บทที่ 150 แขกยามวิกาล

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเวยทานอาหารเสร็จก็ชำระกายให้รู้สึกสดชื่นจากนั้นก็รอที่จะเข้านอนในตอนที่ตัวฝูกำลังจัดเตียงอยู่หยางชูก็เข้ามาจากทางหน้าต่าง

“คุณชาย!” อาหว่านดีใจ หยางชูทำมือให้ทุกคนเงียบลงจากนั้นก็ปิดหน้าต่าง

หมิงเวยเหลือบไปมอง “พี่ใหญ่ของข้าล่ะ”

“เขาเมาแล้ว” เขาถอนหายใจ “คออ่อนเช่นนี้เข้ารับราชการในอนาคตลำบากเป็นแน่”

หมิงเวยตอบ “พี่ใหญ่เป็นคนปกติเจ้าค่ะ”

หยางชูเหล่มอง “แล้วข้าไม่ใช่คนปกติงั้นหรือ”

หมิงเวยร้องฮึ นางขี้เกียจตอบเขา ตัวฝูมองพวกเขานางรู้สึกกลัวคนแปลกหน้านิดหน่อย “คุณหนูเจ้าคะ…”

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นแบบไหนนางไม่เข้าใจ! กลางดึกเช่นนี้ คุณชายหยางปีนหน้าต่างเข้ามา…ระหว่างพวกเขายังมีการป้องกันตัวเองระหว่างชายหญิงอยู่หรือไม่

หมิงเวยมองแล้วพูดออกไป “ท่านอย่าทำให้ตัวฝูกลัวเลย พูดธุระของท่านมาเถิด!”

หยางชูคล้อยตามนางเขาเงยหน้าขึ้นแล้วถามออกไป “ท่านมั่นใจหรือว่าคนพวกนั้นจะมาที่นี่คืนนี้ พวกเราเพิ่งออกจากตงหนิงได้เพียงหนึ่งวันซึ่งไม่ใช่เวลาที่ดีเท่าไร”

คุมตัวคนมากมายเช่นนี้จากตงหนิงไปที่เมืองหลวงต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือน ช่วงเวลาที่ดีที่สุดควรเป็นเส้นทางครึ่งหลังเพราะเวลานั้นเหล่าเจ้าหน้าที่ก็คงเหนื่อยแล้ว

หมิงเวยตอบไปว่า “จริงๆ พวกเขารอมานานแล้วสถานการณ์ของนายท่านสามถูกพวกเราเปิดโปง คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บและหนีไปซึ่งไม่มีทางหนีไปได้ไกลอย่างแน่นอน หลายปีเพียงนี้การมีอยู่ของพวกเขาไม่มีผู้ใดรับรู้แสดงให้เห็นถึงความแน่นหนาขององค์กรเป็นอย่างมาก ตอนนี้พวกเรารับรู้ความลับนั้นแล้ว พวกเขาจะปล่อยให้พวกเราไปเมืองหลวงแล้วนำความลับเข้าไปในศูนย์กลางอำนาจเช่นนี้หรือ”

หยางชูแตะคางใช้ความคิด “หมายความว่าการเดินทางครั้งนี้มีความเสี่ยงสินะ”

หมิงเวยพยักหน้า “ต้องระวังทุกฝีก้าวเจ้าค่ะ”

หยางชูพูดขัดขึ้น “เดี๋ยวก่อน ท่านยังไม่ได้ตอบว่าทำไมถึงรู้ว่าพวกเขาจะมาในคืนนี้”

หมิงเวยตอบ “ท่านมองออกไปนอกหน้าต่างก็รู้แล้วเจ้าค่ะ”

หยางชูไม่เข้าใจและเมื่อเขามองไปทางหน้าต่างก็พบว่าข้างนอกนั้นช่างมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงไม่กี่ดวง

“ไม่เห็นมีอะไรเลย!” หยางชูพึมพำแล้วจู่ๆ เขาก็ตัวแข็งทื่อ

“ท่านพบแล้วงั้นหรือ” หยางชูพยักหน้าเงียบๆ

ไร้เสียง! พวกเขาไม่ใช่คนไม่ใช่ม้า ตอนนี้ยังไม่ดึกมากนัก แต่ทำไมถึงได้เงียบเช่นนี้

“เกิดอะไรขึ้น”

“มีคนสร้างเขตผนึกภายในสถานีส่งสารแห่งนี้เจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบเงียบๆ “ตั้งแต่ก้าวแรกที่เราเข้ามาที่นี่ พวกเราก็ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้เว้นแต่เขตผนึกนี้จะถูกทำลาย”

หยางชูเลิกคิ้ว “ท่านหมายความว่าเราถูกตัดขาดจากโลกภายนอกงั้นหรือ”

“ใช่เจ้าค่ะ” หลังจากเงียบไปสักพัก หยางชูก็กดเสียงต่ำ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าคนอย่างท่านไว้ใจไม่ได้! รู้ว่าเดินอยู่บนหมากของผู้อื่นก็ยังคิดที่จะเดินเข้ามาอีก”

หมิงเวยยิ้มอย่างสดใส “หากไม่ทำเช่นนี้จะเชิญท่านลงโอ่ง[1]ได้อย่างไรกัน”

“ท่านไม่กลัวล้มเหลวเลยหรือ!”

