ตอนที่ 140 ในปีนั้น

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ห้องโถงยังคงเป็นห้องโถงเดิมห้องนั้น และเพราะพระอาทิตย์เคลื่อนตัวขึ้นมาแล้ว ลำแสงที่ส่องเข้ามานั้นทำให้ห้องดูสว่างสดใสมากยิ่งขึ้น

 

 

แต่สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในห้องกลับดูหนักอึ้ง

 

 

โจวชูจิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนกลางห้อง ยกถ้วยชาขึ้น ใช้ฝาถ้วยค่อยๆ เขี่ยใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำชา กล่าวเสียงเข้มว่า “พูดมา! ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไร”

 

 

ทั้งป้ารับใช้ร่างบึกบึน และคนจากสำนักนายหน้าต่างก็ล่าถอยออกไปหมดแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้หลานทิงทำเรื่องเขย่าขวัญอะไรขึ้นมาอีก นางจึงยังคงถูกมัดเอาไว้ด้วยเชือกเช่นเดิม หมอบอยู่ตรงหน้าโจวชูจิ่น โจวเสาจิ่นยืนอยู่ด้านหลังของพี่สาว ส่วนภรรยาของหม่าฟู่ซานเฝ้าอยู่ด้านนอกของประตู

 

 

นัยน์ตาของหลานทิงพราวระยับไปด้วยแววเจ้าเล่ห์ กล่าวขึ้นว่า “ถ้าคุณหนูใหญ่ส่งข้ากลับเมืองเป่าติ้ง ข้าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านฟัง!”

 

 

โจวชูจิ่นยิ้มเย็น ลุกขึ้นมา ตะโกนเสียงดังเรียกให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานเข้ามา สั่งการไปว่า “เจ้าไปขอยาทำให้เป็นใบ้จากแม่ชีสำนักเต๋าเหล่านั้นมากรอกปากนางสักเม็ดหนึ่ง ในเมื่อนางไม่อยากพูด เช่นนั้นก็ให้นางไม่ต้องพูดอีกตลอดไป” กล่าวเสร็จ ก็เดินออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามอง

 

 

โจวเสาจิ่นรีบตามออกไปด้วยอย่างรีบร้อน

 

 

หลานทิงกล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าในปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”

 

 

โจวชูจิ่นแสยะยิ้มอย่างดูแคลน “เจ้ามีหลักฐานอะไรเล่า คิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร ต่อให้เจ้าพูดมามากมายข้าก็ยังต้องให้คนไปพิสูจน์ดูก่อน เจ้ายังฝันจะต่อรองกับข้าอีกอย่างนั้นหรือ ตอนที่ท่านแม่เสียชีวิต อย่างมากเจ้าก็มีอายุเพียงสิบสองสิบสามปีเท่านั้น ด้วยอายุของเจ้าแล้ว ยังไม่ได้รับเงินเดือนของสาวใช้ขั้นหนึ่งเลยด้วยซ้ำ ต่อให้เฉิงไป่จะทำร้ายท่านแม่จริง เกรงว่าเจ้าก็เพียงคาดเดาจากเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นแล้วก็เท่านั้น รอให้ข้าจับเจ้ากรอกยาทำให้เป็นใบ้ หักมือหักเท้า และขายให้กับหอนางโลมที่แย่ที่สุดแล้ว ข้าค่อยไปสืบเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นกับสาวใช้ใหญ่ที่รับใช้ท่านแม่ ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะสืบหาอะไรไม่ได้สักอย่าง! หากว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง ข้าจะให้เจ้ามีชีวิตอยู่ที่หอนางโลมจนวาระสุดท้าย แต่หากเจ้าพูดโกหก เจ้าวางใจได้เลย เพียงแค่จ่ายเงินเพิ่มอีกสักหน่อยแล้วส่งเจ้าไปเป็นนางโลมหลวงของกองทัพทั้งเก้าที่ชายแดน” นางกล่าวถึงตรงนี้ ก็สั่งการภรรยาของหม่าฟู่ซานว่า “จริงสิ ตอนที่เจ้าขายนาง ให้แจ้งกับแม่เล้าเหล่านั้นให้ชัดเจนด้วยว่าไม่ต้องให้นางดื่มน้ำแกงห้ามครรภ์ ข้าไม่เพียงต้องการให้นางเป็นนางโลมเท่านั้น ยังต้องการให้บุตรชายหญิงของนางเป็นนายนางบำเรอทุกชั่วโคตรด้วย…”

