บทที่ 128 ความเมตตาของท่านแม่ทัพ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ภายใต้แสงจันทร์ ขนสีดำซ่อนใบหน้าเขาเสียครึ่งหนึ่ง ดวงตาดุจนกอินทรีคู่นั้นเยือกเย็น แรงอาฆาตแผ่ซ่านทั่วทุกทิศ

อิ๋งซื่อ!

ซ่งชูอีส่งยิ้มให้เขาท่ามกลามความโกลาหล อิ๋งซื่อเห็นรอยยิ้มของนางด้วยหางตา ดวงตาสีดำนั้นก็ราวกับว่ามีรอยยิ้มผุดขึ้นมาด้วย

เชออวิ๋นเหลือบมองอิ๋งซื่อด้วยความประหลาดใจ คำรามเสียงสูง “คุ้มกันท่านซ่งไปถึงด่านหานกู่!”

ครั้นทหารเว่ยเหล่านี้มีการเคลื่อนไหวแล้ว พวกเขาจะไม่รามือง่ายๆ เว้นแต่บรรลุเป้าหมาย ขอเพียงคุ้มกันซ่งชูอีไปยังด่านหานกู่อย่างปลอดภัย เขาก็จะล่าถอยไปเองเมื่อไม่เห็นความหวังในการโอบล้อม

ที่นี่ใกล้กับด่านหานกู่มาก ทหารฉินก็ไม่เกรงกลัวพวกเขา ทว่าหากได้ประมือกับพวกเขาที่ยินยอมต่อสู้เพื่อสละชีวิตแล้ว เกรงว่าก็จะบาดเจ็บและล้มตายอย่างสาหัส

ด้วยคำสั่งของเชออวิ๋น ทหารม้าสี่ห้าสิบนายก็ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อที่จะเข้าใกล้ซ่งชูอี

ความกดดันที่จี้ฮ่วนที่กำลังต้านทางอย่างยากลำบากก็ลดลงทันที

เจ้าอี่โหลวเพิ่งจะหัดเพลงดาบ ทว่าเขามีกำลังมาก บวกกับดาบที่คมกริบในมือ ก็ไม่มีใครก็ทำอะไรเขาได้ชั่วขณะหนึ่ง

ไป๋เริ่นนอนหมอบอยู่ใต้ต้นไม้ด้านข้าง มองดูการรบราฆ่าฟันจนอวัยวะขาดสะบั้น กระดิกหูน้อยๆ ไม่มีความต้องการที่จะเข้าใจร่วมวงไปกัดด้วย ทุกคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด จึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีอารมณ์จะมาสนใจหมาป่าที่กำลังนั่งมองอย่างสนุกสนาน

เส้นทางหลบหนีเปิดขึ้นตรงหน้าซ่งชูอี นางกล่าวขึ้น “อี่โหลว ไป!”

เจ้าอี่โหลวถอนม้าทันที และคนนั้นที่กำลังต่อสู้กับเขาก็ราวกับไม่ได้ตั้งใจจะพัวพันกับเขาเท่าใดนัก หันหัวม้าไล่ซ่งชูอีฉับพลัน

ไป๋เริ่นเห็นดังนี้ ก็พุ่งพรวดออกไปราวกับลูกศรสีขาวเงิน มันเร็วเสียจนไม่สามารถมองเห็นรูปร่างได้อย่างชัดเจน

ในตอนกลางคืน กองทหารม้าสีดำทะลักออกมาจากหุบเขา ชุดเกราะสะท้อนแสงเยือกเย็นในแสงจันทร์

เชออวิ๋นยินดียิ่ง หวดแส้ม้าคุ้มกันซ่งชูอีเข้าไปสมทบทันที

อิ๋งซื่อเห็นว่าบัดนี้พวกเขาเข้าไปรวมตัวกับกองทัพใหญ่แล้ว จึงหวดแส้ม้าจากไป

ทหารม้ารัฐเว่ยไล่ตามไปอย่างไม่ลดละ พวกเขาไม่เคยทำงานผิดพลาดมาก่อน ครั้งนี้ได้รับราชโองการจากท่านอ๋อง แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจยอมรับความล้มเหลวได้

อิ๋งซือทะลุผ่านหุบเขาแล้วเป่านกหวีดทันที ป่าไม้บนยอดเขาสองฝั่งเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทันใดนั้นลูกศรกระหน่ำลงมาราวกับห่าฝน ทหารรัฐเว่ยที่ไล่ล่ามาจนถึงหุบเขาไม่มีเวลาที่จะหลบเลี่ยง เสียงร้องโอดโอยและเสียงกรีดร้องน่าสมเพศดังก้องอยู่ในหุบเขาอย่างไม่มีสิ้นสุด

อิ๋งซื่อหันหัวม้ากลับไปมอง ดูเหมือนว่าทหารม้าของรัฐเว่ยทั้งหมดต่างเข้าไปในหุบเขาแล้ว ตำแหน่งการยิงธนูที่เขาใช้นั้นยอดเยี่ยมมาก ไม่มีใครสามารถรอดชีวิตภายใต้สายฝนแห่งลูกศรนี้

“เก็บของเสีย อีกประเดี๋ยวออกเดินทางกัน!” แม่ทัพทหารฉินเปล่งเสียงอันดัง

ซ่งชูอีขี่ม้าเข้าใกล้อิ๋งซื่อ เนื่องด้วยเขาแต่งกายด้วยสถานะท่านแม่ทัพ นางจึงมิได้ลงจากม้าเพื่อถวายความเคารพ เพียงแต่ประสานมืออย่างเรียบง่าย “ท่านแม่ทัพซือหม่า ไม่พบกันเสียนาน สบายดีหรือ?”

