บทที่ 151 เปิดเซิฟเวอร์ทดสอบ

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม

ฉางหยางเกมส์

การปรับแก้ตัวเกมเวอร์ชันแรกเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่เยว่จือโจวยังไม่อยากส่งข้อมูลและปล่อยตัวอัปเดตเกม

แค่คิดว่าเพียงคำสั่งเดียวของเขา ชะตากรรมของฉางหยางเกมส์จะเปลี่ยนไปในทิศทางใหม่ก็ทำให้มือของเขาสั่นเทิ้ม

หนึ่งสัปดาห์หลังการประชุม สิ่งที่ต้องปรับแก้ก็ปรับเรียบร้อยหมดแล้ว

ตามคำสั่งของบอสเผย พวกเขาต้องตัดช่องทางการเก็บเงินผู้เล่นของเกมนักพรตสะกดใจกับเกมเพลงรบโลหิตทั้งหมดออก เหลือไว้แค่อย่างเดียว

เกมนักพรตสะกดใจเป็นเกมแนวบริหารทรัพยากรที่ไม่มีการแข่งขันกันเองระหว่างผู้เล่น จึงแก้ไขง่ายกว่า เยว่จือโจวเลือกเก็บตั๋วเร่งความเร็วไว้เป็นช่องทางการเก็บเงินผู้เล่น

เพราะเกมนี้น่าจะไปต่อได้ไม่นาน ไม่ถือว่าเป็นเกมหลักของบริษัทอีกต่อไป

เกมหลักของฉางหยางเกมส์คือเกมเพลงรบโลหิต

หลังจากไตร่ตรองอย่างละเอียด เยว่จือโจวและหวังเสี่ยวปินก็ตัดสินใจว่าจะเก็บยาเพิ่มพลังไว้เป็นช่องทางการเก็บเงินผู้เล่น

พวกเขาขึ้นราคายาเพิ่มพลัง แต่ละคนสามารถใช้ทองซื้อได้สูงสุดวันละหนึ่งร้อยทอง หรือเท่ากับสิบหยวน

เพื่อที่จะทำตามเป้าหมายในการตัดช่องทางการเก็บเงินให้เหลือแค่อย่างเดียว หวังเสี่ยวปินต้องแก้ตัวเกมทั้งระบบ ส่วนอื่นๆ ก็ต้องปรับแก้ตามนี้ด้วยเช่นกัน พวกเขาสร้างระบบใหม่ขึ้นมาทดแทน เช่น ‘ระบบผู้ถูกเลือก’ ที่เยว่จือโจวแนะนำ

หลังจากปรับแก้แล้ว ถึงภายนอกจะดูไม่ต่างจากเดิม แต่เนื้อหาข้างในนั้นต่างไปอย่างสิ้นเชิง

หวังเสี่ยวปินนั่งลงข้างเยว่จือโจว “มีปัญหาตรงไหนรึเปล่า”

เยว่จือโจวส่ายหน้า “ไม่มีครับ ผมแค่..กังวลนิดหน่อย

“ครั้งนี้เราปรับปรุงยกเครื่องใหม่หมด แถมยังไม่มีเกมอื่นที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วไว้ดูเป็นแบบอย่าง เราทำตามไอเดียที่คิดขึ้นมาล้วนๆ…

“ผมไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง”

ก่อนหน้านี้ ถ้ามีใครนำเสนอไอเดียอะไรในการประชุม หัวหน้าหลิวจะถามเสมอว่า ‘มีเกมไหนทำแบบนี้แล้วประสบความสำเร็จไหม’

ถ้าตอบว่าไม่ ส่วนใหญ่ไอเดียนั้นจะถูกปัดตก

เยว่จือโจวคุ้นชินกับแนวคิดแบบนี้ไปแล้ว ตอนนี้จึงรู้สึกสับสนมาก

“พี่หวัง พี่มีประสบการณ์เยอะ คิดว่ามันจะออกมาดีมั้ย”

หวังเสี่ยวปินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เสี่ยวเยว่ ตอนนี้นายเป็นหัวหน้าฝ่ายวางแผนนะ นายต้องตัดสินใจเรื่องต่างๆ เอง นายไปไล่ถามคนอื่นไม่ได้แล้ว