 

 

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วก็ได้แต่ตัวสั่นเทา

 

 

หลานทิงถึงกับเปลี่ยนสีหน้า

 

 

“ไม่!” นางกรีดร้อง “เจ้าจะทำอย่างนี้กับข้าไม่ได้ ข้าเป็นคนของพ่อเจ้า…”

 

 

โจวชูจิ่นถ่มน้ำลายดูถูกหลานทิงครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้านับว่าเป็นตัวอะไรหรือ ถึงกล้ามาบอกว่าเป็นคนของท่านพ่อของข้า ท่านแม่ของข้าเคยดื่มน้ำชา[1]ที่เจ้าโขกศีรษะยกให้นางอย่างนั้นหรือ หรือว่าท่านพ่อของข้าเคยไปยืนยันชื่อของเจ้ากับทางการแล้วอย่างนั้นหรือ ก็แค่ของเล่นเอาไว้อุ่นเตียงให้ท่านพ่อของข้าชิ้นหนึ่งเท่านั้น ก็ถือว่าเป็นคนของท่านพ่อของข้าได้แล้วอย่างนั้นหรือ เจ้าอย่าลืมว่า หนังสือซื้อขายชีวิตของเจ้าอยู่กับตระกูลโจวของข้า! หากข้าเมตตาส่งเสริมเจ้า เจ้าก็ได้เป็นคนผู้หนึ่ง แต่หากข้าต้องการทำลายเจ้า เจ้าก็เป็นได้เพียงโคลนตมเท่านั้น! ภรรยาของหม่าฟู่ซาน เจ้ายังจะยืนอยู่ตรงนั้นเพื่ออะไรอีก แม้แต่เจ้าข้าก็สั่งการอะไรไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ”

 

 

ภรรยาของหม่าฟู่ซานสีหน้าซีดเผือด ตัวสั่นเทา ขานรับไม่หยุดว่า “เจ้าค่ะ” แม้แต่น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปไม่น้อย

 

 

“ไม่นะเจ้าคะๆๆ” หลานทิงพยายามจะคลานเข้าไปหาโจวชูจิ่น แต่เพราะถูกมัดมือไขว้หลังเอาไว้ ทำให้ไม่เพียงคลานเข้าไปหาไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามยังทำให้ตัวเองล้มคะมำอยู่บนพื้นอีกด้วย “คุณหนูใหญ่ ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะๆ”

 

 

โจวชูจิ่นยิ้ม เหลือบมองอย่างเยียบเย็นไปที่หลานทิงครั้งหนึ่ง ยืดลำตัวตรงและเชิดหน้าขึ้นเดินไปด้านหน้า

 

 

โจวเสาจิ่นรีบก้าวออกไปประคองไหล่ของโจวชูจิ่นเอาไว้

 

 

ตอนนี้เองที่นางได้รู้ว่าร่างของโจวชูจิ่นสั่นเทาเล็กน้อย

 

 

พี่สาวเองก็คงกลัวว่าจะควบคุมหลานทิงเอาไว้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ถึงได้กล่าวคำพูดดังกล่าวออกไป

 

 

โจวเสาจิ่นราวกับต้องการให้กำลังใจก็ไม่ปาน นางจับมือของโจวชูจิ่นเอาไว้แน่น

 

 

มือของน้องสาว บอบบางและนุ่มนิ่ม ทว่าอบอุ่นและมีพลัง

 

