สหายผู้มีเกียรติพร้อมหน้า โดย ProjectZyphon

หลินเสวี่ยเฟิงลอบสูดหายใจ เขาสังหรณ์ลึกๆ ว่าสมมติฐานของตนน่าจะถูกต้อง ที่นี่คือหอสรวลทรัพย์เชียวนะ!

มีเพียงคนระดับหลานชายของราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุยเท่านั้น ถึงมีกำลังมากพอจะจัดงานเลี้ยงรับรองเพื่อนจากทุกสารทิศที่นี่ได้

ถ้าเป็นตาสีตาสา น่ากลัวว่าประตูหอสรวลทรัพย์ยังเข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!

‘คิดไม่ถึงว่าญาติผู้น้องผู้นี้ ที่แท้ยังผูกมิตรกับคนระดับนี้ด้วย ภายหลังถ้าเขาได้ควบคุมตระกูลหลิน อาจจะสามารถนำพาให้คนในตระกูลรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งได้จริงๆ…’

เขาดูอออกว่าความสัมพันธ์ของหลินสวินกับหนิงเหมิงไม่ธรรมดา ไม่ใช่คบกันโดยผิวเผินแน่นอน นี่เพียงพอทำให้ไม่ว่าใครก็อิจฉา

สำหรับลูกหลานตระกูลใหญ่แล้ว แม้ว่าเรื่องฝึกปราณจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด แต่เส้นสายและวงสังคมเองก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ดังเช่นหลินสวินที่มีสหายวัยเยาว์ผู้แข็งแกร่งที่มีพื้นเพมั่นคงอย่างหนิงเหมิง ผลดีที่ได้นั้นคงมากเกินธรรมดา!

ว่ากันอย่างง่ายที่สุด ถ้าภายหน้ามีใครรังแกหลินสวิน คงต้องไตร่ตรองดีๆ ว่าจะผิดใจกับหนิงเหมิงได้หรือไม่!

ถ้าพูดไปอีกขั้น ผลดีที่ได้นั้นมากเหลือเกิน คงต้องดูว่าหลินสวินจะใช้ประโยชน์จากเส้นสายนี้อย่างไร

แน่นอนว่าที่หลินเสวี่ยเฟิงคำนึงถึงทั้งหมดนี้เลี่ยงไม่พ้นแง่ของผลประโยชน์ เห็นชัดว่าเป็นความคิดของมนุษย์ทั่วไป แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดานัก

ในวงสังคมของลูกหลานตระกูลใหญ่ เส้นสายกับความสัมพันธ์ที่ว่านี้โดยมากล้วนมีฐานอยู่บนผลประโยชน์ หากตำแหน่งและสถานะไม่เท่ากัน เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเที่ยวเล่นกับพวกเขาได้!

ก็เหมือนก่อนหน้านี้ หากไม่ได้หลินสวิน หลินเสวี่ยเฟิงคงไม่ได้รู้จักหนิงเหมิง!

แม้หลินเสวี่ยเฟิงกับหนิงเหมิงจะเพิ่งมีโอกาสได้พบหน้ากัน แต่ภายหลังหากหลินเสวี่ยเฟิงประสบเรื่องใดเข้า เมื่อไปพบหนิงเหมิง เพียงแจ้งชื่อหลินสวิน ก็จะย่อมได้รับการดูแล

นี่ล่ะเส้นสาย

หลินเสวี่ยเฟิงก็รู้ว่า หากเขาต้องการสานสัมพันธ์กับหนิงเหมิงอย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ย่อมหนีไม่พ้นหลินสวิน

ดังนั้นเมื่อเห็นว่าหลินสวินกับหนิงเหมิงไม่ได้เป็นเพื่อนที่คบกันโดยผิวเผิน เขาถึงได้ตกใจเช่นนี้

ครุ่นคิดไปตลอดทาง ไม่ทันรู้ตัวก็มาถึงภายในหอสรวลทรัพย์แล้ว หลินเสวี่ยเฟิงพลันตื่นจากภวังค์ ไม่กล้าวอกแวกอีก

