ภาคที่ 2 ตอนที่ 38 ร่างกระบี่แต่กำเนิด?

มรรคาสู่สวรรค์

กั้วหนานซานเพิ่งจะบรรลุเข้าสู่ขั้นคเนจร การควบคุมกระบี่ที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ยังมิค่อยลื่นไหลเท่าไร

 

กระบี่บินถูกทำลายจากระยะไกล แต่มิใช่ว่าอยู่ห่างไกลแล้วอาการบาดเจ็บที่เขาได้รับจะเบาลง

 

“ไร้ยางอาย!”

 

เหล่าศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างโกรธแค้นจนถึงขีดสุด ต่างคนต่างขี่กระบี่บินขึ้นไป

 

ลำแสงกระบี่หลายสิบสายส่องสว่างป่าหิน เตรียมจะมุ่งหน้าไปทางตะวันตก

 

ฉือเยี่ยนขี่กระบี่บินไปขึ้นบนท้องฟ้า แขนเสื้อสะบัดทีหนึ่ง

 

ยอดฝีมือขั้นคเนจรลงมือ ไหนเลยที่ศิษย์หนุ่มสาวเหล่านี้จะทนรับได้

 

ลมแรงพัดขึ้นมา ลำแสงกระบี่หลายสิบสายปั่นป่วน ถูกบีบให้ถอยกลับมายังหน้าผา

 

ฉือเยี่ยนตะคอกเสียงต่ำ “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? หรือจะบีบให้ข้าใช้กฎสำนักจัดการกับพวกเจ้า?”

 

เหล่าศิษย์ยอดเขาเหลี่ยงว่างทั้งหัวมีแต่ความโกรธแค้น ไหนเลยจะทนฟังต่อไปได้

 

กั้วหนานซานเช็ดโลหิตที่อยู่ตรงมุมปาก มองดูเหล่าศิษย์น้องหญิงชายพลางกล่าว “ข้าไม่ระวังเอง ไม่เกี่ยวกับเขา”

 

……

 

……

 

บนยอดเขาเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด

 

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปทางจิ๋งจิ่ว

 

สายตาเหล่านั้นมีความซับซ้อน บางคนมองด้วยความเคียดแค้น บางคนมองด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ที่มากที่สุดย่อมต้องเป็นความตกตะลึง

 

จิ๋งจิ่วทำเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้เรื่องหนึ่งสำเร็จ

 

เขาระบุชื่อท้าสู้กับยอดเขาเหลี่ยงว่าง แสดงพลังของสภาวะมิประจักษ์ออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย เอาชนะหม่าหวาได้อย่างง่ายดาย

 

หากนี่ยังถือเป็นเรื่องธรรมดา เช่นนั้นการที่กู้หานซึ่งเป็นศิษย์อันดับสามของยอดเขาเหลี่ยงว่างก็พ่ายแพ้ด้วยกระบี่ของเขาจะอธิบายอย่างไร

 

ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือเขาหักกระบี่ของกั้วหนานซาน!

 

สิ่งที่ตัดสินแพ้ชนะคือสองมือของจิ๋งจิ่ว

 

สองมือของเขาประกบกัน หนีบกระบี่ของกั้วหนานซานเอาไว้

 

การที่กู้หานกล้าใช้บ่อน้ำเยือกเย็นในสารทฤดูนั้นเป็นเพราะสภาวะเขาอยู่เหนือจิ๋งจิ่ว การใช้วิธีการต่อสู้ที่รุนแรงและอันตรายเช่นนี้ เขาย่อมมีเหตุผลของเขา

 

สภาวะของจิ๋งจิ่วต่ำต้อยกว่ากั้วหนานซานขนาดนั้น เหตุใดจึงกล้าทำเช่นนี้?