หมิงเวยไม่สนใจ “จุกตายนั้นกล้าหาญ หิวตายนั้นขี้ขลาด[2] หากมัวแต่คิดถึงความปลอดภัยแล้วจะลากตัวพวกเขาออกมาได้อย่างไรเจ้าคะ”

หยางชูตอบนางไม่ได้ เขาดูเหมือนคนไม่เอาถ่าน แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่ดำเนินการทุกอย่างบนความปลอดภัยซึ่งตรงกันข้ามกับนางที่เป็นคนชอบเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางเป็นคนที่มีวรยุทธ์อ่อนแอ พลังเองก็อ่อนถึงขนาดสามารถจับได้แค่ผีตัวเล็กๆ เท่านั้น แต่ยังกล้าที่จะเดินเข้าหากับดักอีก

“ช่างเถอะ อย่างไรก็เดินเข้ามาแล้วท่านพูดมาเลยว่าจะให้ทำอย่างไร”

หมิงเวยยืนอยู่ข้างหน้าต่างสายตามองไปยังค่ำคืนที่มืดมิด “ตั้งแต่มายังยุคสมัยนี้ ข้ายังไม่เคยประมือกับเสวียนชื่อที่แท้จริงเลย คืนนี้ขอข้าลองดูฝีมือของพวกเขาหน่อยเถอะ!”

………….

ผู้ส่งสารชราเพิ่งส่งน้ำร้อนให้แขกเสร็จและเห็นแม่นางท่านหนึ่งเดินออกมาจากห้องที่ด้านในสุดชั้นบน

“ท่านตา ยังมีอาหารอยู่ไหมเจ้าคะ”

ผู้ส่งสารชราจำได้ว่านางเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณชายขี้โอ่ผู้นั้นจึงรีบตอบด้วยรอยยิ้ม “ยังมีอาหารเหลืออยู่ขอรับเพียงแต่ดับเตาไปแล้วตอนนี้อาหารน่าจะเย็นแล้วขอรับ”

“ไม่เป็นไรเพียงแต่ข้าขอยืมห้องครัวสักครู่ ข้าจะไปทำเอง” พูดจบก็ส่งเงินก้อนหนึ่งให้

ดวงตาของผู้ส่งสารชราเป็นประกายทันที เงินก้อนนี้จำนวนสองตำลึง สมแล้วที่เป็นคนสนิทของผู้สูงศักดิ์ช่างใจกว้างจริงๆ!

“แม่นาง เชิญขอรับ” เขาเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องครัวอย่างกระตือรือร้นจากนั้นก็นำข้าวเส้นผักออกมา          “วัตถุดิบอยู่นี่เชิญแม่นางตามสบาย”

“ได้ ท่านไปทำธุระเถอะ ตรงนี้ข้าจัดการเอง”

“ขอรับ!” ผู้ส่งสารชราเดินออกจากห้องครัวฟังเสียงมีดเขียงที่อยู่ข้างใน เขานำเงินก้อนนั้นขึ้นมากัดแล้วยิ้ม เงินบริสุทธิ์! วันนี้ทำเงินได้มากเลยทีเดียว

เขาเก็บเงินก้อนนั้นแล้วกระชับเสื้อผ้าของตนเอง จากนั้นก็ถือตะเกียงแล้วเดินไปที่คอกม้า ผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานีส่งสารล้วนเป็นคนชั้นสูงซึ่งม้าพวกนี้ต้องห้ามมีอะไรผิดพลาดขึ้นเด็ดขาด

คืนนี้คอกม้าค่อนข้างเงียบเป็นพิเศษเหล่าม้าที่ไม่ว่าจะเป็นม้าที่ไว้ให้ผู้คนขี่หรือลากรถล้วนหลับใหลกันหมดแล้วไม่มีสักตัวที่ลุกขึ้นมากินหญ้า

ผู้ส่งสารชรามองอย่างละเอียดเมื่อแน่ใจว่าพวกมันไม่เป็นอะไรก็เตรียมตัวกลับไปพักผ่อน เขายืนอยู่ที่ทางออกของคอกม้าแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนเองหาที่พักไม่เจอ ไม่รู้ว่าหมอกมืดครึ้มบดบังการมองเห็นตั้งแต่เมื่อไร เขามองเห็นเพียงแสงไฟสลัวๆ

