ตอนที่ 241 เหลือโอกาสรอดสายหนึ่ง

พันธกานต์ปราณอัคคี

“สหายเต๋ามั่ว มุกกันน้ำของเจ้านี่คุณภาพไม่เลวนี่นา คิดว่าอย่างน้อยต้องได้มาจากร่างอสูรทะเลขั้นห้ากระมัง?” หลัวอวี้เฉิงถาม สีหน้ากลับมองไม่เห็นความปีติเลยจริงๆ

 

 

มั่วชิงเฉินมองเขาตาไม่กะพริบปราดหนึ่ง ถึงถอนใจเบาๆ ว่า “สหายเต๋าหลัวเดาได้ไม่ผิด มุกกันน้ำนี้ได้มาจากอสูรทะเลขั้นห้านั่นเอง”

 

 

ทั้งสองคนพูดจบ กลับต่างนิ่งเงียบขึ้นมา

 

 

สาเหตุมิใช่อื่นใด พวกเขาหลบอยู่ใต้ทะเลสาบได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว ส่วนมุกกันน้ำในร่างของอสูรทะเลขั้นห้าสามารถสร้างเขตอาคมติดต่อกันได้นานที่สุดก็คือหนึ่งเดือน

 

 

“ไม่สู้เราขึ้นไปดูสักหน่อยเถอะ” นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็ทนไม่ไหวเสนอขึ้น

 

 

หลัวอวี้เฉิงขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็ถามว่า “เจ้าว่า โอรสศักดิ์สิทธิ์ที่คนป่าเถื่อนพวกนั้นพูดถึงคือใคร?”

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก นางก็ไม่ใช่คนโง่ หลัวอวี้เฉิงเจาะจงถามเช่นนี้ จึงคิดอะไรขึ้นได้ทันที “เจ้าหมายความว่า โอรสศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาพูดถึง…เป็นไปได้มากที่จะเป็นคนที่มาจากข้างนอกเช่นพวกเรา?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าด้วยความชื่นชม “หากพูดให้ถูกต้อง คือผู้บำเพ็ญเพียร” จู่ๆ เขาก็รู้สึกโชคดีที่สตรีที่มาพร้อมตนไม่โง่เลยสักนิด มิเช่นนั้น เกรงว่าเขาคงไม่มีแม้กระทั่งความปรารถนาที่จะพูด

 

 

จุดนี้มั่วชิงเฉินไม่คัดค้านแม้แต่น้อย หากมีมนุษย์คนอื่นมาถึงแดนไร้วิญญาณนี้ เช่นนั้นก็มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรถึงอาจมีชีวิตรอดมาได้ สำหรับคนธรรมดาแล้ว ก่อนอื่นปัญหาด้านอาหารการกินก็พอที่จะเอาชีวิตพวกเขาแล้ว

 

 

“ข้าเพียงแต่แปลกใจเล็กน้อย โอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นหากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากข้างนอกเช่นพวกเรา ในแดนไร้วิญญาณนี้เขาทำเช่นไรถึงทำให้คนป่าเถื่อนพวกนั้นเคารพดุจเทพยดาได้?” นิ้วหลัวอวี้เฉิงเคาะหน้าขาอย่างไม่รู้ตัว

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าใจว่าโอกาสรอดของพวกเขาอาจขึ้นอยู่กับโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น จึงครุ่นคิดอย่างหนักขึ้นมาทันทีเช่นกัน

 

 

ทันใดนั้นก็มีอะไรดลใจให้ตาสว่างขึ้น ตามองหลัวอวี้เฉิงไม่กะพริบว่า “เจ้าว่า จะใช่จิตตระหนักหรือไม่?”