 

นี่มันมิใช่สิ่งที่จะอธิบายได้ด้วยคำว่าความกล้า

 

ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำเยือกเย็นในสารทฤดูของกู้หานหรือฝ่ามือกำสรวลของวัดกั่วเฉิง การจะใช้สองมือผนึกกระบี่บินเอาไว้ก็ล้วนแต่จำเป็นต้องเดินปราณกระบี่เอาไว้ล่วงหน้า

 

จิ๋งจิ่วคิดคำนวณเอาไว้แต่แรกแล้วว่ากั้วหนานซานจะปล่อยกระบี่ออกมา ถึงขนาดคาดการณ์ช่วงเวลาที่เขาจะปล่อยกระบี่ออกมา แล้วก็รอคอยเวลานั้น!

 

วิธีการต่อสู้เช่นนี้มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ เหล่าลูกศิษย์พากันครุ่นคิดอย่างละเอียดหลังจากที่ใจเย็นลง ต่างคนต่างรู้สึกว่ามันน่าหวาดกลัว แต่กลับบอกไม่ถูกว่าตรงไหนกันแน่ที่น่ากลัว

 

คนอื่นอย่างเจ้าแห่งยอดเขาต่างๆ และฉือเยี่ยนต่างมองเห็นอย่างชัดเจนว่าจิ๋งจิ่วใช้การคำนวณสถานการณ์ต่อสู้ล่วงหน้าในการเอาชนะกู้หานเช่นเดียวกัน

 

เขาเอานิสัยของกู้หาน การตอบสนองที่เป็นไปได้ ระยะห่างของเสาหิน ทิศทางของหน้าผาคำนวณเข้าไปทั้งหมด รวมไปถึงการตอบสนองของกั้วหนานซานด้วย

 

ดังนั้น กั้วหนานซานจึงพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังมิได้ปล่อยกระบี่ออกมา

 

พลังแห่งการคำนวณเช่นนี้…

 

ลมภูเขาพัดมา คิ้วขาวของเจ้าแห่งยอดเขาซีไหลพลิ้วไหว คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในใจคิดว่างานชุมนุมเหมยฮุ่ยปีหน้า เกรงว่าจิ๋งจิ่วคงจะได้ประมือกับถงเหยียนบนกระดานหมากล้อมจริงๆ เสียแล้ว

 

คนที่ได้ชมการประลองกระบี่ทั้งสองรอบนั้นล้วนแต่จำเป็นต้องยอมรับในความสามารถและวิถีกระบี่ที่จิ๋วจิ่วแสดงออกมา แต่หลายคนยังรู้สึกไม่ยอมรับในตัวจิ๋งจิ่ว

 

โดยเฉพาะศิษย์ยอดเขาเทียนกวงและยอดเขาเหลี่ยงว่าง

 

พวกเขารู้สึกโกรธแค้นแทนกั้วหนานซาน

 

กั้วหนานซานเป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนักชิงซาน แล้วยังเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของยอดเขาเหลี่ยงว่างด้วย ถือว่ามีบารมีในหมู่ศิษย์ร่วมสำนักอย่างมาก

 

วันนี้ เขาได้แสดงความสามารถของสภาวะขั้นคเนจรออกมาเป็นครั้งแรก

 

แม้นจิ๋งจิ่วจะเป็นอัจฉริยะด้านวิถีกระบี่ที่หาได้ยากยิ่ง แต่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร

 

ศิษย์หลายคนมองว่า หากสุดท้ายมิเป็นเพราะศิษย์พี่ใหญ่ไม่ยอมลงมือ ฝืนยั้งกระบี่เอาไว้ จิ๋งจิ่วคงจะตายไปแล้ว

 

จิ๋งจิ่วไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกขอบคุณ แต่กลับฉวยโอกาสลงมือ ช่างเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายยิ่งนัก

 

แต่พวกเขากลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แม้นการที่กั้วหนานซานปล่อยกระบี่ออกมาเป็นเพราะคิดอยากช่วยกู้หาน ทว่าความจริงแล้วกลับเป็นการทำให้เกิดสถานการณ์แบบสองต่อหนึ่งขึ้นมา

 

