เล่ม 2 ตอนที่ 173 ก็แค่งั้นๆ

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

ยามราตรีอันเงียบสงัด ณ ห้องหนังสือ จวนหลีอ๋อง

หรงซิวยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าชั้นหนังสือ ก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

“หนังสือทั้งสองชั้นข้างบนขนไปทั้งหมด แล้วขนเอาชีวประวัติที่ข้าชอบอ่านหลายเล่มตามไปด้วย”

อวี๋ม่อรับคำ ก่อนจะก้าวเข้าไปข้างหน้าแล้วเก็บหนังสือทีละเล่มอย่างระมัดระวัง

เยี่ยนชิงมองผู้เป็นนายด้วยความลังเล

“องค์ชาย พระองค์จะเสด็จไปประทับที่สำนักเทียนลู่จริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ”

หรงซิวเหลือบมองเขา

“ทำไมเล่า มีปัญหาอันใดหรือ”

“กระหม่อมมิบังอาจ! เพียงแต่…คนในสำนักเทียนลู่หูตาเป็นสับปะรด เกรงว่าอาจจะทำอะไรหลายๆ อย่างไม่สะดวกเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ

เยี่ยนชิงคิดไม่ถึงว่าผู้เป็นนายเสด็จข้าวังในครั้งนี้จะตัดสินใจไปที่สำนักเทียนลู่ เขาไม่ทันได้ตั้งตัวจริงๆ

อวี๋ม่อลอบส่งสายตามาให้เงียบๆ

เจ้านี่โง่เขลาจริงๆ!

เหตุใดองค์ชายถึงเสด็จไปสำนักเทียนลู่ ผู้อื่นไม่รู้ไม่ว่า แต่แม้กระทั่งเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ

เยี่ยนชิงปวดกบาล

ตั้งแต่ที่องค์ชายเสด็จกลับมาจากบรรพตวั่นหลิงด้วยสภาพเปื้อนเลือดไปทั้งร่างเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากนั่งเงียบๆ ในห้องหนังสือตลอดทั้งคืน เขาก็พอจะรู้ถึงความเคลื่อนไหวของผู้เป็นนาย

แต่เขาจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าจะใช้กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ

อวี๋ม่อส่ายหน้า

อะไรก็ตามที่องค์ชายทรงอยากทำ พวกเขาสามารถขัดขวางได้ด้วยหรือ

เยี่ยนชิงถอนหายใจอย่างหนัก

“อยากพูดสิ่งใดก็พูดมาสิ” จู่ๆ หรงซิวก็เอ่ยขึ้น

เยี่ยนชิงรู้ดีว่าไม่สามารถปิดบังความคิดกับผู้เป็นนายได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกไปตามตรง

“องค์ชาย ถ้าหากพระองค์ทรงเป็นห่วงคุณหนูหลิวเยว่ พระองค์ลอบส่งคนไปคุ้มครองเยอะๆ ก็ได้ จำเป็นต้องเสด็จด้วยพระองค์เองด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้รัชทายาทถูกกักบริเวณ องค์ชายสามต้องอยู่ในเมืองหลวงห้ามกลับค่ายทหารซีเป่ย เพลานี้เป็นช่วงคับขัน หากพระองค์ทรงเคลื่อนไหวมากเช่นนี้ มันไม่ปลอดภัยต่อพระองค์จริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ!”

หรงซิวมองเขาเงียบๆ

“ยังมีอีกไหม”

เยี่ยนชิงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า

เขากังวลเรื่องความปลอดภัยของเจ้านายเป็นหลัก

แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเจ้านายของเขาแข็งแกร่งและทรงพลัง แต่การทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายนั้นไม่ใช่วิสัยปกติของเจ้านายจริงๆ

“ในเมื่อพูดจบแล้วก็ไปช่วยอวี๋ม่อเก็บของซะ”

“องค์ชาย”

เยี่ยนชิงอยากจะเถียงอีก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหรงซิวแล้วก็รู้ทันทีว่าต่อให้พูดไปก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงต้องยอม

“พ่ะย่ะค่ะ”

