ภาค 1 บทที่ 110 ผู้ชายเฮงซวย

จอมศาสตราพลิกดารา

หากเรื่องดำเนินมาถึงเพียงขั้นนี้ ก็จะเป็นเรื่องเล่าที่สวยงามของสาวงามและหนุ่มอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ภายหลังกลับเกิดการเปลี่ยนแปลง

ตระกูลขุนนางของมารดาหลี่มู่ ภายหลังเลือกยืนข้างผิดเรื่องการปกครองของจักรวรรดิ จึงสูญเสียอำนาจไปโดยสมบูรณ์ เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ขั้วอำนาจสูญสลาย ต้องแบกรับความผิด เสาหลักของตระกูลล้มครืน บุคคลเก่งกาจทั้งหลายคนที่ต้องติดคุกก็ติดคุก ใครที่โดนเนรเทศก็โดนเนรเทศ ความเฟื่องฟูและเกียรติยศที่ว่าพัดหายไปกับพายุฝน เวลาเพียงคืนเดียว ตำแหน่งทางการเมืองหายวับไปสิ้น

ส่วนบิดาของหลี่มู่ที่เป็นเจ้าเมืองฉางอัน กลับใช้วิธีการแยบคายเคลื่อนไหวทำอะไรบางอย่าง จึงไม่ถูกพัวพันเข้ามา อีกทั้งตำแหน่งมั่นคงดี

ตระกูลชั้นสูงมีคุณูปการทุ่มกำลังและทรัพยากรสุดท้ายไว้ที่บิดาของหลี่มู่ หวังว่าลูกเขยที่พวกเขาผลักดันขึ้นมาจะช่วยตระกูลให้หวนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และฟื้นคืนสู่เกียรติยศเมื่อวันวาน

แต่คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญ บิดาของหลี่มู่กลับหักหลังตระกูลอย่างไม่ลังเล แล้วไปเข้าพวกกับขั้วอำนาจการเมืองฝ่ายศัตรู

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ กล่าวได้ว่าน้ำเน่าสุดๆ

ตอนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลี่มู่เพิ่งจะครบเดือนเท่านั้น ยังไร้เดียงสาไม่รู้ความ

และจากการสูญเสียอำนาจของตระกูล ตำแหน่งในจวนตระกูลหลี่ของมารดาหลี่มู่จึงตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว

สามีภรรยาที่เคารพและให้เกียรติกันในวันวานไม่มีอีกต่อไป ถึงแม้บิดาหลี่มู่ไม่ได้หย่าขาดกับภรรยาเพื่อรักษาชื่อเสียงของตนในจักรวรรดิ แต่กลับตบแต่งผิงชี[1]คนหนึ่ง ทั้งยังรับอนุอีกหลายคน กับมารดาหลี่มู่ภรรยาคนแรกผู้นี้ ไม่เพียงจะไม่สนใจไยดี ซ้ำยังดุด่าว่ากล่าวต่อหน้าผู้คนหลายครั้ง

ภายหลัง มารดาหลี่มู่ถูกไล่ออกไปอยู่เรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งในจวน เหลือเพียงแค่หญิงรับใช้ที่ติดตามมาด้วยยามออกเรือนคอยรับใช้ ความเป็นอยู่ลำบากแร้นแค้น ชีวิตน่าอนาถ

มารดาของหลี่มู่เลี้ยงดูหลี่มู่จนเติบใหญ่อย่างยากลำบากในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

หลี่มู่ก็ใจสู้ ตั้งแต่เล็กฉลาดหลักแหลม พรสวรรค์เป็นเลิศ กตัญญูต่อมารดา มีหลายครั้งที่โดนบิดาดุด่าลงโทษเพราะปกป้องมารดา อีกทั้งเขาไม่เคยได้เกียรติยศที่ควรได้ในฐานะนายน้อย แม้แต่การศึกษาเล่าเรียนฝึกวรยุทธ์ยังเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ไม่ต่างอะไรกับบ่าวรับใช้ในจวนนัก บ่าวบางคนมักจะระรานเขาอยู่บ่อยครั้ง

