหารห้าหมื่นนายจากสิบสองพันธมิตรและบัญชาการกองทัพลงใต้ โดยมุ่งโจมตีเมืองสามเมืองได้แก่ ต้าถง เมืองเซวียน และเมืองจี้

เฉิงฉินตายแล้ว หลี่เหยาลาออก ฉีเซิ่งอายุมากแล้ว ราชสำนักนั้นนอกจากลุงของนางก็ไม่มีแม่ทัพใหญ่ที่สามารถรับภารกิจคนเดียวได้แล้ว

สุดท้ายผ่านการปรึกษาหารือกันหลายครั้ง เจียงลวี่คุมศึกต้าถง ฉีเซิ่งคุมศึกเมืองเซวียน ลุงของนางคุมศึกเมืองจี้ และมอบกองกำลังรักษาพระนครให้หวังจ้านรับผิดชอบ

ตอนนั้นท้องพระคลังว่างเปล่า เงินเดือนทหารของเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าเมืองต่างไม่ได้จ่ายมาเกินครึ่งปีแล้ว และมีการรับเงินเดือนทั้งที่ไม่ได้ทำงาน แม้จะมีแม่ทัพใหญ่อย่างลุงของนาง ตั้งแต่ราชสำนักเริ่มทำสงครามกับชนกลุ่มน้อยทางเหนือเป็นต้นมาก็พ่ายแพ้และถอยร่นอย่างต่อเนื่อง

เมืองเก้าเมืองที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ต่อเนื่องกันตามแนวป้องกันของกำแพงเมืองจีนทางภาคเหนือไม่ได้ฝึกทหารมาเป็นเวลานาน อย่างไท่หยวนนั้นสามารถรักษาด่านชายแดนของตนเองไว้ได้ก็ยากมากแล้ว จึงไม่มีกำลังเสริมกำลังต้าถง เมืองเซวียน และเมืองจี้ที่เป็นสนามรบหลักอย่างสิ้นเชิง

สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤต

นางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ตอนนั้นหลี่เชียนเป็นผู้บัญชาการกองบัญชาการส่านซีแล้ว นางยังกลัวว่าเขาจะถูกคนขัดขวาง จึงให้เขาควบตำแหน่งผู้บัญชาการกองบัญชาการกำลังสำรองส่านซีด้วย

นางอยากให้หลี่เชียนนำทหารไปช่วย จะไปช่วยเจียงลวี่ หรือไปช่วยลุงของนางก็ได้

หลี่เชียนปิดปากเงียบ

ทว่านางก็ลนลานแล้ว คิดว่าหลี่เชียนเกรงว่าคนของตระกูลเจียงจะไม่ให้ความร่วมมือ จึงให้คนมอบตราพยัคฆ์[1]ให้เขา

ใครจะรู้ว่าทางหลี่เชียนยังไม่ทันเคลื่อนทัพ เมืองเซวียนก็ถูกโจมตีและยึดครองแล้ว

หม่าเซี่ยงหย่วนเป็นคนนำทางพาปู้รื่อกู้เต๋อทำลายฐานที่มั่นหลงเหมินกับฐานที่มั่นเหยียนชิ่งติดต่อกัน และล้อมเมืองหลวงไว้อย่างแน่นหนามาก

หลี่เชียนถือตราพยัคฆ์ที่นางให้เขายกทัพมาช่วยเหลือ

ไม่นานทหารก็ประชิดเมือง กวาดล้างกำลังหลักของปู้รื่อกู้เต๋อไปสองหมื่นคน ยิงธนูสังหารลูกชายสามคนของหม่าเซี่ยงหย่วนกับปู้รื่อกู้เต๋อ ทลายวงล้อมเมืองหลวง

ในขณะที่ทุกคนต่างส่งเสียงร้องด้วยความดีใจและเฉลิมฉลองกันนั้น เขากลับหันมาบุกวังฉือหนิงในทันใด…

กว่าเจียงลวี่กับเจียงเจิ้นหยวนที่กอบกู้สถานการณ์หลังจากพ่ายแพ้อยู่ที่ต้าถงกับเมืองจี้จะรู้ นางก็ถูกเขาข่มขู่และบีบบังคับจนแต่งตั้งให้เขาเป็นอ๋องหลินถง และคอยตรวจการภาคตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว

ศึกในครานั้นกองกำลังของหลี่เชียนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และชื่อเสียงโด่งดังมาก ตั้งแต่นั้นมาตระกูลหลี่ก็ขึ้นสู่ตำแหน่งขุนนางระดับสูงมากได้อย่างง่ายดายในทันใด เป็นช่วงเวลาที่สิ่งต่างๆ กำลังเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก

ทว่าทหารของตระกูลเจียงจำนวนมากกลับเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในศึกครานั้น ตั้งแต่นั้นมาคนที่มีความสามารถก็ลดลง ชื่อเสียงและบารมีจืดจางลงทุกวัน จนไม่มีกำลังต่อต้านหลี่เชียนอีกแล้ว ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องปกป้องนางแล้ว

ไม่อย่างนั้นในราชสำนักของสกุลจ้าวจะยอมให้เขาแนะนำได้อย่างไร!

นางไม่อนุญาตให้พวกคนเลวทั้งหลายแหล่ของเขาเข้าใกล้ตระกูลเจียงอย่างเด็ดขาด!

เจียงเซี่ยนจ้องหลี่เชียน สายตาเย็นชามากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

หลี่เชียนหายใจติดขัด กระทั่งเริ่มหายใจลำบากขึ้นมาในชั่วพริบตา

ศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้หรือ?

นางคิดแบบนี้ได้อย่างไร?

ในสายตาที่หลี่เชียนมองเจียงเซี่ยนฉายแววงุนงงและไม่รู้จะทำอย่างไรดี เป็นเวลานานกว่าเขาจะฝืนยิ้มออกมา และเอ่ยว่า “เป่าหนิง เจ้าน่าจะรู้ว่า ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลเจียงที่สามารถปกป้องเจ้าได้แล้ว” เขาพูดอยู่ก็ชะงักไป และเอ่ยอีกว่า “ส่วนคนที่ข้าทิ้งไว้ในเมืองหลวง ก็ไม่ได้คิดร้าย จึงไม่มีทางที่จะทำลายตระกูลเจียงเช่นกัน…ต่อไปเจ้าก็จะรู้”

เจียงเซี่ยนยิ้มอย่างเย็นชา

ความเย็นชาแบบนั้นเป็นความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจและวางตัวเย่อหยิ่ง

ไม่เหมือนแต่เก่าก่อน ที่แม้จะโมโห ก็ยังเจือความหยอกเล่นอยู่บ้าง จึงถือเป็นจริงเป็นจังไม่ได้

หลี่เชียนรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว

ตอนที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ก็น่าจะรู้ว่าเจียงเซี่ยนอาจจะผิดหวังกับเขา จนกระทั่งเกลียดเขา แต่ตอนนั้นเขาก็เคยคิดทบทวนและถามตนเองว่า หากเรื่องราวดำเนินไปถึงขั้นนั้น เขายังจะไปเมืองหลวงหรือไม่?

เขาไม่ควรไป

ทว่าเพียงแค่เขาคิดถึงภาพตอนที่เจียงเซี่ยนจัดยาเหล่านั้นให้จ้าวเซี่ยว เขาก็รู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก

เขารู้ว่าเขาต้องการอะไร

สุดท้ายเขาก็ยังตัดสินใจแอบกลับเมืองหลวง และแอบบอกตนเองว่า ไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน ไม่ว่าเจียงเซี่ยนจะกลั่นแกล้งเขาอย่างไร เขาก็จะปฏิบัติกับนางอย่างดี ชดเชยที่เขาเคยทำร้ายนาง

สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือ ตอนที่เขาเผชิญกับท่าทางเย็นชาของเจียงเซี่ยนจริงๆ เขาจะทุกข์ใจแบบนี้

ความรู้สึกเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเผชิญมาก่อนในชีวิต

ทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบจะต้องก้มตัวลงไป

แต่ในเมื่อเป็นเรื่องที่คาดการณ์มาล่วงหน้าแล้ว เขาก็ควรจะรับมันอย่างเยือกเย็นถึงจะถูก

หลี่เชียนสูดหายใจลึก และเอ่ยว่า “เป่าหนิง เช่นนั้น…ข้าสาบานกับเจ้าดีหรือไม่? ข้ารับรองว่าจะไม่แตะต้องตระกูลเจียง…”

เจียงเซี่ยนได้ยินแล้วก็รู้สึกกลุ้ม

ตอนที่ตระกูลเจียงกับตระกูลหลี่ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กัน หลี่เชียนก็จะไม่ทำลายตระกูลเจียงอย่างแน่นอน ทว่าตอนที่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์กันเล่า?

