ตอนที่ 341 ปักใจเชื่อ / ตอนที่ 342 เสี่ยวเฟิงพูดโกหก

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 341 ปักใจเชื่อ

หญิงชราไม่ได้เลอะเลือนเช่นหลิวซื่อ นางรู้สึกว่าสีหน้าขณะพูดของเสี่ยวเฟิงดูแปลกๆ ไปบ้าง แววตาก็ดูอยู่ไม่สุข ท่าทางไม่เหมือนยามพูดจาปกติ จึงถามว่า “เสี่ยวเฟิง เจ้าสอบได้ลำดับที่สามจริงหรือ ไม่ได้หลอกพวกข้าใช่หรือไม่”

หลิวซื่อหันไปมองแม่สามี “ท่านแม่ ท่านหมายความว่าอย่างไร เสี่ยงเฟิงจะหลอกพวกเราได้อย่างไร ต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน เสี่ยวเฟิงของพวกเราฉลาดเฉลียว สอบได้ลำดับที่สามน่าแปลกตรงไหนกัน”

เสี่ยวเฟิงกลืนน้ำลาย ยิ้มกล่าว “ท่านย่า เป็นเรื่องจริงแน่นอน ข้าจะหลอกพวกท่านได้อย่างไร”

ในใจของหญิงชรายังคงมีความสงสัย ทว่าเสี่ยวเฟิงบอกว่าเป็นความจริง นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน หลานชายสุดที่รักของนางน่าจะไม่หลอกนางกระมัง

หลิวซื่อถลึงตามองจางซื่อ พูดอย่างมีน้ำโหว่า “เจ้าได้ยินแล้วสินะ เสี่ยวเฟิงของข้าสอบได้ลำดับที่สาม หากสอบที่เมืองหลวง ข้าว่า…” นางทอดสายตามองท้องฟ้า คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตบกระหม่อมตนเอง “ข้านึกออกแล้ว หากมีการจัดสอบในเมืองหลวง ลำดับที่สามก็ถือว่าเป็นทั่นฮวา[1]นี่นา” นางมองบุตรชายของตนเองด้วยความภาคภูมิใจอย่างหาใดเปรียบ ราวกับว่าเขาสอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาเรียบร้อยแล้ว

จางซื่อยิ้ม “ทั่นฮวาหมายถึงอะไรข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ข้าได้ยินมาว่าการสอบย่อยระดับตำบลในครั้งนี้ มีเพียงคนที่สอบได้สิบลำดับแรกเท่านั้น ถึงจะเข้าร่วมการสอบระดับอำเภอในเดือนหน้าได้ อีกไม่กี่วันก็จะเริ่มสอบแล้ว ท่านหมอลู่หาคนรับประกันแล้วเรียบร้อย ทั้งยังหาโรงเตี๊ยมในอำเภอไว้แล้วด้วย อีกไม่กี่วันเขาจะส่งผิงอันไปแล้วล่ะ”

หลิวซื่อชะงักค้าง ดึงชายแขนเสื้อของเสี่ยวเฟิง ถามว่า “เสี่ยวเฟิง เรื่องนี้เจ้าไม่บอกพวกข้าได้อย่างไร ป่านนี้แล้ว หากไปถึงการสอบระดับอำเภอล่าช้าแล้วจะทำอย่างไร”

เมื่อหญิงชราฟังถึงตรงนี้แล้ว นางยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก เสี่ยวเฟิงสอบไม่ได้สิบลำดับแรกอย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งอาจจะเป็นเช่นที่หลิวซื่อกล่าว เขาสอบได้ลำดับสุดท้ายจริงๆ…

ทว่าหลิวซื่อกลับปักใจเชื่อบุตรชาย ไม่ยอมได้สติเสียที

ไป๋เสี่ยวเฟิงมีสีหน้าวางตัวไม่ถูก รู้สึกเกลียดแค้นจางซื่อนัก

หลิวซื่อเห็นไป๋เสี่ยวเฟิงไม่ได้พูดอะไร จึงพูดทั้งๆ ที่ตาแดงว่า “เจ้าไม่อยากให้ครอบครัวเราลำบากเพราะการสอบของเจ้าแน่ๆ เจ้าวางใจเถอะ เรื่องใหญ่ที่สุดของสกุลไป๋พวกเราก็คือเรื่องการสอบของเจ้า เจ้ารอก่อนนะ ข้าจะพูดกับท่านย่าของเจ้าให้”

นางหันไปมองหญิงชรา “ท่านแม่ อีกเดี๋ยวเสี่ยวเฟิงต้องไปสอบในอำเภอ ท่านยังมีเงินเหลืออยู่เท่าไรหรือ นำออกมาให้เสี่ยวเฟิงใช้ก่อนสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ต่อไปเมื่อเสี่ยวเฟิงได้เป็นขุนนางใหญ่โตแล้ว เขาจะต้องคืนให้ท่านเป็นสิบเป็นร้อยเท่าแน่นอน”