 

 

“จิตตระหนัก?” หลัวอวี้เฉิงบ่นพึมพำ

 

 

มั่วชิงเฉินกลับยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ พยักหน้าว่า “เจ้าดูสิ ที่นี่คือแดนไร้วิญญาณ สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรทุกคนแล้วน่าจะเหมือนกันหมด ไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้ทุกคน หากเป็นเช่นนี้ละก็ โอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นหากอยากมีชีวิตรอด กระทั่งมีชีวิตอยู่อย่างดี ข้าคิดว่าเขาน่าจะจิตตระหนักโดดเด่น กระทั่งอาจฝึกฝนวิชายุทธ์ที่จู่โจมดวงจิตโดยเฉพาะมาก่อน ต้องรู้ว่าสิ่งมีชีวิตล้วนมีจิต เพียงแต่สิ่งมีชีวิตธรรมดาที่ไม่เคยบำเพ็ญเพียรมาก่อน ดวงจิตจะหลับใหลอยู่ในส่วนลึกของสมองตลอดชีวิต อ่อนแอจนสามารถละเลยไปเท่านั้นเอง ต่อให้เป็นเช่นนี้ การจู่โจมดวงจิตพวกเขาก็ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน”

 

 

มั่วชิงเฉินพูดจาฉะฉาน หลัวอวี้เฉิงกลับนิ่งเงียบตลอดเวลา

 

 

เห็นอีกฝ่ายไม่พูดไม่จา มั่วชิงเฉินอดแขวะไม่ได้ว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้าคงไม่คิดว่าที่คนป่าพวกนั้นเคารพโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นดุจเทพยดา เป็นเพราะเขาช่ำชองการพูดเหตุผลหรอกกระมัง?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงหน้าดำทันที ถลึงตาใส่มั่วชิงเฉินอย่างดุดันปราดหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ มีความสุขกับการงัดข้อกับเขาไปเสียทุกเรื่องใช่หรือไม่?

 

 

“สหายเต๋ามั่ว ข้าดูเจ้าดูเหมือนมีพรสวรรค์ในด้านการควบคุมจิตตระหนักยิ่งนัก” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างตรึกตรอง

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่ปิดบังเขา เวลาเดือนกว่าที่ทั้งสองคนอยู่ใต้น้ำ ยามที่ไม่มีอะไรทำยังคงฝึกจิตตระหนักเพื่อฆ่าเวลา และในด้านนี้ของนางเห็นชัดว่าแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่ายไม่น้อย

 

 

“อาจเพราะเป็นมาแต่กำเนิดกระมัง” มั่วชิงเฉินให้เหตุผลที่คลุมเครือ เชื่อหรือไม่ ก็อยู่ที่เขาแล้ว

 

 

“เช่นนั้นยามที่สหายเต๋ามั่วอยู่ข้างนอก รู้สึกว่าสามารถฝึกจิตตระหนักเช่นนี้ได้หรือไม่?” จู่ๆ หลัวอวี้เฉิงก็ถามขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ขยับเขยื้อน สีหน้าหนักหน่วงขึ้น ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ดูเหมือนไม่ได้…ไม่ พูดให้ถูกต้องผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดต่างรู้ว่าการฝึกจิตตระหนักเช่นนี้เป็นการเสียแรงเปล่า หากปกติไม่มีอะไรทำยื่นจิตตระหนักลองดันก้อนหินดูก็สามารถดันก้อนหินให้ขยับได้ ทำให้จิตตระหนักมีพลังจู่โจม เช่นนั้นทุกคนก็ไม่ต้องเห็นสมบัติวิเศษที่สามารถจู่โจมดวงจิตแล้วกลัวจนหน้าถอดสีหรอก”

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ละก็ ก็แปลกแล้ว เหตุใดที่นี่ จิตตระหนักกลับสามารถฝึกเช่นนี้ได้ล่ะ อย่าพูดถึงนางเลย ต่อให้เป็นหลัวอวี้เฉิงก็ทำได้!

 

 

หรือว่า…เพราะที่นี่คือแดนไร้วิญญาณ?