“จะออกมาดีหรือไม่ดี ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็เป็นของนาย แต่ความรับผิดชอบก็เป็นของนายเหมือนกัน ในเมื่อเป็นหัวหน้าฝ่ายวางแผนแล้วก็ต้องเตรียมใจไว้ให้พร้อม

“จำเกมนักออกแบบเกมได้มั้ย ความเห็นของคนอื่นก็เหมือนเสียงพากย์ในเกมแหละ นอกจากกวนประสาทนายแล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร”

เยว่จือโจวพยักหน้าพร้อมถอนหายใจเบาๆ “ก็จริงครับ”

เขาเล่นเกมนักออกแบบเกมบ่อยจนจำได้ขึ้นใจว่าถ้าตอบแบบนี้ไปจะได้ฉากจบแบบไหน

ในเกมเขาสามารถเลือกตัวเลือกที่ถูกต้องไปเรื่อยๆ ได้โดยไม่สนใจเสียงพากย์

แต่ถึงจะเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่ในความเป็นจริง เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเพิกเฉยต่อเสียงติชมได้ไหม

หวังเสี่ยวปินลุกยืนพร้อมพูดเสริม “เป็นเรื่องปกติที่นายจะรู้สึกสับสน จำไว้แค่ว่านายแค่ทำงานส่วนของนายตามที่ได้รับมอบหมายจากบอสเผย”

เยว่จือโจวตาเป็นประกาย

ใช่ นี่เป็นสิ่งที่บอสเผยมอบหมายให้เขาทำ!

จะออกมาดีหรือไม่ แค่ทำตามที่บอสเผยบอกก็น่าจะพอแล้วใช่ไหม

คิดได้แบบนั้น เยว่จือโจวก็ไม่นึกลังเลใจอีก เขาตรวจดูเกมอย่างรวดเร็วอีกครั้ง จากนั้นก็ส่งข้อความเข้ากลุ่ม

“อัปเดตตัวเกมได้ครับ”

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา

เกมเพลงรบโลหิตกลายเป็นห้องแชตคุยกันขนาดใหญ่

ผู้เล่นมากมายมารวมตัวอยู่ที่ลานกว้างของเมืองหลักในแต่ละเซิฟเวอร์เพื่อคุยกันเรื่องอัปเดตตัวใหม่

ตั้งแต่เกมเพลงรบโลหิตเปิดให้บริการ มีการอัปเดตตัวเกมอยู่หลายหน แต่ละครั้งจะมีประกาศแจ้งเกี่ยวกับการอัปเดต แต่ประกาศครั้งก่อนๆ ไม่เคยสร้างความสนใจให้ผู้เล่นได้เท่านี้มาก่อน

เหล่าผู้เล่นไม่ได้สนใจเก็บเลเวลหรือรบกัน ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อถกเรื่องอัปเดตครั้งใหม่

“มีใครอธิบายได้มั้ยว่าประกาศล่าสุดคืออะไร ตั้งแต่นี้ต่อไปในร้านค้าจะมีขายแค่ยาเพิ่มพลังเหรอ ของอื่นๆ… ไม่ขายแล้วเหรอ”

“เห็นบอกว่าของอื่นๆ จะแจกฟรี”

“แจกฟรีเหรอ… หรือว่าเกมจะปิดให้บริการแล้วเลยเอาใจผู้เล่นเป็นครั้งสุดท้าย”

“คนเลิกเล่นไปเยอะมากตั้งแต่วางขายดาบราคาแปดร้อยแปดสิบแปดหยวน ฉันว่าเกมน่าจะปิดให้บริการเร็วๆ นี้แหละ อยู่เล่นไปจนถึงตอนนั้นแล้วกัน”

“ฉันว่ามันแปลกๆ ทำไมเลือกทำอะไรแบบนี้ต้องเหลือผู้เล่นอยู่โหรงเหรง จะแจกของเทพๆ ให้ฟรีเหรอ บ้าหรือเปล่า ตั้งใจจะไล่พวกสายวาฬรึไง”

“ถ้าอยากเปย์ก็ยังเปย์ได้นะ ก็ซื้อยาเพิ่งพลังวนไป ซื้อได้วันละสิบขวด ยิ่งซื้อราคาก็ยิ่งแพงขึ้น ถ้าซื้อครบตามจำนวนที่กำหนดต่อวันก็เปย์ได้ร้อยทอง”

“เอ็งบ้าหรือเปล่า ร้อยทองมันแค่สิบหยวนเองนะ! อย่าว่าแต่สายวาฬเลย ผู้เล่นจนๆ อย่างฉันก็ซื้อได้”

“ผมงงมากว่าบริษัทตั้งใจจะทำอะไร”

“หัวกิลด์ของฉันบอกว่าจะเติมเงินซื้อไอเทมให้หมดก่อนจะอัปเดต กลัวว่าเดี๋ยวจะซื้อไม่ได้อีก!”

