ตอนที่ 173 เหล่าตัวทดลองที่หายไป

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

ป้อมปราการ 113 กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว นครรุ่งเรืองอันเป็นสัญลักษณ์ของมนุษยชาติได้ถูกทำลายลง หนู สุนัขและแมวจรวนเวียนคอยคุ้ยหาอาหารตามซาก เพียงไม่กี่สัปดาห์ หญ้าก็แทรกขึ้นมาตามรอยแตกของคอนกรีต

แต่กระนั้นพวกหนู สุนัขและแมวยังคงเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง เหมือนกับพยายามหลีกเลี่ยงอันตรายบางอย่างอยู่

ทันใดนั้นกองกำลังสมาคมตระกูลชิ่งในเครื่องแบบดำก็โผล่มาบนถนนสายเล็กแห่งหนึ่ง พวกเขาตื่นตัวสุดขีด มียุทโธปกรณ์ครบมือเตรียมพร้อม

พอสุนัขกับแมวจรเห็นพวกเขาก็วิ่งแตกกระเจิงไป ตอนที่หัวหน้าทหารให้สัญญาณมือ ทหารสองนายก็วิ่งออกจากหน่วยไปสำรวจสถานการณ์หลังสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่เบื้องหน้า

สิ่งกีดขวางคือซากสิ่งก่อสร้างที่พังลงมา

ปฏิบัติการดำเนินไปอย่างเงียบงัน พลชี้เป้าทั้งสองส่งสัญญาณมือกลับมาว่าไม่มีเป้าหมาย

กลุ่มทหารคืบหน้าไปอีกครั้ง ถ้ามีคนก้มมองลงมาจากฟากฟ้า จะเห็นเป็นหน่วยทหารสามสิบนายเยื้องย่างเข้าสนามรบราวแมวป่าตัวมหึมา

หลังจากผ่านสิ่งกีดขวางมาได้ กลุ่มทหารข้างหลังก็เข้าประจำตำแหน่งทันที ในหน่วยมีกลุ่มที่ถือครองอาวุธหนัก มีกลุ่มที่พร้อมจะตั้งบังเกอร์ป้องกันทันทีที่ได้รับคำสั่ง

ยังมีทหารกลุ่มอื่นๆ อีกมากตรงทิศตะวันตกเฉียงเหนือของป้อมปราการที่เคลื่อนขบวนเป็นปฏิบัติการแทรกซึมเช่นนี้ นี่คือกองพลที่หนึ่งซึ่งชิ่งอวิ่นพามากับกองพลที่เจ็ดที่ยังเหลือรอดของชิ่งไหว่ซึ่งถูกเขารวบรวมไว้

ชิ่งไหว่ตายไปแล้วจากการลอบโจมตีของพวกตัวทดลองก่อนหน้านี้ ชิ่งอวิ่นวางแผนจะยึดอำนาจในกองพลน้อยนี้เพื่อเพิ่มอำนาจของตัวเอง

ตราบใดที่ปฏิบัติการสำเร็จได้ด้วยดี เขาก็สามารถแทนที่ภาพของชิ่งเจิ่นในใจของสภาบริหาร

เหตุที่ว่าทำไมสมาคมใหญ่ๆ ถึงไม่ทุ่มทรัพยากรไปที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้น เป็นเพราะทางสมาคมมีขีดจำกัดในการหล่อเลี้ยงผู้มีพรสวรรค์สูง ทางสภาบริหารเชื่อว่าอิทธิพลของหนึ่งบุคคลเหนือทั่วทั้งสมาคมนั้นไม่ควรมี หากกลุ่มอันใหญ่โตที่แบ่งสันผลประโยชน์กันเช่นนี้อยากอยู่รอดสืบเนื่องไปได้เรื่อยๆ มันจำเป็นที่จะต้องเชื่อมั่นในสมาคม ใช่ปัจเจกบุคคล

