บทที่ 173 แหกกฎ

“ท่านเว่ย ผอ.หลัว เฉินเฉียงแห่งสำนักเต่าดำทำเกินไปแล้วจริงๆ”

“ในเมื่อเขาในตอนนี้เป็นต่อในการประลอง แล้วทำไมเขายังทำเรื่องต่ำช้าอย่างการทรมานศิษย์พี่หลินได้อยู่อีก”

“ท่านเว่ย โปรดประกาศหยุดการประลองไปก่อน ไม่อย่างนั้นละก็คนดูจะเริ่มก่อปัญหาแน่ๆ”

เมื่อเห็นเหล่าลูกศิษย์ทั่วไปของสำนักเสือขาวนั้นเริ่มแสดงออกด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวมากขึ้น นี่ทำให้เว่ยหยวนตี้ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำนักเสือขาวทำนั้นไม่เข้าตาศิษย์สำนักอื่นๆอีกสามสำนักแม้แต่น้อย

ศิษย์สำนักวิหคอสนีบาต ถึงแม้พวกเขาจะรู้สึกไม่ดีกับเฉินเฉียงเพราะเว่ยฉิงเชิน

แต่พวกเขานั้นรู้สึกเกลียดชังหลินฟานยิ่งกว่า

และเมื่อได้เห็นฉากนี้แล้ว พวกเขาต่างรู้สึกมีความสุขอย่างมาก

มีความสุขชนิดมากจนชนิดที่ว่าหากไม่ติดอยู่กันคนละสำนัก พวกเขาก็ยินดีที่จะช่วยพูดกับฉิงเชินในเรื่องเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือสำนักมังกรอาชูร่า

ที่ทางฝั่งอาชูร่า ภายใต้การนำของเจิ้งยี่ ทุกคนได้ตะโกนออกมากันอย่างพร้อมเพียง “สัญญาเป็นตายได้ลงนาม ไม่ใครที่จะหยุดการประลองได้”

ท้ายที่สุด เว่ยหยวนตี้ได้ออกท่าออกทางแสดงออกมาว่าให้ทุกคนใจเย็นลง

“ศิษย์ทั้งหลาย การประลองเป็นตายนี้ห้ามให้คนนอกก้าวก่าย”

แต่ในเมื่อทุกคนในตอนนี้เห็นว่าเฉินเฉียงและหลินฟานคืออัจฉริยะแห่งสี่สำนักภาคกลาง และด้วยสถานการณ์ระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์กลายพันธุ์ และสัตว์ประหลาดกำลังปะทุ จะดีกว่าพวกเราจะปกป้องความหวังแห่งเผ่าพันธุ์เอาไว้

“เอาล่ะ หลังจากพวกผู้บริหารพูดคุยกันแล้ว พวกเราจะทำการเปิดมิติประลองออกก่อน ส่วนพวกข้างในต้องการจะสู้ต่อหรือไม่ค่อยว่ากัน”

“เย้………..”

เหล่าศิษย์สำนักเสือขาวต่างร้องเหกันดังลั่น แต่ศิษย์อีกสามสำนักแสดงออกมาว่าไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิง

แต่ในเมื่อเว่ยหยวนตี้ออกปากเอง แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้กัน

หลังจากทำความเข้ากับทุกคนแล้ว เว่ยหยวนตี้ได้ทำการเปิดมิติประลองขึ้น

เฉินเฉียงและหลินฟานที่กำลังประลองกันอยู่ได้หยุดการกระทำจนนิ่งในทันที และจ้องมองออกไปยังคนที่กำลังเฮโลเข้ามาอย่างงงๆ

“ศิษย์พี่หลินฟานนนนนน”

ในทันทีที่มิติประลองได้เปิดออก เหล่าศิษย์สำนักเสือขาวได้กรูกันเข้าไป

“ไอ้พวกบ้า ออกมาเดี๋ยวนี้”

หลัวเฟิง ผอ.แห่งสำนักเสือขาวได้คำรามออกมาอย่างดังลั่นและใช้พลังของตนเหวี่ยงศิษย์ที่อยู่ใกล้เขาที่สุดออกไปนับร้อยเมตร

นี่ทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง

หลัวเฟิงนั้นอุตส่าห์บากหน้าที่มีอยู่เพียงน้อยนิดเพื่อกดดันให้เว่ยหยวนตี้จบการประลองนี้ให้ได้

แต่หากศิษย์สำนักเสือขาวก่อเรื่องไม่หยุดหย่อนแบบนี้จนเว่ยหยวนตี้เริ่มเขม่น อย่าว่าแต่หลินฟานเลย เขาก็ไม่น่าจะรอด

“ศิษย์สำนักเสือขาวนั้นเป็นพวกไม่มีมารยาทกันไปหมดรึไงห้ะ กลับไปอยู่กับที่ซะ”

เมื่อเห็นว่าหลัวเฟิงโกรธจริงๆ เหล่าศิษย์ที่ตะโกนลั่นก่อนหน้านี้ได้ก้มหน้าก้มตาในทันที