 

โจวชูจิ่นพลันเข้าใจเจตนาของโจวเสาจิ่น

 

 

นางเอียงศีรษะมองโจวเสาจิ่นครั้งหนึ่ง นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความอบอุ่น

 

 

โจวเสาจิ่นจึงหันไปเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มให้พี่สาว

 

 

มีน้ำเสียงทั้งร้อนรนและเป็นกังวลของหลานทิงดังมาจากด้านหลังของพวกนาง “คุณหนูใหญ่ ข้าพูดแล้วเจ้าค่ะๆ ขอเพียงท่านไม่ขายข้าไปยังสถานที่สกปรกเช่นนั้น ไม่ว่าอะไรข้าก็จะยอมเล่าให้ท่านฟังทุกอย่างเจ้าค่ะ”

 

 

โจวชูจิ่นหันกลับมา กล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าต่อรองกับข้าได้อย่างนั้นหรือ”

 

 

“ไม่ได้เจ้าค่ะๆ” หลานทิงมองใบหน้าไร้สีดั่งน้ำค้างแข็งและหิมะของโจวชูจิ่นแล้ว รู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วทั้งหัวใจ ตระหนักได้ว่าตนพบกับคนที่ยากจะต่อกรด้วยเสียแล้ว หากไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะตกเข้าไปอยู่ในสถานที่ของนางโลมโดยไม่อาจกลับตัวได้อีก นางจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ เป็นข้าเองที่กล่าวผิดไป ข้าจะเล่าให้ท่านฟังทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรก็จะเล่าให้ท่านฟังทั้งหมดเจ้าค่ะ”

 

 

โจวชูจิ่นยกมุมปากขึ้นอย่างจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม กล่าวขึ้นว่า “ลองพูดมา ว่าในปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง”

 

 

หลานทิงเรียกขวัญให้ตัวเอง กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความประจบประแจงอยู่หลายส่วน “เป็นอย่างที่คุณหนูใหญ่ได้กล่าวมา ตอนนั้นข้ามีอายุเพียงสิบสามปี เป็นสาวใช้ขั้นสองอยู่ในเรือนของฮูหยิน คนที่รับใช้ฮูหยินมาตั้งแต่เริ่มแรกคือซินหลาน สาวใช้ที่ติดตามฮูหยินมาจากบ้านเดิม” ขณะที่นางกล่าว น้ำเสียงก็หยุดลงครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อว่า “คุณหนูใหญ่รู้จักนายท่านใหญ่เฉิงไป่ที่ตรอกฉุนอี้หรือไม่”

 

 

“รู้จัก!” โจวชูจิ่นกล่าวเสียงเรียบ กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขนอีกครั้งหนึ่ง

 

 

ภรรยาของหม่าฟู่ซานรีบวิ่งเข้ามาเติมน้ำชาให้โจวชูจิ่น แล้วก็ปิดประตูและเดินออกไป

 

 

หลานทิงได้ยินโจวชูจิ่นกล่าวว่ารู้จักเฉิงไป่ที่ตรอกฉุนอี้แล้วก็ประหลาดใจยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “เขาไม่เพียงเป็นสายรองของตระกูลเฉิง หลายปีก่อน ยังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับฮูหยิน…”

 

 

โจวชูจิ่นกล่าวขัดคำพูดของนางอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ก็เพียงแค่เคยหมั้นหมายกับท่านแม่เท่านั้นไม่ใช่หรือ เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันอยู่แล้ว”

 

 

เรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้กันอยู่แล้วตั้งแต่เมื่อไรกัน?