หรงซิวเคาะโต๊ะ

“วันนี้นางไปที่หอโอสถสวรรค์หรือ เหตุใดเหยียนเก๋อถึงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลยล่ะ”

อวี๋ม่อรีบเอ่ยตอบ

“องค์ชาย เหยียนเก๋อบอกว่า เขาไม่ได้รับข่าวจากคุณหนูหลิวเยว่เลยพ่ะย่ะค่ะ คิดดูแล้ว น่าจะเป็นเพราะคุณหนูหลิวเยว่จงใจไปที่หอโอสถสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ”

หรงซิวตอบ “อืม” เสียงเรียบ

“เจ้ารู้ไหมว่านางต้องการยาพวกนั้นไปทำสิ่งใด”

อวี๋ม่อและเยี่ยนชิงหันมาสบตากัน

“เรื่องนี้…กระหม่อมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”

หรงซิวเลิกคิ้วขึ้น

ของขวัญที่ทางเจินเป่าเก๋อส่งไปให้เมื่อคราวก่อนก็มียาราคาแพงรวมอยู่ในนั้นจำนวนไม่น้อย

ไม่มีทางที่ฉู่หลิวเยว่จะไม่รู้ว่าถ้าหากต้องการอะไร นางไปที่เจินเป่าเก๋อจะสะดวกกว่า

แต่นางต้องไปหอโอสถสวรรค์ให้จงได้ เช่นนั้นนางก็ต้องไปโดยมีเจตนา

“ไม่รู้จริงๆ หรือ”

อวี๋ม่อกระแอมไอ ปิดบังความลับกับองค์ชายไม่ได้จริงๆ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้…

เขากัดฟันและพูดอย่างกล้าหาญ

“ได้ยินมาว่า คุณหนูหลิวเยว่ไปเอายาจากหอโอสถสวรรค์เพื่อรักษาสหายผู้หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

หรงซิวเอนหลังพิงพนักเก้าอีก นิ้วเรียวทั้งสิบประสานเข้าหากันด้วยท่าทางอ้อยอิ่ง แต่เขากลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่มิอาจพรรณนาได้

“อ๋อ แล้วเป็นสหายคนใดเล่า”

อวี๋ม่อหลับตาปี๋

“นามว่า…เลี่ยวจงซูพ่ะย่ะค่ะ!”

ทันทีที่สิ้นเสียงเขา บรรยากาศทั้งห้องหนังสือก็เงียบกริบทันที

ริมฝีปากบางของหรงซิวยกขึ้นจนเกิดเป็นเส้นโค้งลุ่มลึก

“ที่แท้ก็เป็น…สหายหนุ่มนี่เอง…”

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็เคี่ยวยาเสร็จสักที จากนั้นนางจึงนำไปใส่ไว้ในกล่องหยก แล้วเตรียมตัวไปส่งให้กับเลี่ยวจงซู

ขณะที่นางเดินไปที่ประตู นางก็เห็นมู่หงอวี๋วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“หลิวเยว่ๆ! ข่าวใหญ่!”

ฉู่หลิวเยว่อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

“ข่าวใหญ่ใดกันถึงทำให้เจ้าตื่นเต้นได้เพียงนี้ หรือว่าเจ้าพบหลักฐานอะไรบางอย่างแล้ว”

มู่หงอวี๋หุบยิ้มทันที

“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย เรื่องนี้ง่ายขนาดนั้นเสียที่ใดกันเล่า!”

แต่ในไม่ช้านางก็กลับมาระริกระรี้ขึ้นอีกครั้ง และดวงตาของนางก็เป็นประกาย

“เจ้ารู้หรือไม่ วันนี้หลีอ๋องจะเสด็จมาประทับที่สำนักเทียนลู่”

หัวใจเต้นเสียงโครมคราม

“เขามาด้วยเหตุอันใด คงไม่ได้มาสอบเข้าสำนักหรอกกระมัง”

มู่หงอวี๋ไม่ได้สังเกตว่าเมื่อฉู่หลิวเยว่กล่าวถึงหลีอ๋อง น้ำเสียงของนางฟังดูค่อนข้างสนิทสนม ทั้งยังแอบคิดว่านางแค่สงสัยจึงหัวเราะแหะๆ กลับไป

“นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร หลีอ๋องขี้โรค จะสอบเข้าสำนักของเราได้อย่างไร ที่พระองค์เสด็จมาในครั้งนี้ก็เพื่อมากราบไหว้พระมารดาของพระองค์! ตอนนั้นมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่พระมารดาของพระองค์เป็นอาจารย์ประจำสำนักเทียนลู่ แต่ทว่ามิได้สร้างสุสานเอาไว้ที่สุสานหลวงของราชวงศ์ ดังนั้นหลีอ๋องจึงเสด็จมาที่นี่อย่างไรเล่า”

ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“นี่…เหมาะสมหรือ”

“มีอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะสมกันล่ะ หัวหน้าสำนักและฝ่าบาทตกลงรับปากแล้ว หลีอ๋องถึงเสด็จมาได้ เจ้าไม่รู้หรือว่าตอนนั้นพระมารดาเป็นพระสนมคนโปรดเพียงผู้เดียวในวังหลัง! ยามนี้หลีอ๋องทรงอยากระลึกถึง แน่นอนว่าฝ่าบาทก็มิทรงขัดข้อง ส่วนหัวหน้าสำนักดูเหมือนจะเคยเป็นสหายสนิทกับพระสนมในตอนนั้นเชียวนะ! ตอนนี้ทางผู้อาวุโสซุนได้เชิญหลีอ๋องเจ้ามาในสำนักแล้ว หากไม่ใช่เพราะทุกคนไม่กล้าไปดูหลีอ๋องอย่างเปิดเผย คราวนี้คงแห่กันไปดูตั้งนานแล้ว!”

ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“มีอะไรน่าดูกัน”

“เหตุใดจะไม่น่าดูเล่า ในเมืองหลวงเขาลือกันให้ทั่วว่าองค์ชายพระองค์นี้เกิดมารูปงามที่สุด มีสตรีมากมายไม่รู้เท่าไหร่ที่อยากยลโฉมพระองค์น่ะ! นี่ หลิวเยว่ ข้าจำได้ว่างานเลี้ยงวันเกิดรัชทายาทที่ผ่านไปเมื่อก่อนหน้านี้ เจ้ากับหลีอ๋องก็ไปด้วยนี่นา เจ้าน่าจะได้เจอกับพระองค์แล้วใช่หรือไม่ รีบบอกข้ามาสิว่าทรงรูปงามดั่งที่เขาลือว่าอ่อนโยนดุจหยก มิมีผู้ใดเปรียบใช่หรือไม่”

ฉู่หลิวเยว่อยากตบหน้าผากทันที

แต่ทว่าในใจของนางกลับมีใบหน้าเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้น

นางกระแอมไอ

“…ก็แค่งั้นๆ กระมัง”

มู่หงอวี๋ไม่พอใจกับคำตอบนี้ ดังนั้นนางจึงส่งเสียงถุยน้ำลาย

“ข้าได้ยินมาว่าวันนั้นองค์หญิงสี่รังแกเจ้า แต่ก็มีหลีอ๋องพระองค์นี้ที่ยืดอกเข้ามาช่วยเจ้า เจ้า…ไม่หวั่นไหวสักนิดเลยหรือ”

ฉู่หลิวเยว่รีบสวนกลับทันทีว่า

“จะเป็นไปได้อย่างไร เขา…”

ก่อนที่นางจะพูดจบ ร่างสูงที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นจากมุมหนึ่งของแสงสว่าง

ฉับพลันคำพูดของนางก็ติดอยู่ในลำคอ

มู่หงอวี๋ถามด้วยความแปลกใจ

“จริงหรือ”

“จริงแท้แน่นอน”

ทันใดนั้น เสียงที่ต่ำและเย็นเยียบมาจากด้านหลัง แต่กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และมีความเกียจคร้านเล็กน้อย ราวกับลมที่พัดผ่านสายน้ำในวสันต์ฤดู

“ถึงอย่างไร ในสายตาของคุณหนูหลิวเยว่ ข้าคงมีรูปโฉม ก็แค่งั้นๆ ใช่หรือไม่ คุณหนูหลิวเยว่”