“ข้ามิได้บอกให้หยุด ไม่ว่าใครก็ห้ามปล่อยกระบี่ มิเช่นนั้นจะถือเป็นการฝ่าฝืนกฎสำนัก ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เขาทำคือปล่อยกระบี่ลอบโจมตีผู้เป็นอาจารย์”

 

ฉือเยี่ยนมองเหล่าลูกศิษย์ที่บนใบหน้ายังมีความรู้สึกไม่ยินยอม พลางกล่าวเสียงต่ำว่า “เห็นแก่ที่เขาเป็นห่วงพี่น้องร่วมสำนัก ครั้งนี้ยอดเขาซั่งเต๋อจะไม่ถือโทษเขา”

 

ครั้นได้ยินประโยคนี้ ศิษย์หลายคนจึงได้สติขึ้นมา ทั้งยิ่งรู้สึกโมโหและกลุ้มใจ

 

จิ๋งจิ่วมิใช่ศิษย์ธรรมดาที่เข้าร่วมงานชุมนุมซื่อเจี้ยน

 

เขาเป็นอาจารย์อา

 

กู้หานแม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่มิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต หลังทำการรักษาอย่างง่ายๆ ก็ถูกเหล่าศิษย์น้องพยุงกลับมายังลานประลอง

 

“มีความสามารถ ตอนนั้นที่หลิ่วสือซุ่ยเกิดเรื่อง เจ้าก็ควรจะก้าวออกมา”

 

เขามองจิ๋งจิ่วพลางกล่าวเสียงแข็ง

 

จิ๋งจิ่วกลาว “เวลานี้ข้าก้าวออกมาแล้ว แต่ดูเหมือนเจ้าจะมิได้เตรียมพร้อมที่จะรับผลที่ตามมา”

 

คำพูดของเขาประโยคนี้ดึงดูดสายตาที่โกรธแค้นเป็นจำนวนมาก

 

เจ้าล่าเยวี่ยลุกขึ้น

 

อัญมณีสีน้ำเงินอ่อนที่ส่องแสงจางๆ เม็ดหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า จากส่วนที่ลึกที่สุดของข่ายพลังชิงซานลงมาถึงตรงหน้านาง ก่อนจะถูกนางเก็บไว้ในแขนเสื้อ

 

“ยอดเขาเสินม่อต้องการสิทธิ์หนึ่งที่”

 

ครั้นกล่าวจบ นางก็พาจิ๋งจิ่วขี่กระบี่บินออกไป

 

ลำแสงกระบี่สีแดงวาดเป็นเส้นตรง มุ่งหน้าไปทางยอดเขาเสินม่อ

 

……

 

……

 

ตกเย็น งานชุมนุมซื่อเจี้ยนจบสิ้นลง

 

เยาซงซานและศิษย์คนอื่นรวมเก้าคนได้สิทธิ์ไปร่วมงานชุมนุมเหมยฮุ่ยในปีหน้า

 

สิทธิ์ที่เหลือสุดท้ายนั้นย่อมต้องเป็นของจิ๋งจิ่ว แม้นเขาจะมิได้อยู่จนจบงานก็ตาม

 

เจ้าล่าเยวี่ยใช้สถานะของเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อเสนอข้อเรียกร้องอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเอาชนะกู้หานได้อย่างใสสะอาด ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่าเขามีคุณสมบัติที่จะไปเข้าร่วมงานชุมนุม

 

อาจารย์แต่ละยอดเขาและเหล่าลูกศิษย์ทยอยแยกย้ายไป ท้องฟ้าพลันเต็มไปด้วยลำแสงกระบี่ แสงอาทิตย์ยามเย็นคล้ายถูกฉีกออกเป็นแถบสีแดงจำนวนนับไม่ถ้วน

 

แต่เจ้าแห่งยอดเขากลับยังไม่จากไป

 

แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องแท่นหินบนหน้าผา ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ

 

ในฐานะที่เป็นศิษย์คนแรกของเจ้าสำนัก เป็นศิษย์อันดับหนึ่งแห่งยอดเขาเหลี่ยงว่าง ความจริงแล้วสถานะในสำนักชิงซานของกั้วหนานซานนั้นสูงส่งอย่างมาก ผู้อาวุโสบางคนยังมีบารมีสู้เขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