หลี่เชียนเป็นคนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่และทะเยอทะยาน ไม่ใช่แกะเสียหน่อย

ต่อให้เขาทำตัวเหมือนแกะต่อหน้านาง นั่นก็เป็นเพียงหมาป่าที่คลุมหนังแกะอยู่เช่นกัน สิ่งที่อยู่ภายในใจไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้

ตอนที่มีโอกาสกินเนื้อ เขาจะกินผักได้อย่างไร!

สัญญาลมปากแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร?

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าตั้งแต่นี้ไปนางควรปฏิบัติกับหลี่เชียนอย่างจริงจัง จะคิดว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มจริงๆ เพราะเขาอายุยังน้อย ชอบมอบของให้นาง ชอบขอความเห็นจากนาง และชอบคุยเล่นเรื่อยเปื่อยกับนางไม่ได้อีกต่อไปแล้ว แต่ต้องคิดว่าเขาเป็นอ๋องซีเป่ยในอนาคต อ๋องที่มีอำนาจเป็นอย่างมากในภายภาคหน้า

“ช่างเถอะ!” เจียงเซี่ยนเอ่ยแทรกคำพูดของหลี่เชียน และเอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่าเวลานี้เจ้าไม่คิดทำลายตระกูลเจียง ในเมื่อเจ้าบอกว่าเรื่องนี้ต่อไปข้าก็จะเข้าใจ เช่นนั้นพวกเราไว้ค่อยว่ากันก็แล้วกัน เจ้ารีบเดินทางก็เหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ดังนั้นไม่ต้องสนใจข้าแล้ว ทางข้ามีหลิวตงเยว่รับใช้ก็พอแล้ว” นางเอ่ยจบก็หาวครั้งหนึ่ง

ส่งสัญญาณให้หลี่เชียนว่าออกไปได้แล้ว

รอยยิ้มบนหน้าของหลี่เชียนค่อยๆ เลือนหายไป สีหน้าค่อยๆ เซื่องซึมขึ้น

“เช่นนั้นเจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ!” เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้า หน้าตาฉายแววเหงาหงอยเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด เขาจ้องเจียงเซี่ยนอย่างลุ่มลึกชั่วครู่ก็หันตัวออกจากรถม้าไป

หลิวตงเยว่ถอนหายใจยาวเหยียด

พลังของหลี่เชียนแข็งแกร่งมากทีเดียว ตอนที่เขาไม่พอใจ ในรถม้าเต็มไปด้วยความกดดันเป็นอย่างมาก พอเขาไปก็เหมือนฟ้าหลังฝน บรรยากาศในรถม้าต่างผ่อนคลายและมีความสุขขึ้น

ความง่วงของเขาก็ตามมาด้วยเช่นกัน

“ท่านหญิง!” เขารีบลากหมอนอิงใบใหญ่ที่ขว้างออกไปเมื่อครู่มาวางไว้หลังเจียงเซี่ยนอย่างเอาใจใส่ และเอ่ยว่า “ท่านพักผ่อนสักครู่เถอะ…เมื่อวานท่านได้นอนพักแค่สองสามชั่วยาม หลี่เชียนนั่นแม้แต่กินข้าวกับดื่มน้ำก็อยู่บนม้า ใครจะรู้ว่าคืนนี้จะพักแรมหรือรีบเดินทางต่อ? พวกเราต้องพักผ่อนเอาแรงไว้นะขอรับ”

ในขณะที่เอ่ยเพียงไม่กี่คำนั้น เขาหาวติดกันเจ็ดแปดครั้งแล้ว

———————————–

[1] ตราพยัคฆ์ ตราอาญาสิทธิ์รูปเสือของแม่ทัพที่แยกออกเป็นท่อนซ้ายและท่อนขวา