ชิ่งอวิ่นจ้องหน้าจอบนรถบัญชาการที่อยู่ไกลสุดจากขบวนรบด้วยสายตาเย็นเยียบ ตอนนี้หน้าจอนับสิบบนรถกำลังฉายภาพปฏิบัติการของทหารสิบกว่าหน่วย

ตอนนี้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างไร้ปัญหา แต่ชิ่งอวิ่นยังอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ ซากป้อมปราการแห่งนี้จะเงียบเกินไปแล้ว

ชิ่งอวิ่นหันไปมองชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้าง “ผู้ช่วยหลี่ นี่คือที่ที่พวกนายโดนซุ่มโจมตีใช่ไหม”

“ใช่ครับ” ผู้ช่วยหลี่พยักหน้า “จู่ๆ พวกตัวทดลองก็โผล่มาตรงกลางตัดแบ่งหน่วยรบแทรกซึมจนสนามรบแบ่งเป็นสอง พวกมันคุ้นชินกับสภาพภูมิประเทศของที่นี่มาก ทั้งพลังรบก็น่าตกตะลึง ถูกกระสุนธรรมดายิ่งใส่จุดอ่อนยังไม่ทำให้พวกมันถึงตายได้เลย ท่านต้องระวังโดนมันซุ่มโจมตีแบบเดิมอีก”

ชิ่งอวิ่นพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ใช่ชิ่งไหว่ ฉันจะรอให้พวกมันออกมาอยู่ที่นี่”

ทว่ายิ่งขบวนรบใหญ่นี้เคลื่อนหน้าไป พวกเขาก็ยังไม่เห็นร่องรอยของตัวทดลองแม้แต่น้อย ทั่วทั้งเมืองเงียบสงัดจนน่าขนลุก

ซากร่างมนุษย์เห็นตามถนนหนทางได้บ่อยครั้ง เห็นได้ชัดเจนว่าภัยพิบัตินี้ร้ายแรงขนาดไหน

หลังภัยพิบัติแมลงหน้าคนโจมตีเสร็จพวกมันก็ไม่ได้อยู่ต่อ จากข้อมูลที่สมาคมตระกูลชิ่งมี พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นอาณาเขตของพวกตัวทดลองไปแล้ว

แต่ว่าพวกตัวทดลองหายไปไหนกัน

ทันใดนั้นก็มีคนกล่าวผ่านอุปกรณ์สื่อสาร “พบรอยแยกขนาดใหญ่บนพื้น มีร่องรอยการเคลื่อนไหวของพวกตัวทดลองที่นี่ด้วย คาดว่ามันน่าจะซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน”

“ส่งทหารสองหน่วยไปสำรวจ” ชิ่งอวิ่นกล่าว

ผู้บัญชาการกองหน้าชะงักอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดผ่านทางช่องสื่อสาร “ถ้าพวกเขาเจอตัวทดลองใต้นั่นจะไม่มีใครรอดนะครับ”

ชิ่งเจิ่นขมวดคิ้ว “ฉันสั่งอะไรก็ทำไป อย่าถามให้มาก”

“รับทราบ” เสียงจากอีกฝั่งดูสงบลง

ผู้ช่วยหลี่ที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าปริปากอะไร ในใจสงสัยนักว่าใครจะเป็นผู้โชคร้ายที่ต้องลงไปในรอยแยกนั่น

เขารู้ดีว่าตัวเองต้องไปขึ้นศาลทหารตอนกลับถึงป้อมปราการ 111 แล้ว ดังนั้นแทนที่จะมัวห่วงเรื่องคนอื่น เขาควรห่วงตัวเองมากกว่า เขาต้องใช้ปฏิบัติการครั้งนี้ชดเชย ถ้าชิ่งอวิ่นยอมพูดแทนเขาสักหน่อยตอนกลับไปป้อมปราการ ผู้ช่วยหลี่ก็สามารถปัดความรับผิดชอบทุกอย่างไปยังชิ่งไหว่ที่ตายไปแล้วได้

เดิมทีทุกคนนึกว่าจะได้ยินเสียงกรีดร้อง เสียงปืนยิงดังสนั่นในรอยแยกเสียอีก กลับกันมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่นิด ทุกอย่างยังคงอยู่ในความเงียบสงบ

ทันใดนั้นก็มีคนจากแนวหน้าพูดผ่านช่องสื่อสาร “ดูเหมือนที่นี่จะเป็นรังของตัวทดลอง เป็นถ้ำมหึมาถูกขุดด้วยพละกำลังถ่ายเดียว แต่ว่าไม่เห็นพวกตัวทดลองเลย!”