 

 

หลานทิงตกตะลึง

 

 

ในตอนนั้นโจวเจิ้นต้องลงแรงไปมากกว่าจะปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้

 

 

นางชายตามองพี่น้องตระกูลโจวทั้งสอง

 

 

ไม่เพียงโจวชูจิ่นที่ยังคงมีสีหน้าปกติ แม้แต่โจวเสาจิ่น ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ที่ผิดแผกไปจากปกติออกมา

 

 

หลานทิงถึงได้เชื่อว่าทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้วจริงๆ

 

 

นางรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา

 

 

เห็นทีว่าหลายปีที่นางไม่ได้อยู่ที่เมืองจินหลิง ได้เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย ตนควรจะต้องตอบอย่างระมัดระวังถึงจะถูก

 

 

สีหน้าของหลานทิงร้อนรนเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เดิมทีฮูหยินกับนายหญิงผู้เฒ่าอาศัยอยู่ที่ถนนกวนเจีย เนื่องจากนายท่านผู้เฒ่าอยู่บ้านบ้างไม่อยู่บ้าง ดังนั้นเรื่องที่ต้องเข้าๆ ออกๆ เรือนชั้นในจึงมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของซินหลาน เฉิงไป่ให้ความสนใจต่อฮูหยินเป็นอย่างมาก คอยส่งสิ่งของมาให้อยู่เสมอๆ บางครายังเขียนจดหมายและเขียนบทกลอนมาให้ฮูหยิน เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนให้ซินหลานเป็นคนนำมาให้ฮูหยิน ฮูหยินไม่ชอบการกระทำเหล่านี้ของเฉิงไป่ ให้ซินหลานนำสิ่งของไปคืนเฉิงไป่ เฉิงไป่กลับส่งของมาให้ฮูหยินอีก ทั้งยังซื้อกิ๊บติดผมดอกไม้และผ้าเช็ดหน้าต่างๆ มอบให้ซินหลาน ขอให้ซินหลานช่วยกล่าวถึงเขาในแง่ดียามอยู่ต่อหน้าฮูหยิน นานวันเข้า ซินหลานกับเฉิงไป่ก็สนิทสนมกันขึ้นมา…

 

 

…สุดท้ายฮูหยินไม่ได้แต่งงานกับเฉิงไป่ ซินหลานจึงติดตามฮูหยินที่แต่งเข้ามายังตระกูลโจว…

 

 

…แต่เฉิงไป่ผู้นั้นก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายาม ขอให้ซินหลานนำของมาส่งให้ฮูหยินอีกหลายครั้ง ฮูหยินบอกซินหลานไปหลายครั้งแล้ว ทว่าซินหลานกลับพูดแก้ต่างให้เฉิงไป่ ฮูหยินจึงไปปรึกษากับนายท่าน แล้วให้ซินหลานแต่งงานออกไป…

 

 

…คนที่ซินหลานแต่งงานด้วยนั้นเป็นพ่อค้าฝ้ายผู้หนึ่ง ช่วงปีแรกๆ พ่อค้าผู้นั้นยังรับส่งฝ้ายอยู่ที่หังโจว ต่อมาการค้าทางฝั่งนี้ไม่ค่อยดีนัก จึงพาซินหลานไปที่เมืองจิงโจว…

 

 

…ทุกคนต่างคิดว่าหลังจากที่ซินหลานแต่งงานไปแล้วคงจะไม่กลับมาอีก แต่ความจริงแล้วตอนที่ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์คุณหนูรองอยู่นั้น ซินหลานเคยกลับมาเยี่ยมฮูหยิน แต่ว่าคนรับใช้ข้างกายฮูหยินล้วนเป็นคนที่เข้ามาหลังจากที่ซินหลานแต่งงานออกไปแล้ว นางเองก็เปลี่ยนไปแล้ว ดูเหมือนฮูหยินเองก็ไม่ค่อยอยากให้ทุกคนรู้เรื่อง ในตอนนั้นทุกคนจึงไม่ได้สงสัยว่านางคือใครกันแน่…

 

 

…ในตอนนั้นนางอยากจะค้างอยู่ที่เรือนสักสองสามวัน แต่ฮูหยินไม่ได้ให้นางค้างด้วย นางจึงกลับไปอย่างผิดหวัง…