ผู้ส่งสารชราหดตัวพึมพำแล้วเดินเข้าไปในหมอก เดินเข้าไปสักพักก็หยุด เหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่แผ่นหลังของเขา คอกม้าอยู่ห่างจากที่พักเพียงร้อยก้าว เขาเดินมาหลายพันก้าวแล้วแต่แสงไฟยังอยู่ห่างจากเขาเท่าเดิม

ผีอำงั้นหรือ ผู้ส่งสารชราตัวสั่นและรีบก้าวไปข้างหน้า แต่ไม่สามารถไปถึงฝั่งตรงข้ามได้เลย

……………

ภายในหมอกมีร่างสองร่างในชุดดำปีนกำแพงข้ามมา ดูจากรูปร่างแล้ว เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ฝ่ายหญิงลดเสียงลงและถามว่า

“เจ้าหนูตัวเหม็น เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าคนผู้นั้นเข้าใจเคล็ดวิชา เขตผนึกที่เจ้าวางไว้จะไม่ถูกผู้อื่นดูออกหรือ”

ฝ่ายชายตะคอกกลับ “เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว!” แล้วอธิบายไปว่า “นางอาจจะพบเขตผนึกนี่ แต่อย่างไรพวกเขาก็เข้ามาแล้วยังจะทำอะไรได้อีกเล่า”

“แล้วเจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเราแอบลอบโจมตีเช่นนี้จะสำเร็จ”

“สำเร็จหรือไม่ ไม่ลองก่อนก็ไม่รู้สิ” ฝ่ายชายขี้เกียจพูดไร้สาระเขาใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปอย่างเงียบๆ ภายในห้องหยางชูที่นอนอยู่บนม้านั่งก็ลืมตาขึ้น

ไฟได้ดับลงแล้วมีเพียงโคมไฟที่แขวนอยู่ด้านนอกใต้ชายคาเท่านั้นที่ให้แสงสว่างเข้ามาเล็กน้อย เขาจับด้ามร่มอย่างเงียบๆ กลอนประตูเปิดออกเล็กน้อยแล้วก็มียาเม็ดหนึ่งกลิ้งเข้ามาในห้อง มีควันจางๆ พุ่งออกมาจากเม็ดยาและหลังจากนั้นไม่นานกลิ่นหอมจางๆ ก็อบอวลไปทั่วห้อง

คนที่อยู่ด้านนอกระมัดระวังตัวมากผ่านไปสักพักถึงได้ใช้กริชค่อยๆ เปิดประตู อาศัยแสงสลัวด้านนอกพวกเขาเห็นหญิงสาวนอนอยู่บนเตียง บนพื้นหน้าเตียงมีสาวใช้คนหนึ่งนอนหลับอยู่ ทั้งสองส่งสัญญาณทางสายตาให้กันคนหนึ่งไปที่เตียง คนหนึ่งไปที่พื้น คนที่ไปจัดการกับสาวใช้เมื่อเข้าไปใกล้จู่ๆ ก็รู้สึกว่าการหายใจของอีกฝ่ายหนักไปหน่อยจึงไม่ลังเลที่จะตบลงไปอย่างแรง

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนอีกฝ่ายตกใจและพยายามต่อต้านทั้งที่ยังตื่นตระหนกแต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง

ฝ่ามือนั้นตบเข้ามาอย่างแรง นางยิ้มเยาะถูกพบแล้วอย่างไร ฆ่าให้ตายก่อนแล้วค่อยพูด! แต่นางกลับพบทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ฝ่ามือนั้นราวกับตบลงไปที่หินท่าทางดูไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม จากนั้นก็มีพลังมหาศาลถาโถมเข้ามา นางสะอึกร่างกายสั่นไหวจนสูญเสียการควบคุมเลือดไหลออกจากมุมปากทันที!

………………………

[1] เชิญท่านลงโอ่ง : การใช้วิธีการที่คนผู้หนึ่งคิดค้นขึ้นเพื่อจัดการกับผู้อื่น มาใช้จัดการกับคนผู้นั้นเอง นอกจากนี้ยังแฝงความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “ดาบนั้นคืนสนอง” อีกด้วย

[2] จุกตายนั้นกล้าหาญ หิวตายนั้นขี้ขลาด : คนที่กล้าเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย ไม่มัวกังวลนั่นกังวลนี่ จะประสบความสำเร็จ ดังเช่นคนที่มีให้กินอย่างเหลือเฟือจนจุกตาย คือคนที่กล้าเสี่ยงจนร่ำรวยเป็นเศรษฐี ส่วนคนขี้ขลาด จะทำอะไรก็กลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด ไม่กล้าเสี่ยง กลัวเสียหน้า ฯลฯ จึงไม่ประสบความสำเร็จ ต้องยากจนและอดตาย