หลินจงกับจูเหล่าซานถูกทิ้งไว้ มีหญิงรับใช้ที่หน้าตาสะสวยมารยาทงามนำทางพาไปพักผ่อนที่เรือนที่จัดไว้ให้พวกเขาโดยเฉพาะอีกเรือนหนึ่ง

เห็นเช่นนี้ ใจหลินเสวี่ยเฟิงก็พลันตกตะลึง เงินหนาชะมัด! ที่นี่เป็นหอสรวลทรัพย์เชียวนะ เจ้าภาพที่จัดงานเลี้ยงครั้งนี้ ถึงกับจัดเตรียมเรือนรับรองโดยเฉพาะไว้สำหรับข้ารับใช้ที่ติดตามมาด้วย!

หลินเสวี่ยเฟิงยิ่งสงสัย ใครกันที่จัดงานเลี้ยงนี้ขึ้น

หอสรวลทรัพย์สูงร้อยจั้ง ภายในงดงามโอ่โถง หรูหราสว่างไสว!

ที่ปูลาดอยู่บนพื้นเป็นหินวิญญาณสมุทรสีฟ้าที่ขนมาจากทะเลตะวันออก ก้อนหนึ่งราคาหลักร้อยเหรียญทอง แต่ตอนนี้กลับถูกนำมาปูลาดทั่วพื้น เมื่อเดินบนหินเหล่านี้ ราวกับเดินบนพื้นผิวของทะเลสีคราม คลื่นน้ำกระทบไปมา เต็มไปด้วยแสงวิญญาณ

เมื่อดูเครื่องตกแต่งรอบทิศ มีโคมแปดเหลี่ยมที่หลอมจากเหล็กดาวมังกรทอง กรอบหน้าต่างที่แกะสลักจากไม้จื่อหยิน โต๊ะเก้าอี้ที่เจียรจากหยกเสวียนชิงหานทั้งก้อน

จากเสาคานสลักเสลางดงาม จรดกระถางต้นไม้ตกแต่ง ทุกสิ่งล้วนถูกคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน มีที่มาที่ไป ความหรูหราเลิศเลอทั้งหมดนี้ ไม่ว่าใครคงตกตะลึง

นี่ยังเป็นเพียงแค่เครื่องตกแต่งเท่านั้น แก่นภายในของหอสรวลทรัพย์คงไม่เรียบง่ายเพียงเท่านี้แน่

ที่สถานที่แห่งนี้เป็นหอละลายทรัพย์อันดับหนึ่งของนครต้องห้ามได้นั้น ย่อมมีสิ่งที่โด่ดเด่นเหนือธรรมดามากมาย

ทว่าหลังผ่านความตื่นตาตื่นใจเมื่อหะแรกแล้ว ไม่นานหลินสวินก็สงบอารมณ์ ไม่สนใจอีก

ตกแต่งหรูหราแค่ไหน อย่างไรก็ยังเป็นแค่การตกแต่ง

ในความคิดของเขา วัสดุวิญญาณราคาเกินธรรมดามากมายเช่นนั้นกลับกลายเป็นของตกแต่ง ย่อมเป็นการนำของมีค่ามาทำให้เสียของเสียเปล่า

“ถึงแล้ว”

มีหนิงเหมิงนำทาง ไม่นานพวกเขาก็มาถึงชั้นเก้าของหอสรวลทรัพย์ ที่นี่มีโถงใหญ่เพียงห้องเดียว นามว่า ‘พลับพลานพนภา’

ก่อนพวกหลินสวินมาถึง ในพลับพลานพนภามีชายหญิงยี่สิบกว่าคน แต่ละคนล้วนหล่อเหลางดงาม บุคลิกโดดเด่นมีเอกลักษณ์ ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น

พวกเขาต่างนั่งหน้าตั่ง กำลังดื่มเหล้าพลางสนทนา

และในนั้นมีที่นั่งไม่น้อยว่างอยู่ เห็นชัดว่าแขกที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงครั้งนี้ยังมาไม่ครบ