 

 

“ทางแห่งสวรรค์ หักส่วนเกินชดเชยส่วนที่ไม่พอ ในฟ้าดินที่ปกคลุมไปด้วยปราณวิญญาณ แต่ละที่ต่างกันเพียงแค่ความหนาแน่น มีเพียงแดนไร้วิญญาณนี่เท่านั้นที่ไร้ปราณวิญญาณ นี่เดิมทีก็ขัดต่อกฎสวรรค์อยู่แล้ว เอ่อ หรืออาจพูดว่าก็เพราะเช่นนี้ กฎสวรรค์ถึงชักนำที่นี่ไปในทิศทางอื่น ให้คนที่นี่มีโอกาสรอด” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยเนิบนาบ

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นด้วยกับคำพูดนี้ยิ่งนัก รีบเอ่ยต่อว่า “ดังนั้น สภาพแวดล้อมที่นี่ถึงเป็นใจในการฝึกจิตตระหนัก โอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น เกรงว่าก็อาศัยข้อนี้ ถึงทำให้คนป่าพวกนั้นยอมก้มหน้าศิโรราบกระมัง”

 

 

พูดถึงตรงนี้ทั้งสองคนเงียบลง หลังจากผ่านไปหลายอึดใจถึงเอ่ยพร้อมกันว่า “ไปดูกัน?” พูดขึ้นพร้อมกันเสร็จ แล้วสบตากันยิ้ม

 

 

“ไม่รู้คนป่าพวกนั้น จะช่วยเราส่งข่าวนี้หรือไม่?” มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว

 

 

หลายวันมานี้พวกเขาก็ลองโผล่ศีรษะขึ้นไป ทว่าทุกครั้งที่เพิ่งโผล่หน้า ก็จะถูกคนป่าพวกนั้นใช้ง่ามปลาแทงลงไป ไม่มีแม้โอกาสพูด

 

 

หลัวอวี้เฉิงกลับสีหน้าสบายใจขึ้นว่า “สหายเต๋ามั่วกังวลอันใด จิตตระหนักของเจ้าในยามนี้รับมือพวกเขาน่าจะไม่มีปัญหา รอออกไปหากไม่ให้โอกาสเราพูด เจ้าก็จัดการสักคนสองคนก่อน ขู่พวกเขาสักทีก่อนค่อยว่ากัน ไม่แน่ไม่ต้องให้เราพูดอะไร พวกเขาก็ไปหาโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นมาออกหน้าแล้ว สันนิษฐานตามเหตุผลทั่วไป เมื่อโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเห็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มาจากข้างนอกเหมือนกันก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลี่ยงโดยไม่พบ”

 

 

มั่วชิงเฉินกลับลังเลเล็กน้อยว่า “สหายเต๋าหลัว เจ้ารู้ว่าเรามาถึงนี่แล้วถึงฝึกจิตตระหนักส่งเดช พลังจู่โจมของจิตตระหนักข้าในยามนี้อยู่ระดับใดกันแน่ในใจข้าไม่มั่นใจเลยสักนิด รอหลังจากออกไปสั่งสอนคนป่าพวกนั้นเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร ทว่าดวงจิตของพวกเขาอ่อนแอผิดปกติ หากควบคุมไม่ดีเกิดวิญญาณแตกดับเสียโอกาสกลับเข้าวัฏสงสาร มันจะโหดร้ายเกินไปหน่อย”

 

 

ไม่ว่าสำหรับคนธรรมดาหรือว่าผู้บำเพ็ญเพียร ว่ากันโดยทั่วไปแล้วนอกจากผู้ที่มีความแค้นฝังลึกหรือผู้บำเพ็ญเพียรมารที่โหดเ**้ยมอำมหิตทำสิ่งใดไม่ยั้งคิดแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรปกติอย่างมากก็ฆ่าอีกฝ่ายตายให้หมดเรื่อง หาน้อยที่จะทำให้อีกฝ่ายวิญญาณแตกดับ

 

 

เพราะอย่างไรเสียวิญญาณที่สมบูรณ์มีโอกาสนับไม่ถ้วนในการกลับเข้าวัฏสงสาร ในความหมายบางแง่แล้วตายก็คือเกิด เกิดมาย่อมต้องตาย เวียนว่ายตายเกิดคือลิขิตสวรรค์ ไม่แน่ชาติไหนก็มีโอกาสได้เป็นเซียนแล้ว ถึงเวลาโดดออกจากวัฏสงสารมองดูชาติภพที่ผ่านมา ก็นับว่าเป็นนิรันดร์แล้ว

 

 