อิ๋งซื่อสำรวจซ่งชูอีรอบหนึ่งด้วยสายตาคมกริบเช่นเคย พ่นออกมาสองคำ “สบายดี”

แม้นจะเย็นชาอยู่บ้าง ทว่าซ่งชูอีก็มองเห็นรอยยิ้มจางๆ ในดวงตาของเขา “ท่านแม่ทัพซือหม่ามารับด้วยตัวเอง หวยจินปลาบปลื้มยิ่งนัก”

“อืม” อิ๋งซื่อตอบรับเสียงหนึ่งด้วยความคลุมเครือ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “เพียงทำตามรับสั่งเท่านั้น”

รับสั่งของผู้ใด? ไม่ใช่ของเขาเองหรอกหรือ? ซ่งชูอีค้อมคำนับเอ่ย “ข้าจักขอบพระทัยฉินกงด้วยตัวเอง ส่วนความเมตตาของท่านแม่ทัพนั้น ข้าน้อยจำจดไว้ในใจแล้ว”

อิ๋งซื่อพยักหน้าน้อยๆ

ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน ซ่งชูอีรู้สึกว่าเขาแข็งแรงขึ้นไม่น้อย แต่ก็คล้ำลงมากเช่นกัน คิ้วดุจดาบและดวงตาดุจนกอินทรีนั้นดูเหมือนเข้าถึงได้ยากยิ่งขึ้น ราวกับผู้ที่สนทนากับนางใต้แสงเทียนยามดึกเมื่อสองสามเดือนก่อนไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น

ซ่งชูอีก็มิได้พูดคุยกับเขาต่อ ค้อมคำนับหนึ่งที หันหัวม้าไปดูเจ้าอี่โหลวกับไป๋เริ่น

เจ้าอี่โหลวนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ กำลังใช้เศษผ้าผืนหนึ่งเช็ดจวี้ชาง

สายตาของอิ๋งซื่อมองตามซ่งชูอีไปและหยุดอยู่ที่เจ้าอี่โหลว เจ้าอี่โหลวรู้สึกได้ถึงความเฉียบคมนั้น เหลือบตาขึ้นเล็กน้อย แววตาระแวงระวังดุจดวงดาวของเขาสบสายตาของอิ๋งซื่อ

ซ่งชูอีก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของทั้งคู่ ทั้งๆ ที่เป็นเพียงการมองกันธรรมดา ทว่ากลับรู้สึกว่าบรรยากาศตึงเครียดเล็กน้อย

ภายใต้การเผชิญหน้าอันเลือนลาง ต่างคนต่างไม่ยอมละสายตาก่อน ราวกับว่าหากทำเช่นนั้นแล้วจะเป็นการแสดงความอ่อนแอให้เห็น

“เจ้าบาดเจ็บแล้ว” ซ่งชูอีมองดูคราบเลือดจำนวนหนึ่งบนแขนของเจ้าอี่โหลว

“อืม” เจ้าอี่โหลวเบือนสายตา มองไปยังซ่งชูอี

“เหตุใดจึงไม่พันแผลเสียหน่อยเล่า!” ซ่งชูอีดึงแขนเสื้อตัวกลางของตัวเองออก ฉีกออกเป็นเศษผ้าสองสามชิ้น  เอื้อมมือม้วนแขนเสื้อของเขาขึ้น

ไป๋เริ่นลืมตาที่ดำสนิท โน้มตัวไปข้างหน้า ซ่งชูอีชายตามองมัน เห็นว่าผิวหนังที่ปลายจมูกของมันก็ถลอกเช่นกัน เอ่ยขึ้น “เจ้าคนที่เอาแต่นั่งดูเมื่อครู่ไม่จำเป็นต้องพันแผลดอก”

ทว่าไป๋เริ่นไม่เข้าใจคำพูดของนาง ได้แต่จ้องการกระทำของนาง ครางเสียงอิ๋งอิ๋ง

“ท่านซ่ง ออกเดินทางได้แล้ว!” เชออวิ๋นจูงม้าตัวหนึ่งเข้ามา บัดนี้เขาได้รับมอบหมายหน้าที่แล้ว อารมณ์ดียิ่ง

ซ่งชูอีพยักหน้า หันไปถามเจ้าอี่โหลว “ยังบาดเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่?”