เมื่อพวกหลินสวินปรากฏตัวขึ้น ฉับพลัน ดวงตาทุกคู่ในโถงก็หันมามอง

หนิงเหมิงฉีกยิ้มกว้าง มือก็ผลักหลินสวินไปข้างหน้า ตะโกนก้องว่า “ทุกท่าน พวกเจ้ายังจำเจ้าหนูนี่ได้รึไม่”

“หลินสวินรึ”

“ที่หนึ่งของค่ายกระหายเลือดเมื่อปีนั้น ใครจะไม่รู้จักเล่า”

“ที่แท้ก็หลินสวินนี่เอง เขามาจริงๆ ด้วย”

เสียงดังขึ้นในโถง ราวกับทุกคนล้วนประหลาดใจ

มีคนหัวเราะกึ่งจริงกึ่งเล่นพลางพูดว่า “ตอนที่อยู่ค่ายกระหายเลือด ไม่มีใครรู้ฐานะและที่มาของหลินสวิน แต่ตอนนี้ข้าได้ยินมาว่า ภูเขาชำระจิตที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองยอดเขาแห่งอำนาจ มี ‘เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่โดดเดี่ยวที่สุดในนครต้องห้าม’ ท่านหนึ่ง คงไม่ใช่คนเดียวกับหลินสวินกระมัง”

“ฮ่าๆ” ผู้คนไม่น้อยหัวเราะขึ้น

หลินสวินกวาดสายตาไป ก็พบว่าในที่นั่งนั้นโดยมากล้วนเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างกงหมิง เย่เสี่ยวชี

นอกจากนี้ยังมีคนคุ้นหน้าคุ้นตาอีกประปราย แม้หลินสวินรู้จักชื่อ แต่สมัยอยู่ในค่ายกระหายเลือดกลับไม่ได้คบหาพูดคุยกับคนเหล่านั้นเท่าไรนัก

เหตุผลก็ง่ายดาย ศิษย์ทุกคนที่อยู่ในค่ายกระหายเลือดถูกแบ่งไปอยู่ในค่ายหมายเลขต่างกัน อีกทั้งมีศิษย์ถูกคัดออกทุกวัน ชีวิตการฝึกตึงเครียดลำบากยากเข็ญทุกวี่วัน ย่อมไม่มีโอกาสให้เหล่าศิษย์ได้คบหาสมาคมกันมากนัก

แม้เป็นเช่นนี้ ในใจหลินสวินก็อดซาบซึ้งไม่ได้ ไม่ได้เจอกันสองปี ไม่เพียงแค่ตนเท่านั้น เงาร่างคุ้นเคยที่นั่งอยู่เหล่านั้นล้วนเปลี่ยนไปมาก

คิดไปคิดมาก็ควรจะเป็นเช่นนั้น สมัยที่พวกเขาฝึกอยู่ที่ค่ายกระหายเลือด ยังเป็นเด็กหนุ่มสาวอายุสิบกว่าปีเท่านั้น เป็นช่วงเวลาที่เกิดความเปลี่ยนแปลงของวัยเร็วที่สุด เวลาสองปีก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนลักษณะท่าทางของคนได้มากแล้ว

แน่นอนว่าหลินสวินก็ดูออกว่าในที่นั่งนั้นมีบางคนเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง คิดว่าถ้าไม่ใช่แขกที่สืออวี่เชิญมา ก็เป็นคนที่มากับแขกคนอื่น

เวลานี้สืออวี่ที่นั่งในตำแหน่งประธานลุกขึ้นยืนอยู่ก่อนแล้ว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วเดินมาตรงหน้าหลินสวิน พูดว่า “มาๆๆ ตอนอยู่ค่ายกระหายเลือดเมื่อสองปีก่อน ทุกคนคงไม่ได้รู้จักฐานะของกันและกันนัก ตอนนี้ข้ามาแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักสักครั้ง”

เขาพูดพลางพาหลินสวินไปด้วย ชี้ไปยังชายหน้าตาพื้นๆ ท่าทีเฉื่อยชาแล้วพูดว่า “กงหมิง มาจากตระกูลใหญ่สกุลกง ‘ตุ๊กตาล้มลุก’ ที่ชื่อเสียงระบือไปทั้งจักรวรรดิ ตอนสอบประจำเดือนครั้งแรกที่ค่ายกระหายเลือด ‘กระบองพิทักษ์กายเก้าขุมวิญญาณ’ ที่เจ้านี่ฝึกเล่นข้าเสียอ่วม”