“สหายเต๋ามั่วช่างมีเมตตา” หลัวอวี้เฉิงสายตาตกลงบนใบหน้ามั่วชิงเฉิน น้ำเสียงเหมือนเสียดสีแต่ก็ไม่ใช่

 

 

มั่วชิงเฉินมองเขา แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะ ลักยิ้มตื้นๆ คู่หนึ่งโผล่ออกมาข้างริมฝีปาก “หรือไม่ ข้าเอาเจ้ามาฝึกมือก่อน?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงนิ่งงัน แล้วหน้าดำเบือนหน้าไปทันที

 

 

“สหายเต๋าหลัว…” มั่วชิงเฉินเรียกอย่างไม่ตายใจ

 

 

หลัวอวี้เฉิงหันหน้ามาโดยพลัน เอ่ยด้วยความโมโหว่า “มั่วชิงเฉิน เจ้าอย่าให้เกินไปนัก!”

 

 

มั่วชิงเฉินขยิบตา ปากแม้ไม่พูดในสายตากลับแสดงออกชัดเจนว่า “ให้ข้าลองเถอะ ให้ข้าลองเถอะ”

 

 

หลัวอวี้เฉิงโกรธจนแน่นหน้าอก “มั่วชิงเฉิน เจ้ารู้ถึงความสำคัญของดวงจิตที่มีต่อผู้บำเพ็ญเพียรหรือไม่ นอกจากยามสู้กันถึงชีวิตหรือบำเพ็ญเพียรคู่ของคู่ผู้บำเพ็ญเพียรแล้ว ดวงจิตจะถูกคนอื่นแตะต้องได้เช่นไรกัน?”

 

 

มั่วชิงเฉินชะงัก จากนั้นหน้ากลับแดงเรื่อยขึ้นมาทันที นางย่อมรู้ว่ามีเพียงยามสู้กันถึงชีวิตเท่านั้นดวงจิตถึงจะถูกคู่ต่อสู้จงใจจู่โจม แต่กลับไม่รู้จริงๆว่าสภาพยามที่คู่ผู้บำเพ็ญเพียรบำเพ็ญเพียรคู่นั้นเป็นเช่นไร

 

 

บำเพ็ญเพียรคู่บำเพ็ญเพียรคู่ ในความคิดของนาง ก็คือสองคนกลายเป็นสามีภรรยา บำเพ็ญเพียรพร้อมกันเท่านั้น ส่วนต้องบำเพ็ญเพียรเช่นไร นางกลับสองตามืดบอด

 

 

มองดูมั่วชิงเฉินสีหน้าแดงเรื่อยไม่มีคำพูด สีหน้าหลัวอวี้เฉิงดำแล้วดำอีก สุดท้ายถลึงตาใส่นางอย่างดุดันปราดหนึ่งว่า “อย่าให้มีครั้งหน้าอีก!”

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งงัน จากนั้นกลับยิ้มระรื่นขึ้นมาว่า “สหายเต๋าหลัว เช่นนั้นข้าเริ่มแล้วนะ”

 

 

ได้การทดลองในครั้งนี้ ไม่ต้องพูดถึงการออกไปเจอคนป่าพวกนั้นในอีกสักครู่ ต่อให้วันหลังเจอผู้บำเพ็ญเพียร การจู่โจมดวงจิตของตนตกลงมีอานุภาพเพียงใดก็จะได้รู้ไว้ หลัวอวี้เฉิงผู้นี้ บางทีก็นับว่าเป็นคนดีทีเดียว

 

 

หลัวอวี้เฉิงเห็นท่าทางยิ้มหวานของมั่วชิงเฉินแล้วกลับรู้สึกขวางหูขวางตาผิดปกติ ค้อนตาคว่ำใส่นางแล้วเบือนหน้าไป

 

 

มั่วชิงเฉินดึงจิตตระหนักออกมาจู่โจมใส่หลัวอวี้เฉิง กลัวพลาดท่าทำร้ายเขาจึงใช้กำลังเพียงส่วนเดียว

 

 

“เป็นเช่นไร?” รู้สึกว่าจิตตระหนักตนกระแทกถูกอีกฝ่าย มั่วชิงเฉินถามหยั่งเชิงว่า

 

 