จนกระทั่งวันหนึ่ง ในที่สุดบิดาของหลี่มู่ก็ตัดสินใจ ดึงดันไม่ฟังคำทัดทานของใคร จะหย่ามารดาของหลี่มู่แล้วตบแต่งผู้หญิงจากข้างนอกอย่างเปิดเผย มารดาหลี่มู่ถึงค่อยรู้ว่าก่อนที่สามีจะเดินทางมาสอบติดราชการ ที่จริงได้ตบแต่งภรรยาไว้แล้ว ทั้งยังมีลูกชายคนหนึ่ง มิใช่ว่ายังไม่ได้แต่งงาน ตอนนั้นที่เกี้ยวพานางก็แค่อยากจะอาศัยอำนาจของตระกูลนางเท่านั้น

เรื่องครั้งนี้ หลี่มู่น้อยปะทะคารมกับเจ้าเมืองอย่างรุนแรง

สุดท้าย หลี่มู่ที่อ่อนวัยบุ่มบ่าม ตัดความสัมพันธ์พ่อลูกอย่างเด็ดขาดภายใต้ความโมโห เขาประกาศต่อหน้าแขกทั้งหลายว่าจะออกจากบ้านไปศึกษาเล่าเรียน ไม่เด่นเหนือผู้อื่นจะไม่กลับมาเด็ดขาด ทั้งยังจะทำให้ใต้เท้าเจ้าเมืองเสียใจและชดใช้คืน

หลี่มู่ออกจากบ้านไป

ภายหลังบิดาเขาจัดแจงให้มารดาไปใช้ชีวิตตามมีตามเกิดอยู่เรือนเล็กๆ นอกจวน

เจิ้งฉุนเจี้ยนได้รับการขนานนามว่า ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ แน่นอนว่าวาทะและสติปัญญาล้วนไม่เลว เล่าได้อย่างเรียบง่าย ชัดเจนและตรงประเด็น หลี่มู่เข้าใจเรื่องในอดีตเป็นอย่างดี

ผู้ชายเฮงซวย

หลี่มู่สบถด่าเจ้าเมืองในใจ

นี่มันผู้ชายเฮงซวยของแท้แน่นอน หากอยู่บนโลกจะต้องเป็นเฉินซื่อเหม่ย[2]ยุคใหม่ตามเกณฑ์มาตรฐานแน่ อาศัยผู้หญิงไต่เต้า เกาะผู้หญิงกินจนได้โลกใบใหม่เลยทีเดียว

เช่นนี้แล้ว หลี่มู่ของโลกใบนี้ก็ชวนให้คนเห็นใจนัก

และสิ่งที่มารดาหลี่มู่ประสบพบเจอก็ชวนให้คนปลงอนิจจัง

ยามงดงามอ่อนวัย ถูกชายสารเลวหลอกลวง ใจนางเฝ้าปรารถนาความรัก ไม่เสียดายที่ต้องทะเลาะกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิด สุดท้ายตระกูลยอมประนีประนอมให้นางแต่งงานกับชายต่ำศักดิ์ ทั้งยังผลักดันบุตรเขย แต่เดิมคิดว่าจะได้เจอกับชีวิตที่สุขสม แต่ใครจะรู้ ชายชั่วก็แค่หลอกลวงด้วยคำหวานเพราะตระกูลของนาง เมื่อวิบากกรรมมาเยือน ชายชั่วไม่เพียงไม่อาจช่วยคนในตระกูลอย่างที่นางหวังไว้ สิ่งที่รออยู่กลับเป็นการหักหลัง จริงใจเอาให้สุนัขกิน สุดท้ายถูกหักหลังทอดทิ้งแท้ๆ

จินตนาการเลยได้ว่า มารดาหลี่มู่ในตอนนั้นจะสิ้นหวัง ทุกข์ระทม และโกรธแค้นเพียงใด

หากไม่ใช่เพื่อลูกชายที่ยังนุ่งผ้าอ้อมของตน บางทีนางอาจจะอำลาโลกใบนี้ไปนานแล้วก็ได้