กงหมิงลุกขึ้น ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มพูดว่า “หลินสวิน ไม่ได้เจอนานเลย มาพบกันครั้งนี้ต้องคุยกันดีๆ เชียว”

หลินสวินก็ยิ้มเช่นกัน “แน่นอน”

“เจ้านี่คือเย่เสี่ยวชี…”

สืออวี่กำลังจะแนะนำเด็กหนุ่มอ้วนเตี้ยที่อยู่ข้างกงหมิง ฝ่ายหลังก็ยิ้มตาหยีแล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “ไม่ต้องให้เจ้าแนะนำข้าก็จำหลินสวินได้แม่นเชียวล่ะ”

“อ้อ ข้าก็จำได้ ตอนแรกเจ้าเอาแต่พูดว่าอยากแลกหมัดกับข้าอีกสักรอบ” หลินสวินพูดพลางยิ้ม

“ใช่!”

เย่เสี่ยวชีดวงตาเปล่งประกายขึ้น ราวกับหมายจะต่อสู้ “ไงล่ะ หลังงานเลี้ยงจบพวกเรามาสู้กันสักรอบไหม”

สืออวี่ขัดขึ้น “เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกัน หลินสวิน เจ้าจำเจ้าอ้วนนี่ไว้ พ่อเขาคือผู้อาวุโสเย่จั้นคง ‘ราชันแห่งทะเลตะวันออก’ ตระกูลเย่ของพวกเขาเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับหนึ่งในหมู่อันดับหนึ่งของมณฑลตงไห่ เก็บรักษาสมบัติล้ำค่าจากทะเลไว้มากมาย”

“บ้าจริง ตระกูลเย่ของข้าจะไปอู้ฟู่เท่าอัครการค้าของบ้านเจ้าได้อย่างไร” เย่เสี่ยวชีกลอกตา

ถัดมา สืออวี่ก็แนะนำผู้อื่นให้หลินสวินต่ออีก โดยจงใจเลือกจากชาติตระกูลและที่มาที่ไปของพวกเขา

หลินสวินนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรนัก แต่หลินเสวี่ยเฟิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลกลับใจเต้นโครมคราม แทบไม่เชื่อหูตัวเอง

เขาจะไปคิดได้ที่ไหนว่าผู้ที่จัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นก็คือสืออวี่ คุณชายสามแห่งอัครการค้านั่นเอง! นี่เป็นถึงบุตรชายสายตรงของ ‘เทพเศรษฐี’ แห่งจักรวรรดิเชียวนะ!

แค่อาศัยอำนาจของอัครการค้า ก็เพียงพอที่จะเทียบกับเจ็ดตระกูลมหาอำนาจได้แล้ว

และเห็นชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินสวินกับสืออวี่นั้นไม่ใช่ผิวเผินเช่นกัน!

นอกจากนี้ เมื่อได้รู้ว่าในหมู่คนที่นั่งอยู่มีลูกหลานตระกูลใหญ่สกุลกง ‘ตุ๊กตาล้มลุก’ มีบุตรชายคนโตของเย่จั้นคง ‘ราชันแห่งทะเลตะวันออก’ รวมถึงลูกหลานตระกูลผู้มีอำนาจอยู่หลายคน หลินเสวี่ยเฟิงก็ไม่อาจสงบใจได้

ผู้คนที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเป็นคนธรรมดาเลย!

อีกทั้งอำนาจอิทธิพลเบื้องหลังของแต่ละคนที่นั่งอยู่ที่นี่ หากไม่ใช่ตระกูลใหญ่มากอำนาจที่มีชื่อเสียงลือลั่นนครต้องห้าม ก็เป็นคนใหญ่โตที่ควบคุมจักรวรรดินี้อยู่ทั้งนั้น

เทียบกันเช่นนี้แล้ว หลินเสวี่ยเฟิงเพิ่งค้นพบว่า ฐานะผู้สืบทอดตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของตนนั้นดูจืดชืดหม่นสีถึงเพียงนี้

ไม่มีทางเทียบได้อยู่แล้ว!