ชิ่งอวิ่นขมวดคิ้วมุ่น พวกตัวทดลองหายไปไหนหมด!

จากนั้นก็มีคนพูดผ่านช่องสื่อสาร “ที่นี่มีแลปทดลองขนาดย่อมอยู่ด้วย ดูเหมือนพวกตัวทดลองขนอุปกรณ์แลปมาที่นี่ มีไซริงค์ที่ใช้แล้วอยู่บนพื้น!”

ทุกคนได้ยินแบบนั้นก็ตะลึงพรึงเพริด จากที่ทุกคนรู้มา ตัวทดลองไม่ต่างไปจากสัตว์ป่าฝูงหนึ่ง ไม่มีทางที่ตัวทดลองจะมาทำทดลองอะไรได้เอง

ชิ่งอวิ่นพูดเสียงเย็น “ทุกคนถอย ที่นี่ไม่น่ามีตัวทดลองเหลืออยู่แล้ว เอาไซริงค์กับอุปกรณ์แลปกลับป้อม 111 ไปทำการตรวจสอบ ฉันอยากรู้ว่าพวกมันฉีดอะไรเข้าตัว!” จากนั้นเขาก็ปิดช่องสื่อสารแล้วยกโทรศัพท์ดาวเทียมขึ้นมารายงานกับสภาบริหารที่อยู่ป้อมปราการ 111 ตอนนี้ป้อมปราการ 113 กลายเป็นนครอันว่างเปล่าแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าตัวทดลองนับพันหายไปไหน

ส่วนพวกทหารที่ได้ยินว่าตัวทดลองทำงานวิจัยเองได้แถมยังฉีดยาเข้าตัวอีก พวกเขาตกตะลึงและระแวดระวังตัวขึ้นมา

สภาบริหารได้รับข้อมูลก็ตกในภวังค์ พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น

จากนั้นเลขาก็เดินเข้าประชุมพร้อมกล่าว “ชิ่งเจิ่นหายตัวไปครับ เพิ่งพบว่ามีขบวนรถออกป้อมปราการไปไม่นานนัก พวกเราคิดว่าชิ่งเจิ่นอยู่บนนั้น”

สมาชิกสภาบริหารคนหนึ่งขมวดคิ้วตำหนิ “แค่จับตาชิ่งเจิ่นยังทำไม่ได้!”

มีคนเอ่ย “พวกเราต้องสอบสวนออกมาให้ได้ว่าชิ่งเจิ่นหนีออกจากการเฝ้าจับตามองของพวกเราได้ยังไง ต้องมีคนแอบช่วยเขาอยู่แน่ ไม่งั้นเขาไม่มีทางหนีออกจากป้อมโดยไม่มีใครรู้ได้หรอก”

“ดูเหมือนว่าชิ่งเจิ่งเองก็ไม่ได้วางเฉยสินะ” มีคนถอนหายใจ

ผู้อาวุโสถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ขบวนรถมุ่งหน้าไปทางไหน”

“พวกเขากำลังไปป้อมปราการ 109 ครับ” เลขาตอบ

“นั่นมันป้อมปราการใต้การควบคุมของสมาคมตระกูลหลี่นี่ ชิ่งเจิ่นคิดจะแปรพักตร์?” มีคนสงสัย “ฉันว่าเริ่มตามล่าเขาเลยดีกว่า ชิ่งเจิ่นรู้ความลับของสมาคมมากเกินไป ถ้าเขาแปรพักตร์ไปเข้ากับสมาคมตระกูลหลี่ พวกเราได้เสียหายหนักแน่”