 

 

…และเพราะเหตุนี้ข้าถึงได้จดจำนางได้…

 

 

…ต่อมานางยังกลับมาอีกหลายครั้ง ฮูหยินค่อยๆ ปฏิบัติกับนางดีขึ้น ไม่ได้เย็นชาเหมือนช่วงแรกๆ อีก บางครั้งยังพูดคุยเรื่องจิปาถะกับนางอีกด้วย…

 

 

…ข้าจำได้ ตอนที่ฮูหยินคลอดคุณหนูรองนั้น มีภาวะคลอดบุตรยาก ในเวลานั้นทุกคนในบ้านต่างวิ่งกันวุ่น ในทันใดนั้นซินหลานก็มาเยี่ยมฮูหยิน พ่อบ้านจัดแจงให้นางไปรออยู่ในห้องรับแขก จากนั้นก็รีบเร่งออกไปตามท่านหมอ”

 

 

หลานทิงดำดิ่งเข้าไปอยู่ในความทรงจำ

 

 

“คืนก่อนหน้านั้นข้าอยู่เฝ้าเวรกลางคืน ตอนที่กำลังเกิดเรื่องกับฮูหยินนั้นข้านอนหลับอยู่ในห้อง พอได้ยินว่าฮูหยินมีภาวะคลอดบุตรยาก ไหนเลยจะนอนต่อไปได้ ข้าจึงคิดจะไปจุดธูปที่ห้องพระเล็ก…

 

 

…ปรากฏว่าในเรือนหลักต่างเต็มไปด้วยผู้คนทั่วทุกที่ นายท่านเดินไปเดินมาอยู่ในลาน เห็นใครก็ไม่สบอารมณ์ไปเสียหมด…

 

 

…ข้าไม่กล้าเข้าไป จึงเลี้ยวไปที่ห้องครัวแทน…

 

 

…จากที่ไกลๆ ข้าเห็นซินหลานเดินเข้ามาพร้อมกับกาน้ำร้อนกาหนึ่ง…

 

 

…พอนางเห็นข้าจึงกล่าวทักทายข้า ยังถามข้าถึงอาการของฮูหยินอย่างเป็นห่วงว่าตอนนี้ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว จากนั้นก็ยกกาน้ำในมือขึ้นพร้อมกับบอกข้าว่า ที่เรือนหลักต้องการน้ำร้อนเป็นจำนวนมาก เตาไฟในห้องน้ำชาเล็กเกินไป ต้มน้ำไม่ทันใช้ นางเห็นสาวใช้เด็กเหล่านั้นต่างก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก นางจึงเสนอตัวไปช่วยยกน้ำมาให้…

 

 

…ในตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ยังกล่าวไปว่า ท่านเป็นแขก จะรบกวนท่านได้อย่างไร กาน้ำนี้ให้ข้าเป็นคนนำไปส่งให้ด้านในก็แล้วกัน…

 

 

…ใครจะรู้ว่าพอซินหลานได้ยินแล้วก็ดูเหมือนกับว่าจะตกใจเป็นอย่างมาก กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ต้อง ไม่หยุด จากนั้นก็ยกกาน้ำมุ่งไปทางเรือนหลักอย่างรีบเร่ง…

 

 

…ข้าเห็นนางที่แต่งงานออกไปแล้วแต่ก็ยังกระตือรือร้นเช่นนั้น ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินตามไปด้วย…

 

 

…ใครจะรู้ว่าพอข้าเดินไปถึงเรือนหลัก กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของนางแล้ว…

 

 

…ขณะที่ข้ากำลังสงสัยอยู่ในใจนั้น นางกลับโผล่ออกมาจากที่ใดก็ไม่ทราบได้ ถือกาน้ำทองเหลืองนั้นเอาไว้ และยืนอยู่ข้างๆ ผ้าม่าน…

 

 