“สายไปแล้ว เขาแก้ตรงนั้นไปแล้ว ตอนนี้เติมเงินไม่ได้แล้ว”

“…อยากเติมก็เติมไม่ได้ อะไรวะนี่!”

“เห็นแล้วคิดถึงเกมแม่ทัพผีเลย”

“ผมมีคำถาม ถ้าเป็นตามนี้จริง พอเปิดเซิฟใหม่ เราจะต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้นกันหมดรึเปล่า ต้องเปย์สิบหยวนทุกวันเพื่ออัปพลังรบมั้ย”

“ถ้าอิงตามที่ประกาศก็ใช่”

“เดี๋ยวนะ แล้วตอนรบจะสู้กันยังไง ถ้าพลังรบเท่ากันหมดก็ต้องสู้กันที่จำนวนแทนสิ”

“ไม่ใช่ เหมือนจะมีระบบ ‘ผู้ถูกเลือก’ ใส่เข้ามา พลังของผู้เล่นแต่ละฝั่งจะเฉลี่ยให้เท่ากันตามจำนวนคนเล่น เสร็จแล้วระบบก็จะสุ่มให้ผู้เล่นบางส่วนมีพลังรบสูงกว่าคนอื่นๆ ตามแต้มที่มี”

“แสดงว่าถ้าฉันถูกเลือก ฉันก็ไล่หวดคนอื่นๆ ได้สบายๆ สิ”

“อ้าว แล้วจะอยู่เซิฟเก่าไปทำไม ขาย แบบนี้ต้องขาย ขายแม่งให้หมด! ตรูจะย้ายไปเซิฟใหม่!”

เหล่าผู้เล่นถกกันไม่หยุดตั้งแต่ออกประกาศไปจนถึงอัปเดตเสร็จสิ้น

เว็บบอร์ดเกมที่ปกติเงียบเหงากลับมีกระทู้ใหม่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ทุกคนกำลังถกกันอย่างร้อนแรง!

เยว่จือโจวรู้ว่าเหล่าผู้เล่นไม่น่าจะเข้าใจการปรับปรุงเกมครั้งนี้ได้ไวนัก จึงเป็นเรื่องปกติที่คนจะออกมาถกกันยกใหญ่

จริงๆ ก็ถือเป็นเรื่องดีที่มีคนมากมายแห่มาคุยกันเรื่องอัปเดตใหม่ ตอนแรกเขากลัวว่าถึงจะมีอัปเดตใหม่ก็น่าจะเงียบเป็นเป่าสากอยู่ดี ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคงเศร้าน่าดู

เยว่จือโจวสมัครบัญชีใหม่เพื่อแฝงตัวเข้าไปดูกระแสตอบรับจากผู้เล่น

ถือว่าผิดคาดมากที่คนไม่ได้ต่อต้านกันอย่างรุนแรง!

เยว่จือโจวคิดว่าพวกผู้เล่นสายวาฬน่าจะสาปส่งกันยกใหญ่ แต่พอเข้าเกมไปกลับพบว่าพวกความเห็นไม่ดีถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครเข้าไปตอบโต้

ทุกคนกำลังถกกันว่าอัปเดตครั้งนี้จะส่งผลต่อสงครามยังไง และถามกันว่าเซิฟเวอร์ใหม่จะเปิดให้บริการเมื่อไหร่

“ทุกคนอยากเล่นเซิฟเวอร์ใหม่มาก ตื่นเต้นกันขนาดเลยเหรอ”

เยว่จือโจวหันมองหวังเสี่ยวปิน “พี่หวัง เราเปิดเซิฟเวอร์ให้ผู้เล่นเข้ามาทดสอบกันไหมครับ”

……………