สตรีนั้นอ่อนแอ แต่เมื่อเป็นมารดากลับแข็งแกร่ง

ทว่าหลี่มู่ของโลกใบนี้ก็เป็นคนงี่เง่า ตัวเองหนีออกไปเล่าเรียน ทิ้งมารดาไว้ในจวนไม่ถามไถ่ไม่สนใจ หลายปีมานี้ไม่กลับไปเยี่ยมเยียน ไม่รู้จริงๆ ว่ามารดาหลี่มู่ตัวคนเดียวอยู่ต่อไปได้อย่างไร

หลี่มู่ฟังจบ เขาทั้งเห็นใจและนับถือมารดาผู้นี้นัก

“ช่วงปีสองปีนี้ฮูหยินร่างกายไม่ค่อยจะดี ได้ยินว่าตามองไม่เห็นแล้ว นางเฝ้ารอให้คุณชายกลับไปอยู่ตลอด” เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดอย่างไม่ยอมเสียโอกาสอยู่ข้างๆ “ข้าน้อยเคยแอบส่งคนนำเงินทองไปให้ พอจะได้ดูแลอยู่บ้าง”

เขากำลังแสดงความดีความชอบ

หลี่มู่ฟังแล้วประทับใจ

ในหัวของเขากระทั่งจินตนาการได้ถึงมารดาที่อดทนต่อความเจ็บปวดทุกข์ระทม เพราะการล่มจมของตระกูล การหักหลังของสามี และการแยกจากไปของลูกชาย นางร้องไห้น้ำตาเหือดแห้ง ร้องจนตาบอด วันๆ ได้แต่พิงประตู ปล่อยวันเวลาผันผ่าน รอคอยการกลับมาของลูกชาย

บางทีการรอคอยนี้อาจเป็นสีสันและความหวังเพียงหนึ่งเดียวในชีวิตของนางก็ได้กระมัง

แต่เดิมนางคือหญิงงามหาใดเปรียบเชียวนะ เคยเป็นหนึ่งในบุปผาที่งดงามที่สุดของจักรวรรดิ มีคนไม่รู้เท่าไหร่ชื่นชมและเกี้ยวพา ยามนี้กลับถูกชายชั่วทำร้าย คนที่เคยเกี้ยวพาในอดีตเห็นอกเห็นใจ พี่น้องเมื่อวันวานหัวเราะเยาะ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สตรีที่แต่เดิมชะตาชีวิตควรจะดี ต้องแบกรับความเจ็บปวดทรมานเท่าใดกัน

“คุณชาย สุขภาพของฮูหยินไม่สู้ดี หลายวันก่อน บ่าวรับใช้ข้างกายคนสุดท้ายก็ถูกบังคับให้ออกเรือนไปแล้ว ในเมื่อคุณชายเป็นขุนนางเมือง ไยจึงไม่ไปเมืองฉางอันและรับนางกลับมา ฮูหยินเฝ้ารอท่านอย่างทุกข์ใจมาโดยตลอดนะขอรับ”

เจิ้งฉุนเจี้ยนทำท่าทางเหมือนคิดเผื่อหลี่มู่ทั้งหมด

หลี่มู่หัวเราะเสียงเย็นพลางมองซิ่วไฉใจเหี้ยมคนนี้ เจ้านี่ไม่ใช่คนดีอะไรแน่นอน ใจดีแอบไปดูแลมารดาของหลี่มู่เสียที่ไหนกัน ตอนนี้โน้มน้าวให้ตนไปเมืองฉางอัน น่ากลัวว่าคงไม่ได้หวังดีอะไร?

เมืองฉางอันคือถิ่นที่เจ้าเมืองสารเลวคนนั้นและเจิ้งฉุนเจี้ยนทุ่มเทกายใจปกครองดูแล อันตรายราวถ้ำเสือสระมังกร หากตนไปเมืองฉางอัน เจ้าเมืองสารเลวคนนั้นไม่มีทางนั่งเฉยๆ โดยไม่สนใจแน่

ถึงอย่างไร ตอนนี้ตนยังนั่งตำแหน่งขุนนางเมืองได้ไม่มั่นคง เจ้าเมืองสารเลวก็ส่งเจิ้งฉุนเจี้ยน ฉู่ซูเฟิง และหนิงจ้งซานคนอื่นๆ มาจัดการแล้ว หากเปลี่ยนเป็นจิ้นซื่อหลี่มู่ตัวจริงตนนั้น เกรงว่าคงตายจนแม้แต่เศษกระดูกก็ไม่มีเหลือแล้วกระมัง