…ข้าจำได้ ตอนที่นายท่านเห็นนางยังขมวดคิ้วมุ่น เหมือนอยากจะต่อว่าอะไรนางสักอย่าง ปรากฏว่าคนในห้องตะโกนออกมาว่า ส่งกาน้ำร้อนเข้ามาอีก ซินหลานรีบนำน้ำเข้าไปส่ง นายท่านก็เลยไม่ได้ว่าอะไร…

 

 

…ไม่นานหลังจากนั้น หมอตำแยก็เดินลูบศีรษะออกมาจากด้านหลังผ้าม่านด้วยสีหน้าซีดเผือด กล่าวกับนายท่านว่า เลือดไหลไม่หยุด นางเองก็จนปัญญาแล้ว…

 

 

…ท่าทางของนายท่านในเวลานั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก พุ่งเข้าไปเค้นกับหมอตำแยผู้นั้นว่า เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือว่าสามารถห้ามเลือดได้แล้ว เหตุใดกลับมาบอกอีกว่าเลือดไหลไม่หยุด ตกลงว่าห้ามเลือดได้หรือไม่ได้กันแน่ หากเจ้าโกหก ต่อไปก็อย่าหวังจะได้กินข้าวอีกเลย…

 

 

…ในเวลานั้นหมอตำแยตกใจจนร้องไห้ออกมา กล่าวว่า ตอนแรกก็ห้ามเลือดเอาไว้ได้แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าพอวางฮูหยินลงแล้ว เลือดกลับไหลออกมาอีกไม่หยุด…

 

 

…นายท่านดีกับฮูหยินมากจริงๆ เวลาที่ผู้คนทั่วไปมีภาวะคลอดบุตรยากจะเชิญหมอตำแยที่เชี่ยวชาญด้านการคลอดมา แต่คนที่นายท่านไปเชิญมาเป็นถึงท่านหมอผู้หนึ่ง ยังติดตามเข้าไปในห้องคลอดยามท่านหมอผู้นั้นเข้าไปจับชีพจรให้ฮูหยินอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ฮูหยินถึงได้รอดชีวิตมาได้…

 

 

…แต่สุดท้ายแล้วสุขภาพของฮูหยินได้ถูกทำลายไปมาก อยู่ต่อมาได้อีกครึ่งปี ก็จากไปในที่สุด”

 

 

พอหลานทิงกล่าวถึงตรงนี้ สีหน้าของนางดูเหม่อลอยขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ขณะที่โจวเสาจิ่นฟังเรื่องราวของตัวเองในวัยเด็ก คิดถึงภาพใจสลายของบิดาหลังจากที่มารดาเสียชีวิต ชั่วขณะหนึ่งก็รู้สึกโง่งมขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

ภายในห้องพลันเงียบงัน ไม่มีแม้เสียงใดๆ

 

 

โจวชูจิ่นเปล่งเสียงเย็นชาออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นี่คือเรื่องทั้งหมดที่เจ้าบอกว่า เฉิงไป่ทำให้ท่านแม่ของข้าต้องตาย หรอกหรือ ข้าว่าไม่ใช่เฉิงไป่ทำให้ท่านแม่ของข้าต้องตาย แต่เป็นเจ้าที่สร้างเรื่องขึ้นมาเสียมากกว่ากระมัง หากเจ้าคิดจะแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกลวงพวกข้าสองพี่น้อง ก็ควรจะแต่งเรื่องให้สมจริงสักหน่อย!”

 

 

“คุณหนูใหญ่ ข้าไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมานะเจ้าคะ” หลานทิงได้สติกลับมา กล่าวขึ้นอย่างกระวนกระวายว่า “เฉิงไป่ทำให้ฮูหยินต้องตายจริงๆ เจ้าค่ะ”

 

 

…………………………………………………………………………

 

 

 

 

[1] ดื่มน้ำชา ในที่นี้หมายถึงพิธียอมรับอนุภรรยาของสามี