ปกติแล้วหญิงชราเป็นคนขี้เหนียว แล้วไยนางต้องขี้เหนียว นั่นก็เพราะนางจะเก็บเงินไว้ให้เสี่ยวเฟิงใช้เรียนหนังสือและเข้าร่วมการสอบ

นางมองเสี่ยวเฟิง พลางถามว่า “เจ้าสอบได้ลำดับที่สามจริงหรือ แล้วต้องไปเข้าร่วมการสอบระดับอำเภอในเมืองจริงๆ ใช่หรือไม่”

ไป๋เสี่ยวเฟิงรู้ว่าปิดบังต่อไปไม่ได้แล้ว ทว่าไม่อยากให้ภาพลักษณ์ของตนเองต้องลดลงไปหมื่นจั้งต่อหน้าทุกคน จึงเถียงข้างๆ คูๆ เสียเลยว่า “อาจารย์บอกว่าข้าอายุยังน้อย ปีหน้าค่อยสอบก็ยังไม่สาย จึงไม่ได้ลงชื่อให้ข้า คราวนี้ข้าจึงไม่ต้องไป”

หลิวซื่อตะลึง “เจ้าพูดอะไรของเจ้า อายุเจ้าน้อยๆ เสียที่ไหน หลังจากสอบได้วุฒิซิ่วไฉแล้ว สามปีให้หลังถึงจะสอบเป็นจู่เหริน[2]ได้ ถึงเวลานั้นเจ้าก็อายุสิบเจ็ดแล้ว สอบจู่เหรินแล้วยังต้องรออีกสามปีถึงจะสอบเป็นจิ้นซื่อ[3]ได้ และถึงตอนนั้นเจ้าก็อายุยี่สิบแล้ว ยังเรียกว่าอายุน้อยอยู่ได้อย่างไร ตอนนี้สอบวุฒิซิ่วไฉก็ถือว่าเหมาะสมถึงจะถูก!”

ไป๋เสี่ยวเฟิงขมวดคิ้ว “ล่าช้าไปสักปีไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อาจารย์บอกข้าไว้เช่นนี้ แล้วข้าจะทำอะไรได้”

ไหนเลยหลิวซื่อจะสนใจว่าเขามีสีหน้าเช่นไร นางต้องการเพียงมีชีวิตที่ดีในเร็ววัน ไม่อยากรอคอยแม้อีกสักวันเดียว

……….

ตอนที่ 342 เสี่ยวเฟิงพูดโกหก

“ไม่ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปหาอาจารย์ของเจ้า ให้เขาเพิ่มชื่อของเจ้าขึ้นไป หากเขาไม่ให้เจ้าไป เจ้าก็ต้องไปเอง”

ไป๋เสี่ยวเฟิงพลันโมโห “ก็บอกแล้วว่าปีหน้าค่อยไป ท่านไม่เข้าใจหรือ” ครั้นกล่าวจบก็หมุนกายเดินเข้าไปในเรือน ท่าทางกระฟัดกระเฟียดทีเดียว

หลิวซื่อไม่เข้าใจ “เฮอะ วันนี้เด็กคนนี้กินยาผิดไปหรือไร ไยต้องโมโหถึงเพียงนี้”

หญิงชราถลึงตามองสะใภ้ใหญ่ “ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้าตามข้าเข้าไปในเรือน”

หลิวซื่อตามหญิงชราเข้าไปในเรือน ฝ่ายหญิงชราจูงมือหลิวซื่อเข้าไปในห้องของตนเอง ก่อนจะปิดประตูอย่างแน่นหนา

สะใภ้ใหญ่เห็นอีกฝ่ายลากตนเข้ามาในห้อง ยังคิดว่าจะต้องมอบค่าใช้จ่ายในการสอบของเสี่ยวเฟิงให้นางแน่ จึงกล่าวด้วยความดีใจ “ข้ายังไม่ได้ไปหาอาจารย์ที่โรงเรียนแลย ไม่ต้องให้เงินค่าเดินทางตอนนี้หรอกเจ้าค่ะ แต่หากตอนนี้ท่านจะให้ก็ไม่เป็นไร ข้ารับรองว่าจะเก็บรักษาอย่างดี”

หญิงชรานั่งลงบนเตียงของตนเอง มองหลิวซื่อเหมือนกับเวลาที่นางมองคนโง่ “กว้าหัว เจ้ามองไม่ออกจริงๆ หรือเจ้าแกล้งโง่กันแน่”

หลิวกว้าหัวชะงักงัน “ท่านแม่ ท่านหมายความว่าอย่างไร”

หมดกัน นางมองไม่ออกจริงๆ นี่คือสาเหตุที่นางมีท่าทีงงงันเช่นนี้กระมัง

“น้องสะใภ้เจ้าพูดไว้ชัดเจนแล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ เจ้าไม่รู้จักนิสัยของเสี่ยวเฟิงหรือไร เจ้าเป็นแม่ของเขานะ!”