 

ตามหลักแล้ว แม้นจิ๋งจิ่วจะมีสถานะเป็นอาจารย์อา แต่การที่ใช้วิธีแบบนี้ทำร้ายอีกฝ่าย เขาก็ควรจะต้องชดใช้อะไรบ้าง

 

ยอดเขาเสินม่อในเวลานี้มีเพียงคนหนุ่มสาวสี่คนกับลิงอีกฝูงหนึ่ง มิได้มีกำลังอะไรในชิงซาน

 

แต่เจ้าแห่งยอดเขากลับมิได้แสดงความเห็นใดๆ ทั้งยังมีท่าทีเหมือนจะปกป้องเสียด้วยซ้ำ กระทั่งยอดเขาเทียนกวงเองก็นิ่งเงียบ — อย่าว่าแต่ผู้อาวุโสมั่วที่ชื่นชมจิ๋งจิ่วมาโดยตลอดเลย กระทั่งไป๋หรูจิ้งก็ยังมิกล่าวกระไร

 

นี่มีคำอธิบายเพียงหนึ่งเดียว

 

พวกเขาคิดว่าจิ๋งจิ่วมีความสำคัญต่อสำนักชิงซานมากกว่ากู้หาน หรือกระทั่งกั้วหนานซาน

 

ไม่ว่าจิ๋งจิ่วจะมีการรับรู้ต่อกระบี่ที่เฉียบคมเพียงใด พลังแห่งการคำนวณแข็งแกร่งแค่ไหน หากคิดอยากจะทำเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างในวันนี้ สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือพลังความสามารถ

 

จนถึงตอนนี้ เหล่าเจ้าแห่งยอดเขายังไม่อาจลืมภาพสองภาพในการต่อสู้เมื่อครู่ได้

 

สองมือของจิ๋งจิ่วหนีบกระบี่เล่มนั้นเอาไว้

 

และยังมีอีกภาพหนึ่งก็คือ กู้หานผนึกกระบี่ของจิ๋งจิ่วเอาไว้ แต่จู่ๆ จิ๋วจิ่วพลันหายตัวไปจากบนเสาหิน ก่อนจะไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ากู้หานในอึดใจต่อมา

 

เจ้าแห่งยอดเขาคือยอดฝีมือของชิงซาน บนธรรมวิถีอันยาวนานมิรู้ว่าได้พบเจออัจฉริยะและเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อมามากมายเท่าไร เหตุใดจึงฝังใจกับภาพเหตุการณ์นี้ถึงเพียงนี้ เหตุใดท่าทีที่แสดงออกมาจึงระมัดระวังถึงเพียงนี้? เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะสังเกตเห็นรายละเอียดบางอย่างในภาพเหตุการณ์นี้

 

ตอนที่จิ๋งจิ่วเหยียบอากาศทะยานขึ้นไป ก่อนจะไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้ากู้หาน เสื้อผ้าและเส้นผมที่ปลิวไสวล้วนแต่มีลำแสงกระบี่เปล่งประกายออกมา

 

“เป็นร่างกระบี่แต่กำเนิด…จริงๆ อย่างนั้นหรือ?”

 

เสียงของเจ้าแห่งยอดเขาอวิ๋นสิงฟังดูลังเล เนื่องเพราะเขามิกล้าเชื่อในการวิเคราะห์ของตัวเอง

 

ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตมีการคาดเดาอยู่อย่างหนึ่งมาโดยตลอด หากโอสถกระบี่ในร่างกายของผู้บำเพ็ญพรตมิได้รวมเข้ากับกระบี่บิน หากแต่รวมเข้ากับร่างกายของผู้บำเพ็ญพรตแทน มันจะเกิดผลลัพธ์แบบไหนกัน

 

คำถามนี้ไม่มีคำตอบ มีแต่เพียงการคาดเดาเท่านั้น นั่นก็คือ ร่างกระบี่แต่กำเนิด

 

……………………………………………………………………….