เล่ม 1 ตอนที่ 133 ข้ามารับท่านกลับบ้าน

ราชินีพลิกสวรรค์

การโจมตีครั้งสุดท้ายนั้น…

 

 

ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเจียงหลีว่าจิ่งเยี่ยไม่ได้ปล่อยวิญญาณยุทธ์​ เขาเพียงสร้างภาพลวงตาเท่านั้น แม้แต่นางยังถูกหลอก ให้ปล่อยทักษะพรสวรรค์ออกมาเลย

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ปล่อยเลี่ยเทียนซื่อ นางรับรู้ได้ว่าจิ่งเยี่ยออมมือทันทีและรับการโจมตีโดยปราศจากการตอบโต้ไว้เอง

 

 

นั่นหมายความว่า… เขาจงใจยอมข้า… และไม่อยากให้ใครเห็น คนที่เขาอยากปิดบัง ไม่ใช่ข้าอย่างแน่นอน แต่เป็นอาจารย์เหล่านั้นต่างหาก โดยเฉพาะอู๋เชียน เจียงหลีตกใจในใจ

 

 

นางคาดเดาการกระทำของเจียงหลีได้อย่างแม่นยำ แต่นางกลับคาดเดาไม่ออกว่าเหตุใดเขาถึงทำเช่นนั้น

 

 

“จิ่งเยี่ย!” อู๋เชียนเดินมาหาจิ่งเยี่ย

 

 

คนหลังกุมหน้าอก ไอสองครั้งอย่างรุนแรงแล้วลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “วิญญาณยุทธ์​ของนางแข็งแกร่งเกินไป วิญญาณยุทธ์​ของข้าถูกกดทับไว้ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”

 

 

นี่คือเหตุผลที่เขามีให้แก่อู๋เชียน

 

 

“…” อู๋เชียนมองหน้าเขาด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่เห็นพิรุธใดๆ วิญญาณยุทธ์​ของเจียงหลีทรงพลังเพียงใด เขารู้ดีอยู่แก่ใจ

 

 

การต่อสู้เมื่อชั่วครู่นี้…

 

 

อู๋เชียนหวนคิดอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบและดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติ “เจ้าลงไปพักก่อนเถอะ”

 

 

“ขอรับ” จิ่งเยี่ยลดสายตาลงแล้วตอบรับ จากนั้นก็หันหลังเดินไปทางด้านหลัง หลับตาสงบสติอารมณ์

 

 

สายตาของหนานอู๋เฮิ่นขยับไปตามการเคลื่อนไหวของจิ่งเยี่ย แววตาเต็มไปด้วยความครุ่นคิด แต่ในที่สุดเขาก็ละสายตาอย่างเงียบๆ

 

 

รอบสุดท้าย จิ่งเยี่ยแพ้

 

 

บัดนี้ ถึงคราวของเจียงหลีที่จะท้าทายเจ็ดคนที่เหลือของสำนักหลิงอู่

 

 

“ยอดเยี่ยมมาก! ”

 

 

“ในที่สุดก็ชนะครั้งหนึ่งแล้ว! ”

 

 

“สั่งสอนคนพวกนั้นหน่อย! ”

 

 

“เจียงหลี พวกเราเชื่อในตัวเจ้า! ”

 

 

สถาบันไป๋หยวนกระหายชัยชนะ แม้ว่าการต่อสู้จะจบลงอย่างไม่คาดคิด แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรค เพราะชัยชนะของเจียงหลีครั้งนี้ ทำให้พวกเขาถึงกับยิ้มออก

 

 

ทันใดนั้น ความนิยมชมชอบของมวลชนชาวไป๋หยวนที่มีต่อเจียงหลีก็ทะยานขึ้นสูง

 

 

เจียงหลีเก็บความประหลาดใจต่อจิ่งเยี่ยไว้ก่อน และยืนอยู่บนสังเวียนด้วยใบหน้าเย็นชา แต่ระหว่างคิ้วกลับมีความทนงตนแฝงอยู่ เช่นเดียวกับที่จิ่งเยี่ยเคยทำมาก่อน นางชี้ไปที่ใครบางคนของสำนักหลิงอู่ “เจ้าขึ้นมา”

 

 

ดวงตาของคนที่ถูกเลือกคมชัดทันที

 

 

ก่อนที่จะเตรียมตัวขึ้นไป อู๋เชียนรั้งเขาไว้แล้วกำชับด้วยเสียงทุ่มต่ำ “ระวังวิญญาณยุทธ์​ของนางด้วย”

 

 

ชายผู้นั้นพยักหน้าอย่างเงียบๆ และก้าวขึ้นสังเวียน

 

 

แต่ทว่า ครั้งนี้เจียงหลีกลับมิได้ปล่อยวิญาณยุทธ แต่ใช้เพียงทักษะการต่อสู้ในการเอาชนะเขา

 

 