“เปล่า” เจ้าอี่โหลวกล่าว

“งั้นก็ไปกันเถิด” ซ่งชูอีรับสายบังเหียนมาจากเชออวิ๋น พลิกตัวขึ้นม้าไป

หุบเขาทางนั้นถูกจัดการเรียบร้อยแล้วและธนูทั้งหมดถูกเก็บมาแล้ว ทั้งชุดเกราะและอาวุธทั้งหมดบนตัวของทหารม้าเว่ยล้วนถูกริบมาจนเกลี้ยง

ครั้นกองทัพกวาดล้างพื้นที่แล้ว ก็เริ่มเดินทางกลับไปยังด่านหานกู่

ภูมิประเทศโดยรอบของที่นี่มีความสูงชันอยู่แล้ว และด่านหานกู่ก็อันตรายยิ่งกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ฉินและเว่ยจึงช่วงชิงกันนับร้อยปี บัดนี้มันเป็นพื้นที่ของรัฐฉิน

เมื่อได้ครอบครองพื้นที่อันตรายเช่นด่านหานกู่ก็เป็นผลดีต่อรัฐฉินทั้งการรุกและการป้องกัน มันเป็นเหมือนบานประตูขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง เมื่อรัฐฉินที่ครอบครองที่ราบสูงเหอซีมองลงมาก็สามารถเห็นที่ราบตอนกลางได้ ตราบเมื่อวันหนึ่งรัฐฉินมีกำลังเพียงพอ ก็สามารถเปิดประตูบานใหญ่นี้แล้วสั่งทหารบุกลงไปด้านล่างได้โดยตรง

ซ่งชูอีเดินอยู่ในครึ่งขบวนแรกของกองทัพซึ่งไม่ห่างจากอิ๋งซื่อมากนัก มองดูแผ่นหลังตั้งตรงของเขา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ซ่งชูอีรู้สึกว่าเขาอารมณ์ไม่ใคร่ดีเท่าไร เมื่อคิดเช่นนี้ ซ่งชูอีก็พลันนึกถึงแรงผลักดันในการสังหารศัตรูของเขาเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่ามิใช่ทัศนคติ “หากขวางข้าก็จะถูกฆ่า” ทว่าเป็น “หากขวางข้าก็จะถูกบดขยี้” น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

“ช่วงนี้รัฐฉินเกิดเรื่องใหญ่หรือ?” ซ่งชูอียื่นศีรษะกระซิบถามเชออวิ๋น

เชออวิ๋นพิจารณาครู่หนึ่ง “เรื่องใหญ่มีมาก ท่านต้องการจะทราบเรื่องใดก่อน?”

“ระยะหลังนี้กงจื่อเฉียนถูกตัดสินโทษแล้วหรือยัง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

เชออวิ๋นเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านทราบเรื่องนี้ด้วยหรือ?!”

ขณะที่อยู่รัฐเว่ย เขาต้องทุ่มเทความคิดมากมายเพื่อที่จะเข้าสู่จวนรับรองและต้องคอยเฝ้าระวังตลอดเวลา ซ่งชูอีกึ่งถูกขังอยู่ที่นั่น แม้นรัฐเว่ยมิได้กักขังลูกน้องของนาง ทว่าทุกครั้งที่ออกไปข้างนอกก็มักจะมีทหารเว่ยคอยติดตาม ไม่มีโอกาสที่จะไปสืบข่าวประเภทนี้ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่กงจื่อเฉียนถูกประหารก็เพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่วันเท่านั้น เขาเองก็เพิ่งจะรู้ ทว่าซ่งชูอีกลับล่วงรู้แล้ว มันไม่น่าแปลกหรอกหรือ?

ซ่งชูอีได้ยินคำพูดของเชออวิ๋นแล้ว ก็รู้ว่าตนทายถูก ถ้าหากวันนี้นางยืนอยู่ในตำแหน่งของอิ๋งซื่อ ก็ต้องสังหารกงจื่อเฉียนผู้ที่เป็นทั้งอาจารย์และญาติผู้นั้นเช่นกัน

ผู้คนมักจะกล่าวว่า “โหดเหี้ยม” ทว่าจิตใจที่จำต้องโหดเหี้ยมนั้นก็ยังเจ็บปวดเป็น

ตำแหน่งที่ยากที่สุดใต้หล้านั้นไม่มีสิ่งใดเกินไปกว่าองค์จวินแห่งรัฐ ไม่เพียงต้องยืนอยู่บนที่สูงและอดทนต่อความเหน็บหนาว ยังต้องรู้สึกเหมือนมีมีดทิ่มแทงอยู่ในใจตนตลอดเวลา เป็นเรื่องยากที่คนธรรมดาจะเข้าใจ

“ท่านแม่ทัพขอรับ” คนหนึ่งควบม้าเข้ามาหาอิ๋งซื่อ เอ่ยขึ้น “เรียนท่านแม่ทัพ หานเว่ยสองรัฐเริ่มต่อสู้กันแล้ว บัดนี้รัฐเว่ยกำลังส่งสารประกาศสงครามไปยังต้าเหลียงแล้ว”

“อืม” อิ๋งซื่อตอบรับเสียงหนึ่ง

“คนของพวกเรากลับมาแล้วหรือยัง? ไม่ได้ทิ้งเบาะแสกระไรไว้กระมัง?” นายทหารอีกคนที่หนวดเครารุงรังเอ่ยขึ้น