หลิวกว้าหัวยังคงไม่เข้าใจ “ท่านแม่ ท่านพูดให้ชัดๆ ได้หรือไม่ นี่มันเรื่องอะไรกัน”

หญิงชราถอนใจเสียงหนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ปกติเสี่ยวเฟิงมักชอบอวดอ้างความดี หากเขาสอบได้ลำดับที่สาม ทั้งยังได้เข้าร่วมการสอบระดับอำเภอ มีหรือเขาจะไม่พูด”

สะใภ้ใหญ่พลันตาสว่างขึ้นมาบ้าง จริงด้วย เสี่ยวเฟิงไม่ใช่คนที่จะปิดบังอะไรได้ โดยเฉพาะเรื่องดีเช่นนี้ หากเขาสอบได้ลำดับที่สามจริง และได้เข้าร่วมการสอบระดับอำเภอ เขาจะไม่พูดได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

นางมองแม่สามีด้วยความตะลึงลาน “เช่นนั้นแล้ว…เสี่ยวเฟิงโกหกหรือ เขาสอบไม่ได้สิบลำดับแรกจริงๆ?”

“ไม่เพียงสอบไม่ได้สิบลำดับแรก เกรงว่าจะเป็นอย่างที่จางซูเหมยพูดไว้จริงๆ เขาสอบได้ลำดับสุดท้าย ถึงได้จงใจไม่บอกพวกเรา ในโรงเรียนก็ไม่ได้มีเขาเป็นนักเรียนจากหมู่บ้านหวงถัวเพียงคนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปิดเรื่องนี้ไว้ไม่อยู่ เขาไม่พูดต่อหน้าเจ้า ก็นับว่าไว้หน้าเจ้าแล้ว”

สีหน้าของหลิวกว้าหัวเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก นางส่ายหน้าไม่ยอมหยุด “ไม่ ไม่มีทาง เสี่ยวเฟิงของข้าฉลาดนัก ยามร่ำเรียนก็มักจะตั้งใจอย่างหนัก เขาจะสอบได้ลำดับสุดท้ายได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้แน่นอน”

“ไม่ได้การแล้ว พรุ่งนี้ข้าต้องไปถามอาจารย์ของเขาไม่รู้เรื่อง”

หญิงชราขมวดคิ้ว “ถามอะไรอีก มีอะไรน่าถามอีก เจ้าไม่กลัวขายหน้าเลยหรือไร ครั้งนี้สอบได้ไม่ดีก็ยังมีครั้งหน้า เสี่ยวเฟิงยังเด็ก ยังมีโอกาสอีก จำเป็นต้องวิ่งวุ่นไปมาเช่นนี้ด้วยหรือ”

เมื่อหลิวกว้าหัวคิดว่าต้องห่างจากวันที่จะได้มีความสุขเพิ่มอีกหนึ่งปี นางก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาแล้ว…

แม่สามีมองสีท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่าง “อีกเดี๋ยวข้าจะไปบอกต้าเป่าว่าให้เขาไปที่นา เกี่ยวข้าวสาลีกับอารองของเขาและฟู่กุ้ยตั้งแต่เช้า”

หลิวกว้าหัวมีสีหน้าลำบากใจ “ท่านแม่ แต่ไหนแต่ไรต้าเป่าไม่เคยเกี่ยวข้าวสาลี เกรงว่าจะไม่ไหวนะเจ้าคะ!”

“ต้าเป่าไม่เคยเกี่ยวข้าว แล้วฟู่กุ้ยเคยหรือไร เหตุใดเจ้าไม่พูดให้ฟู่กุ้ยที่พักอยู่ในบ้านเช่นกันเล่า” แม้ในใจของนางจะเอ็นดูต้าเป่ามากกว่าหน่อย ทว่าป่านนี้แล้ว ถึงจะเอ็นดูหลานชายตนโตมากเพียงไร รักหลานชายคนโตมากเท่าใด ก็ต้องเกี่ยวข้าวในที่นากลับมาก่อน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเสบียงอาหารในฤดูหนาวปีนี้ของพวกนาง และค่าเล่าเรียนของเสี่ยวเฟิงในปีหน้า

สะใภ้ใหญ่พึมพำ “เมื่อก่อนก็เป็นเช่นนี้ แต่ท่านก็ไม่เห็นเคยพูดอะไร ไยวันนี้ถึงไม่ได้ขึ้นมากัน”

[1] ทั่นฮวา (探花) คือ บัณฑิตที่สอบได้ลำดับที่สามในการสอบขุนนาง

[2] จู่เหริน (举人) คือ ผู้ที่สอบได้ลำดับที่หนึ่งในการสอบขุนนางระดับมณฑล ซึ่งจะจัดการสอบขึ้นทุกๆ 3 ปี

[3] จิ้นซื่อ (进士) คือ ผู้สอบผ่านการสอบระดับราชสำนัก โดยจะจัดการสอบทุกๆ 3 ปี หากบัณฑิตคนใดสอบผ่านตำแหน่งนี้ ก็นับว่ามีมีโอกาสเป็นขุนนางค่อนข้างแน่นอนแล้ว