พอการแข่งขันจบลง ชายผู้นั้นของสำนักหลิงอู่ก็ล้มนอนอยู่บนสังเวียน หายใจเฮือกสุดท้ายและใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ

 

 

“…”

 

 

“…”

 

 

ฝูงชนของสำนักหลิงอู่เงียบสงัด ขณะที่ผู้คนของสถานบันไป๋หยวนกลับกลั้นยิ้ม

 

 

แม้ว่าเจียงหลีของพวกเขาจะไม่ได้เอาชนะศัตรูเพียงท่าเดียว แต่การกดคู่ต่อสู้แนบลงกับพื้นสังเวียน แล้วกระหน่ำทุบตีจนเขาส่งเสียงกรีดร้องและไร้ซึ่งพละกำลังที่จะโต้ตอบ ซึ่งวิธีหยาบกระด้างเช่นนี้ ก็สะใจมิน้อย!

 

 

บรรเทาความโกรธ!

 

 

บรรเทาความโกรธยิ่งนัก!

 

 

บรรดาเด็กเปรตของสำนักหลิงอู่ก็มีวันนี้หรือ

 

 

สีหน้าของอู๋เชียนน่าเกลียดยิ่งนัก ส่วนรอยยิ้มของหนานอู๋เฮิ่นกลับปรากฏเด่นชัดขึ้น จิ่งเยี่ยหลับตาแล้วมองอย่างช้าๆ จากนั้นก็หลับตาอีกครั้ง ไม่มีใครเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักอย่างทะนุถนอมส่องผ่านดวงตาของเขาเพียงพริบตาเดียว

 

 

“เจียงหลี! เจ้าจะมากเกินไปแล้ว!” อู๋เชียนอดไม่ได้ที่จะตะโกน

 

 

เจียงหลียักคิ้วพลางมองไปที่เขา “ทำไมหรือ ก่อนการแข่งขันมีกฎห้ามต่อสู้เช่นนี้ด้วยหรือ”

 

 

“…” อู๋เชียนพูดไม่ออก ดวงตาของเขาคมชัดขึ้นเมื่อมองไปที่เจียงหลี

 

 

ความเกลียดชังทั้งของเก่าและของใหม่รวมกัน ทำให้เขาไม่พอใจหญิงสาวชุดดำนี้เป็นพิเศษ

 

 

“คนต่อไป” เจียงหลียกคางขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ

 

 

“หลียาโถ่วผู้ยิ่งใหญ่! ฮ่าๆๆๆๆๆ!” ลู่เสวียนหัวเราะดังลั่น

 

 

ไป๋หลี่เฟิ่งมองไปที่เจียงหลีด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

รอบที่สาม…รอบที่สี่…รอบที่แปด…

 

 

เมื่อปราศจากแรงกดดันจากจิ่งเยี่ย เจียงหลีก็เหมือนสัตว์ดุร้ายที่ถูกปลดปล่อยออกมาและทำร้ายทุกคนของสำนักหลิงอู่อย่างรุนแรง

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกครั้งนางเอาชนะจนคู่ต่อสู้มิสามารถสู้ต่อได้แล้วถึงจะหยุดการแข่งขัน

 

 

ไม่น่าแปลกใจที่นางสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศแบบไร้พ่ายมาครองได้ และชนะแปดรอบติด

 

 

จากแปดคนของสำนักหลิงอู่ จิ่งเยี่ยได้รับบาดเจ็บจากทักษะพรสวรรค์ของเจียงหลี และหลับตาพักผ่อน ใบหน้าของเขาซีดขาวดุจกระดาษ หากเขาสู้ต่อ ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ดีเท่าเดิมแล้ว ยิ่งไปกว่านี้ เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะท้าทายได้แล้ว

 

 

ส่วนอีกเจ็ดคนถูกเจียงหลีทุบตีเช่นนั้น ไม่ต้องพูดถึงจะท้าทายคนอื่นๆ ของสถาบันไป๋หยวน เพราะแม้แต่จะถูกท้าทาย ก็เกรงว่าจะเหลือแต่ถูกทุบตีแล้ว

 

 

พอเจียงหลีก้าวลงจากสังเวียน กลุ่มคนของสถาบันไป๋หยวนก็ส่งเสียงโห่ร้องคำรามต่อสำนักหลิงอู่

 

 

สีหน้าของอู๋เชียนน่ารังเกียจลงไปอีกและสายตาที่เขาจ้องมองเจียงหลีก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างดุดัน

 

 

สาวน้อยผู้นี้เหมือนกาลกิณี คอยขัดลาภของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า! ณ เมืองซูหนาน ทำให้เขาอับอายต่อหน้านายอำเภออันผิงและตระกูลลู่ เมื่อเขามาถึงซั่งตู ก็เป็นปฏิปักษ์กับเขาทุกครั้ง ครั้งล่าสุดที่แผนการลอบสังหารลู่เสวียนล้มเหลว ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับนางด้วย

 

 

ต้องหาโอกาสกำจัดนางแล้ว อู๋เชียนกล่าวอย่างขมขื่นในใจ

 

 

“ผู้เฒ่าอู๋ ท่านยังต้องการแข่งขันต่อหรือไม่” หนานอู๋เฮิ่นเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

 

 

อู๋เชียนเงยหน้าขึ้นมองหนานอู๋เฮิ่นแล้วกล่าวอย่างเย็นชา “พวกเรากลับ!” แข่งต่ออย่างนั้นหรือ จะเอาอะไรมาแข่งต่อ จะให้อับอายขายหน้าต่อไปอย่างนั้นหรือ

 

 

วันนี้เขาไม่ควรมาที่นี่!