หลัวอวี้เฉิงเม้มปาก เอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าเกาคันอยู่หรือไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟัน ได้ ดูแล้วก็ไม่ควรใจดีกับคนอย่างเจ้าเกินไป จึงออกแรงห้าส่วนกระแทกไปที่อีกฝ่ายทันที

 

 

“อืม” หลัวอวี้เฉิงครางเสียงต่ำทีหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินกลับตกใจ รีบถามว่า “เป็นอันใด?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงรู้สึกหน้ามืด แน่นหน้าอกเกือบหายใจไม่ออก ยัยผู้หญิงบ้านี่ ยังมีหน้ามาถามว่าเป็นอันใดอีก!

 

 

“เจ้าใช้กำลังกี่มากน้อย?” หลัวอวี้เฉิงเสียงเย็นเป็นน้ำแข็ง

 

 

มั่วชิงเฉินลังเลครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “แปดส่วน”

 

 

หลัวอวี้เฉิงเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าว่าอย่างมากก็ใช้แค่ห้าส่วนกระมัง”

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าแดง คนคนนี้โง่ลงสักหน่อยจะตายหรืออย่างไรนะ!

 

 

“เช่นนั้นเจ้ารู้สึกเช่นไร?” เงียบไปชั่วครู่ มั่วชิงเฉินทำหน้าหนาถามว่า

 

 

หลัวอวี้เฉิงจะยิ้มก็ไม่ยิ้มว่า “เจ็บเล็กน้อย กลับยังรับไหว ทว่าข้าจะเตือนเจ้า หากสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นขึ้นมาจริงๆ อีกฝ่ายไม่มีทางเปิดดวงจิตไว้อ้าซ่าปล่อยให้เจ้าจู่โจมหรอกนะ ดังนั้นการจู่โจมของเจ้าต่อผู้อื่นก็จะด้อยลงอีกหลายส่วน”

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้ว ถอนใจแผ่วเบา กลับได้ยินหลัวอวี้เฉิงน้ำเสียงเปลี่ยนว่า “ทว่าจิตตระหนักของผู้อื่นคงสู้ข้าไม่ได้กระมัง”

 

 

มั่วชิงเฉินสนุกขึ้นมาแล้ว “ใช่ อย่างไรเสียเจ้าก็เคยฝึกมาก่อน”

 

 

หลัวอวี้เฉิงเหล่นางอย่างนิ่งเรียบปราดหนึ่งว่า “อย่าพูดมาก รีบขึ้นไปเถอะ”

 

 

มั่วชิงเฉินผ่านการทดลองครั้งนี้ ในที่สุดในใจก็มั่นใจขึ้นมา ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า สองคนสบตากันปราดหนึ่งแล้วลอยขึ้นไป

 

 

เพิ่งโผล่พ้นน้ำ คนป่ากำยำกลุ่มนั้นก็โบกสะบัดง่ามปลาแทงไปที่พวกเขาอย่างช่ำชอง ปากร้องโวยวายเสียงดัง

 

 

มั่วชิงเฉินกึ่งหรี่ตา มองไปอย่างเย็นชา

 

 

ชายกำยำสองสามคนจู่ๆ ก็กรีดร้องขึ้น แล้วระทวยล้มลงไป

 

 

ชายกำยำที่เหลือตกใจเหลือคณา จ้องคนบนพื้นเขม็งเหมือนเห็นผีก็ไม่ปาน ผ่านไปพักใหญ่ถึงหันหน้ามา แล้วคู่เข่าลงตรงๆ ตามทิศทางที่มั่วชิงเฉินอยู่ทันที ปากยังโวยวายอยู่

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนสีหน้าปีติ ท่าทางที่เดาไว้ไม่ผิด พวกเขาเห็นฝีมือของมั่วชิงเฉินแล้วเข้าใจผิดนึกว่าพวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกับโอรสศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นแล้ว

 

 

ในยามนี้เอง จู่ๆ ก็มีชายกำยำรูปร่างเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ วิ่งมาจากที่ไกลออกไป หอบหายใจพลางว่า “ท่านโอรสศักดิ์สิทธิ์ ท่านโอรสศักดิ์สิทธิ์จะพบพวกเขา!”