ในเวลานี้ ต้องรวมอำนาจของตระกูลหลินสายรองให้เป็นหนึ่ง จึงจะพอฝืนยกฐานะขึ้นมาเป็นตระกูลผู้มีอำนาจระดับล่างได้ ถ้าเพียงอาศัยตระกูลหลินแห่งแสงอุดรสายเดียว ต้องด้อยกว่าไม่น้อยแน่

แน่นอนว่าหลินเสวี่ยเฟิงก็ไม่ได้ดูถูกตัวเองเกินไป แต่ที่ทำให้เขาสะท้านใจก็คือ หลินสวินนั้นรู้จักกับลูกหลานชนชั้นสูงมากมายที่นั่งอยู่ที่นี่!

ต่อให้ความสัมพันธ์จะผิวเผินกว่านี้ แต่อย่างไรก็ถือว่ารู้จักกัน ไหนเลยจะเหมือนกับเขาหลินเสวี่ยเฟิง ขนาดโอกาสจะทำความรู้จักยังไม่มี…

ชั่วขณะนี้ ในที่สุดหลินเสวี่ยเฟิงได้รู้แล้วว่า ญาติผู้น้องที่ครอบครองภูเขาชำระจิตอย่างโดดเดี่ยวนั้น ที่แท้ยังมีเส้นสายที่แข็งแกร่งเช่นนี้ มิน่าเขาถึงกล้ามาท้ารับภาระของตระกูลหลินด้วยกำลังของตนเพียงผู้เดียว!

ขณะที่หลินเสวี่ยเฟิงเหม่อลอยอยู่นั้นเอง ฉับพลันมีเสียงบาดหูดังขึ้นกลางโถง “คุณชายสามสือ เจ้าแนะนำทีละคนแบบนี้ จะแนะนำไปถึงเมื่อไหร่กันแน่หา”

ถ้อยคำนี้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจ

ดวงตาหลายคู่ในโถงพลันมองไป กลับเห็นว่าผู้ที่พูดนั้นเป็นเด็กหนุ่มท่าทางยโสโอหังสวมชุดสีดำผู้หนึ่ง

สืออวี่ขมวดคิ้วขึ้นอย่างยากจะสังเกตเห็น แต่ยังคงยิ้มพลางพูดกับหลินสวินว่า “ท่านผู้นี้คือซ่งชงเฮ่อ มาจากตระกูลซ่งที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลมหาอำนาจ ซ่งอี้ที่ได้ที่หนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้ก็เป็นญาติผู้พี่ของคุณชายชงเฮ่อ”

แต่ซ่งชงเฮ่อกลับหัวเราะเย็นชา “ไม่ต้องแนะนำข้า ครั้งนี้ข้ามาเพื่อพบแม่นางไป๋หลิงซี คนอื่นเป็นใคร ข้าไม่สนหรอก”

คำพูดนี้เอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงใจ ไม่เห็นผู้อื่นในสายตา

หลายคนที่อยู่ที่นั่นขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ขนาดหลินสวินยังตะลึงไป เหตุใดสืออวี่ถึงเชิญเจ้าคนหัวสูงเย่อหยิ่งเช่นนี้มานะ

ทว่าสืออวี่กลับหัวเราะเสียงดัง “ช่างเถอะ รอคนมากันครบแล้ว ข้าค่อยแนะนำทีละคนก็ไม่ติดขัด มา หลินสวิน เข้ามานั่งสิ”

เขาพูดพลางลากหลินสวินมาด้วย แล้วเดินไปทางซ้ายมุ่งหน้าไปที่นั่งประธาน เห็นชัดว่าไม่คิดจะหาความกับซ่งชงเฮ่อ

ใครจะคิดว่าซ่งชงเฮ่อจะไม่รามือง่ายๆ ยิ้มเย็นอย่างไม่พอใจแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชายสามสือ ที่นั่งประธานจะให้ใครที่ไหนนั่งมั่วๆ ได้อย่างไรกัน”