เว่ยหยวนตี้พยักหน้ารับอย่างพึงพอใจและมองไปที่เฉินเฉียงและหลินฟานและพูดออกมา

“เฉินเฉียง หลินฟาน พวกข้าทุกคนได้เห็นพวกเจ้าสู้กันแล้ว”

“พวกเจ้าทั้งสองต่างก็เป็นอัจฉริยะของเผ่าพันธุ์ที่หาได้ยากยิ่ง พวกเราจึงคิดว่าพวกเจ้าสมควรจะจบมือปรองดองเลิกแล้วต่อกัน ไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง”

“หึ….หึหึ….หึหึหึ จับมือปรองดองเลิกแล้วต่อกันเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า” เฉินเฉียงได้หัวเราะอย่างดังลั่น “ท่านเว่ย นี่ไอ้การเตรียมใจของพวกเราที่ลงชื่อในสัญญาเป็นตายนั่นมันไร้ค่าไม่ได้ต่างจากอาจมเลยรึไงกัน”

“หรือว่าเป็นเพราะไอ้พวกเสือขาวนั้นยอมรับพ่ายแพ้กันไม่ได้กันแน่”

คำพูดที่ก้าวร้าวของเฉิงเฉียนได้ทำให้เหล่าศิษย์สำนักเสือขาวจ้องเขากันอย่างตาเขม็ง

หากว่าสายตานั้นสามารถฆ่าคนได้ละก็ เฉินเฉียงก็สมควรจะถูกสายตาของศิษย์สำนักเสือขาวฆ่าตายนับพันครั้งเห็นจะได้

แม้แต่ผอ.สำนักเสือขาวอย่างหลัวเฟิงเองก็ยังรู้สึกโดนคำพูดของเฉินเฉียงคุกคามเมื่อได้ยิน

อย่างไรก็ตาม ด้วยความคิดที่จะรักษาไว้ซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผอ.แห่งสำนักเสือขาวอย่างเฉียนฝู่เองได้มองภาพรวมแล้วคิดว่านี่เป็นวิธีการที่ดีกว่าจึงได้ตวาดออกมา

“เฉินเฉียง เจ้าหยุดพูดจาเกินเลยเดี๋ยวนี้ ที่ท่านเว่ยตัดสินใจทำแบบนี้เป็นเพราะเห็นแก่มนุษยชาติที่ต้องสามัคคีกันเอาไว้”

“เจ้าเองก็ใช้ฝีมือที่แข็งแกร่งพิสูจน์ตนเองแล้วไม่ใช่รึไง แล้วทำไมถึงยังคิดฆ่าหลินฟานอีก”

เฉินเฉียงได้ยักไหล่ไปหนึ่งทีก่อนจะพูดออกมา “ข้าไม่สน ต่อให้ข้าพ่ายแพ้และตกตายข้าก็ไม่ใส่ใจ แต่กับเรื่องนี้ข้าคิดว่าพวกท่านถามผิดคนแล้วล่ะ นู่น ไปถามหลินฟานเอาเองสิ”

“หากหลินฟานคิดจะเลิกรา ข้าก็ยินดีที่จะออกไป”

หลังจากพูดจบ นัยน์ตาของเฉินเฉียงก็ราวกับจะแสยะยิ้มให้กับหลินฟานยามได้มองหน้า

ในตอนนี้หลินฟานนั้นเรียกได้ว่าเป็นชายที่ร่างโชกเลือดอย่างแท้จริง

บนร่างของเขานั้นแทบจะไม่มีส่วนไหนที่เปื้อนเลือดแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงมั่นใจอย่างมากว่าต่อให้เฉินเฉียงมีความกล้ากว่านี้นับร้อยเท่าก็ไม่มีทางยอมให้เขาออกไปจากที่นี่ ยังไงซะตัวเขาก็ได้ถือครองหลักฐานความลับของหลินฟานอยู่ในมือที่ไม่เพียงจะทำให้หลินฟานต้องตกตาย แม้แต่เหล่าหน้าใหม่ที่เขาเลือกเฟ้นให้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งสี่ก็ไม่อาจรอดพ้น ยังไงซะหากเขาหลุดออกไปจากที่นี่ พวกของหลินฟานจะต้องตกตายกันหมดทั่วทุกตัวคน

แต่หากหลินฟานใช้ทุกสิ่งที่มีฆ่าเฉินเฉียงให้ได้ที่นี่ อย่างมากเขาก็จะตกตายคนเดียว

หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว หลินฟานได้ก้มหัวลงและกล่าวคำขอร้องออกมา “ท่านเว่ย ท่านผอ. เฉินเฉียงและข้าต่างก็ลงนามในสัญญาการประลองเป็นตายไปแล้ว”

“สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นนั่นก็มีใครคนหนึ่งต้องตกตาย นี่สิ่งที่พวกเราสองคนระลึกไว้อยู่ในใจ”

“หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ มีเพียงพวกเราคนใดคนหนึ่งเท่านั้นที่จะก้าวออกไปจากที่นี่แบบมีชีวิตอยู่”

“ข้าพูดถูกรึเปล่า เฉินเฉียง”

เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นห้ามปรามและพูดออกมา “หลินฟาน อย่าได้มาถามข้าจะดีกว่า ตอนนี้ข้าไม่ได้มีสิทธิมีเสียงอะไรกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว”

“ใครจะรู้ นับจากนี้หากว่าเรากำลังสู้กันอย่างเข้าได้เข้าเข็ม อยู่ๆก็อาจมีคนคิดแหกกฎมาขัดจังหวะอีกก็ได้”

“เจ้าก็น่าจะรู้ดีกว่าใครว่าหากเราต้องสู้ต่อ ต่อให้ข้าต้องตกตายในมือเจ้า ข้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”

หลังจากพูดคำนี้ออกมา นี่แสดงให้เห็นถึงความตั้งมั่นของเขาอย่างชัดเจน

นี่หมายความว่าเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับหลินฟาน

อย่างไรก็ตาม หลัวเฟิงนั้นคิดเพียงว่าหลินฟานนั้นเป็นคนที่ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้เพราะได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะแห่งสำนักเสือขาวเพียงเท่านั้น เขาจึงได้รีบตะคอกออกมา “หลินฟาน หยุดก่อเรื่องได้แล้ว”

“ในเมื่อเฉินเฉียงไม่ได้คิดใส่ใจแล้วเจ้าจะฝืนดื้อรั้นไปทำไม”

“ถูกต้องแล้วศิษย์พี่ หากว่าต้องสู้ต่อ ศิษย์พี่จะเป็นอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้”

หลินฟานได้มองไปยังศิษย์ร่วมสำนักด้วยสายตาที่หยามเหยียดก่อนที่จะสบถออกมาเบาๆ “ไอ้ พวก ขี้ ขลาด”

ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาที่พยายามจะช่วยชีวิตคนคนหนึ่งเอาไว้อย่างสุดความสามารถจะถูกด่ากลับมาอย่างชัดเจนแบบนี้

“หลินฟาน เจ้ามันไอ้คนไม่รู้จักดีชั่ว”

“หลินฟาน ไปลงนรกซะเถอะไป๊”

แม้แต่หลัวเฟิงแห่งสำนักเสือขาวเองก็อดที่จะฉุนขึ้นมาเสียไม่ได้

“หลินฟาน นี่เจ้าหมายความว่าไง นี่เจ้ากล้าด่าแม้แต่ข้า ผอ.สำนักของเจ้างั้นเรอะ”

หลินฟานได้มองไปที่หลัวเฟิงด้วยท่าทีไม่แยแส

ต่อให้หลินฟานไม่พูดอะไรออกมา แต่เหล่าคนของสำนักเสือขาวก็ไม่ใช่คนโง่แต่อย่างใด ท่าทางของหลินฟานได้สื่อทุกสิ่งทุกอย่างออกมาโดยที่เขานั้นไม่ต้องพูดอะไรอีก

“หลินฟาน…ดี เป็นข้าเองที่เข้ามาแส่เรื่องของเจ้า”

เว่ยหยวนตี้ได้พูดออกมา “เป็นข้าที่วุ่นวายเอง ตามใจพวกเขาแล้วกัน”

เมื่อพูดจบเว่ยหยวนตี้ได้มองไปที่ทั้งสองด้วยท่าทางเย็นชาและพยักหน้าอย่างยอมรับผิดแบบเงียบๆ

“เฉินเฉียง หลินฟาน พวกเจ้าต้องการจะต่อหรือไม่”

“ข้าจะไม่หยุดจนกว่าข้าจะตาย” หลินฟานได้ตะคอกออกมาและกัดฟันแน่น

เฉินเฉียงได้ยักไหล่อีกครั้ง “ข้าเองทำได้เพียงตอบสนองความต้องการก็เท่านั้น”

“เอาล่ะ พวกเจ้าเชิญต่อกันได้แล้ว”

เว่ยหยวนตี้ได้เตรียมที่จะตวัดมือเพื่อปิดมิติประลองนี้อีกครั้ง เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้ตะโกนถามออกมา “เดี๋ยวก่อนท่านเว่ย คราวนี้จะไม่มีใครมาขัดพวกเราแล้วใช่รึเปล่า”

“หึ ไม่ต้องกังวล”

เฉินเฉียงไม่ได้ยินก็ได้หันหลังและยกคิ้วขึ้นให้กับหลินฟานและถามออกมา

“หลินฟาน นี่เจ้าปล่อยโอกาสมีชีวิตรอดของเจ้าไปแล้วนา”

“โอ้ จริงเหรอ” หลินฟานได้ยิ้มออกมา “เฉินเฉียง การประลองของเราพึ่งจะเริ่มเท่านั้น”