 

 

“ผู้เฒ่าอู๋เดินทางกลับอย่างปลอดภัย อย่าลืมทักษะการต่อสู้ที่สัญญาไว้ล่ะ” หนานอู๋เฮิ่นมิได้รั้งคนของสำนักหลิงอู่ที่กำลังเดินจากไป เพียงแต่กำชับเขาเท่านั้น

 

 

พอนึกถึงรางวัลที่เป็นทักษะการต่อสู้จิงผิ่นแล้ว อู๋เชียนแทบกระอักออกมาเป็นเลือดด้วยความโมโห

 

 

ผู้คนของสำนักหลิงอู่จากไปแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับตอนมา ตอนนี้พวกเขากลับหนีอย่างกระเซอะกระเซิงด้วยความอับอาย พอพวกเขาจากไป มวลชนของสถาบันไป๋หยวนก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงโห่ร้องไชโยดังลั่น

 

 

แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะไม่พอใจซึ่งกันและกัน ชิงดีชิงเด่นและแอบทะเลาะกันอยู่บ้าง แต่เมื่อข้าศึกมาเยือน พวกเขาก็ถือว่ามีศัตรูคนเดียวกัน

 

 

เจียงหลีรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไป และเห็นลู่เสวียนตะโกนดังลั่นอยู่ข้างๆ นางเช่นกัน

 

 

หนานอู๋เฮิ่นและอาจารย์ท่านอื่นๆ ของสถาบันไป๋หยวน มิได้ห้ามปรามพฤติกรรมที่เผลอลืมตัวของพวกเขาเช่นนี้

 

 

“กลับไปเตรียมตัวให้พร้อม สามวันต่อจากนี้ เจ้าจะเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู่พร้อมกับคนอื่นๆ ที่ประสานวิญญาณยุทธ์​ได้เช่นเดียวกัน เมื่อเจ้ากลับมาจากอาณาเขตหลิงอู่แล้ว ให้เจ้ามาพบข้าเพื่อรับรางวัลที่เป็นของเจ้า” หนานอู๋เฮิ่นเดินไปหาเจียงหลีแล้วกล่าว

 

 

“อาณาเขตหลิงอู่หรือ” เจียงหลีพูดพึมพำพร้อมกับพยักหน้าตอบหนานอู๋เฮิ่น

 

 

 

 

เจียงหลีและลู่เสวียนเดินทางออกจากสถาบันไป๋หยวนและกำลังเดินทางกลับจวนลู่อ๋อง นางบรรลุถึงขั้นสูงสุดของหลิงซื่อแล้วและสามารถเข้าสู่อาณาเขตหลิงอู่ แต่ลู่เสวียนยังฝึกฝนไม่ถึงขั้นนี้

 

 

พอกลับมาถึงจวนอ๋อง นางก็รีบวิ่งไปหาลู่เจี้ย แต่กลับไม่พบเขาอยู่ในจวน

 

 

บ่าวใช้บอกว่าเขาไปที่ชานเมือง เจียงหลีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วออกจากจวนไป ตามเส้นทางนั้น นางก็เดินทางมาถึงชานเมืองที่ลู่เจี้ยพักอยู่

 

 

ณ ที่แห่งนี้เป็นทะเลดอกไม้ที่งดงามตระการตา ดอกไม้หลากชนิด สีสันสวยงามและผลิดอกบานสะพรั่ง

 

 

บริเวณโดยรอบ มีปุยขาวกำลังลอยและโปรยปรายราวกับหิมะที่ร่วงหล่นอีกด้วย

 

 

นายน้อยลู่ผู้สง่างามนั่งอยู่ท่ามกลางทะเลดอกไม้ โดดเดี่ยวและดื่มอยู่เพียงลำพัง โดยดอกไม้เหล่านั้นกลับหม่นหมองเมื่ออยู่ภายใต้เขา

 

 

ราวกับว่าเขาเป็นเทพบุตรแห่งดอกไม้ที่คอยดูแลดอกไม้เหล่านี้!

 

 

เจียงหลีเข้าใกล้ลู่เจี้ยอย่างช้าๆ พอเขาเงยหน้าขึ้นมอง นางก็เอ่ยว่า “ข้ามารับท่านกลับบ้าน”