ราวกับเดาความคิดในใจหลี่มู่ได้ เจิ้งฉุนเจี้ยนรีบร้อนอธิบายด้วยสีหน้าลนลาน “คุณชาย ข้าไม่ได้คิดจะล่อท่านไปเมืองฉางอันแน่นอน อันที่จริงท่านส่งคนแอบไปรับฮูหยินมาได้…”

หลี่มู่ไม่พูดอะไร

เขากำลังคิดถึงความจริงเท็จของเรื่องนี้อย่างละเอียด

เจิ้งฉุนเจี้ยนงูพิษตัวนี้ คำที่พูดอาจไม่ใช่เรื่องจริง และอาจจะเป็นกับดักเช่นกัน

หลังจากพิจารณาอยู่ชั่วครู่ หลี่มู่เรียบเรียงตรรกะก่อนหลังและเรื่องราวต่างๆ พบว่าไม่มีช่องโหว่เลยสักนิด อีกทั้งหากบอกว่าเจิ้งฉุนเจี้ยนแต่งเรื่องขึ้นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายไม่รู้ว่าหลี่มู่ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เป็นตัวปลอม

คิดไปคิดมา หลี่มู่คิดว่าเรื่องนี้น่าจะจริง

“ใต้เท้า สิ่งที่ข้าน้อยพูด หากมีเรื่องโกหกก็ขอให้ไม่ตายดี ถูกฟ้าผ่าตาย…” เจิ้งฉุนเจี้ยนร้อนใจ รีบสาบานต่อฟ้า

หลี่มู่คิดๆ ดูแล้วก็พยักหน้า ก่อนจะตบเขาจนสลบ

เจิ้งฉุนเจี้ยนสลบไปอีกครั้งอยู่ข้างๆ

หลี่มู่หิ้วหลี่ปิงขึ้นมา สะบัดมือซัดบ้องหูอีกสามสี่ที

“อ๊าก ไว้ชีวิตด้วยๆ…” หลี่ปิงตื่นขึ้นก็ร้องโอดโอย เห็นหลี่มู่ก็กลัวจนเนื้อตัวสั่นเทิ้ม ร้องคร่ำครวญเหมือนหมูโดนเชือด

“หุบปาก” หลี่มู่ถลึงตาตวาด “ข้าถาม เจ้าตอบ หากกล้าพูดเพ้อเจ้อ ข้าจะเชือดเจ้าซะ”

หลี่ปิงถูกหลี่มู่ขู่เข็ญจนเกิดเงามืดในใจนานแล้ว จึงรีบพยักหน้า

หลี่มู่จึงตัดแต่งเรื่องที่เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดเล็กน้อย ตัดเนื้อหาบางอย่างออก เติมเนื้อความเข้าไปบ้าง แล้วเล่าอีกรอบ

สุดท้ายหลี่มู่ถามขึ้น “เรื่องพวกนี้เจ้ารู้หรือไม่?”

หลี่ปิงไม่กล้าปกปิด เล่าเรื่องทุกอย่างที่ตนรู้อย่างละเอียด เนื้อหาที่หลี่มู่เติมหรือตัดก็แก้ไขให้ ถึงแม้จะไม่เหมือนกับของเจิ้งฉุนเจี้ยน แต่นั่นก็เป็นเพราะมุมมองและจุดยืนของแต่ละคนต่างกัน

หลี่มู่ฟังจบแล้วก็ยืนยันได้ว่าเรื่องที่เจิ้งฉุนเจี้ยนเล่าเป็นความจริง

ต่อมาเขาซัดหลี่ปิงสลบไปอีกครั้งอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นเขานั่งลงอีกด้านหนึ่ง เริ่มขบคิดถึงความนัยที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อย่างละเอียด

ต้องไปเมืองฉางอันช่วยหญิงที่น่าสงสารคนนั้นออกมาดีหรือไม่?

เขาค่อนข้างลังเล

ตั้งแต่เด็ก หลี่มู่เป็นเด็กกำพร้ามาตลอด ไม่มีพ่อแม่ ว่ากันว่าซินแสเฒ่าเก็บมาจากในป่า ทว่าทุกครั้งที่ถามเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาจากซินแสเฒ่า ซินแสเฒ่าก็เอาแต่ตอบว่าไม่รู้ๆ ถามจนรำคาญ เขายังจับหลี่มู่ซัดเสียน่วม ภายหลังหลี่มู่เลยไม่ถามแล้ว

บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีพ่อแม่ หลี่มู่จึงอิจฉาเพื่อนนักเรียนที่อยู่กับพ่อแม่พวกนั้นมาก ไม่ว่าจะเป็นช่วงประถมหรือมัธยม ไม่ว่าจะเป็นในหมู่บ้านหรือในเมือง ทุกครั้งที่เห็นคนวัยเดียวกันหยอกล้อพูดคุยกับพ่อแม่ หลี่มู่มองอย่างอิจฉาอยู่อีกด้านหนึ่งได้ครึ่งค่อนวัน

กระทั่งบางครั้งที่เห็นเด็กบ้านอื่นถูกพ่อแม่ตีเอาหนักๆ เขายังรู้สึกว่านั่นเป็นความสุขอย่างหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

ในช่วงเวลาอันยาวนาน หลี่มู่มองซินแสเฒ่าเหมือนเป็นพ่อแม่ของตนไปแล้ว

ดังนั้นหลังจากได้ยินเรื่องราวของมารดาหลี่มู่ ในใจเขาเต็มไปด้วยความเห็นใจ

เขาย่อมหวังว่าจะช่วยมารดาผู้มีชีวิตขมขื่นคนนี้ได้

แต่ว่าเขาก็ไม่ใช่พ่อพระ ไม่ใช่เด็กหนุ่มไร้สาระที่พอขาดความรักจากแม่ก็บุ่มบ่ามจะไปกู้โลก หากไปจริงๆ อาจมีอันตรายก็เป็นได้

ไป?

หรือไม่ไป?

หลี่มู่ครุ่นคิดอยู่นาน

เขาหิ้วเจิ้งฉุนเจี้ยนขึ้นมาอีกครั้ง แล้วใช้วิธีการเดิม ตบไปสามสี่ทีจนตื่น

“อ๊าก…” เจิ้งฉุนเจี้ยนร้องลั่นตื่นขึ้นมา พลางลูบคลำใบหน้าของตน ฟันเคลื่อนจนหน้าชาไปแล้ว แต่ไม่กล้าเอ่ยโทษแม้แต่น้อย

“คุณชาย เรื่องที่ข้าพูดล้วนเป็นเรื่องจริง ข้าไม่มีทางหลอกท่านไปติดกับที่เมืองฉางอันแน่ ข้า…” เขาอดกลั้นความเจ็บปวดแสนสาหัสจากขาทั้งสอง คุกเข่าอธิบายอย่างยากเย็น

หลี่มู่โบกมือแล้วพูด “เจ้าไม่ต้องอธิบาย ข้าตัดสินใจจะไปเมืองฉางอัน”

“เอ๋?” เจิ้งฉุนเจี้ยนอึ้งตะลึง

เขาคิดว่าหลี่มู่ไม่มีทางไป อย่างน้อยในช่วงเวลาอันสั้นนี้ ในสถานการณ์ที่ไม่มั่นใจจะไม่มีทางไปแน่

หลี่มู่หัวเราะหยัน “หากเมืองฉางอันเป็นถ้ำเสือสระมังกร เช่นนั้นข้าเจอมังกรฆ่ามังกร เจอเสือฆ่าเสือ…ใครขวางข้าต้องตาย”

……………………………………………………

[1] ผิงชีคือตำแหน่งภรรยาอย่างหนึ่ง เป็นภรรยาที่ตบแต่งภายหลังภรรยาหลวง มีศักดิ์และอำนาจน้อยกว่าภรรยาเอกเพียงเล็กน้อย

[2] เฉินซื่อเหม่ย คือตัวละครหนึ่งในเรื่องเปาบุ้นจิ้น ตอนคดีประหารราชบุตรเขย เฉินซื่อเหม่ยเป็นบัณฑิตจอหงวน หลงใหลในตำแหน่ง ทิ้งลูกเมียและบิดามารดา