บทที่ 148 ภาพนี้มีปัญหา[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 148 ภาพนี้มีปัญหา[รีไรท์]

เมื่อฉู่ชวิ๋นเดินออกมาจากคฤหาสน์สกุลหลิว มังกรเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นและแจ้งว่าหัวหน้าหมายเลขหนึ่งกำลังรอคอยเขาอยู่

สถานที่ซึ่งฉู่ชวิ๋นต้องไปในครั้งนี้ ไม่ใช่ตรอกซอยอันซอมซ่ออีกแล้ว แต่มันเป็นอาคารที่ล้อมรอบด้วยสนามหญ้ากว้างขวาง อาคารหลังนี้มีหลังคาสีแดงและกำแพงสีขาว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตึกที่ทำการของผู้มีอำนาจในเมืองจีน

ประตูเหล็กด้านหน้าแกะสลักเป็นรูปมังกรบินทะลุก้อนเมฆอย่างสวยงาม แสดงให้เห็นถึงความสวยงามและความรุ่งเรืองของสถานที่แห่งนี้

รถยนต์ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับเข้าไป ดังนั้นแขกผู้มาเยือนจึงต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจ เขาเดินไปบนทางเดินหินด้วยท่าทางที่สบายอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง

มังกรเขียวเดินตามติดอยู่ข้างหลังฉู่ชวิ๋นไม่ห่าง ฉู่ชวิ๋นเป็นชายหนุ่มที่ไม่มีผู้ใดสามารถทัดเทียมได้ เขามีสง่าราศียิ่งกว่าดวงอาทิตย์ เมื่อมังกรเขียวนึกย้อนกลับไปตอนที่ได้เจอฉู่ชวิ๋นเป็นครั้งแรก ฉู่ชวิ๋นก็สามารถกำราบกลุ่มสิบสองนักษัตรได้อย่างที่ไม่อาจขัดขืนได้เลย มังกรเขียวเข้าใจมาตั้งแต่วินาทีนั้นเลยว่า โชคชะตาของชายหนุ่มคนนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ถ้าหากฉู่ชวิ๋นรู้ว่ามังกรเขียวกำลังคิดอะไรอยู่ เขาก็จะบอกผู้ติดตามด้วยความจริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้ว่า เขาขอกลับไปเป็นคนธรรมดาดีกว่า เพราะว่าชีวิตแบบนี้ มันหนักหนาสาหัสสำหรับเขามากเกินไป

ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้และต้นไม้โดยรอบเริ่มร่วงโรย แม้แต่ในตึกที่ทำการระดับสูงของเมืองจีน ก็ไม่มีข้อแม้เช่นกัน

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งรอต้อนรับฉู่ชวิ๋นอยู่ในห้องทำงาน ซึ่งมีแต่เชื้อพระวงศ์และผู้คนระดับสูงเท่านั้นที่เคยเข้ามาที่นี่ แต่ฉู่ชวิ๋นได้รับข้อยกเว้นเป็นพิเศษ

ในมวลอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อไม้ ห้องทำงานแห่งนี้มีพื้นที่มากกว่า 100 ตารางเมตร ปูพื้นด้วยก้อนอิฐสีแดง ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ไม่เหมือนใคร พูดโดยรวมก็คือ มันมีสภาพเหมือนห้องทำงานของเจ้าของธุรกิจระดับปานกลาง ไม่มีใครคิดเลยว่านี่จะเป็นห้องทำงานของผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองคนหนึ่งในประเทศ

“นั่งลงก่อนสิ” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งรินน้ำชาให้ตนเอง สีสันของน้ำชาดูจะบาดตาไม่น้อย แต่แน่นอนว่านี่เป็นน้ำชาที่จะเสิร์ฟแต่เฉพาะคนในระดับราชวงศ์เท่านั้น น้ำชาแต่ละถ้วยจึงมีค่าสูงอย่างประเมินไม่ได้

กลิ่นน้ำชาหอมฟุ้งในอากาศ หัวหน้าหมายเลขหนึ่งมองหน้าฉู่ชวิ๋นผ่านไอน้ำที่ลอยขึ้นมาจากถ้วยน้ำชา ดวงตาของเขาปรากฏความหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้เลย

ตระกูลหลิวมีอายุยืนยาวมาหลายร้อยปี บรรพบุรุษก่อสร้างความดีไว้มากมาย แต่ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี หลังจากที่ตระกูลหลิวเริ่มเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง คนตระกูลนี้ก็ยิ่งใหญ่เกินไปจนไม่มีใครแตะต้องได้

แต่ฉู่ชวิ๋นใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวก็โยนตระกูลหลิวตกลงมาจากแผ่นฟ้ากระแทกพื้นดิน และอีกไม่ช้านานก็คงตรงลงสู่นรกแน่นอน

“ภาพวาดสวยดีนะครับ”

ฉู่ชวิ๋นจ้องมองภาพวาดของพยัคฆ์ตัวหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังด้านหลังโต๊ะทำงาน ชายหนุ่มเดินเข้าไปดูใกล้ๆ มันเป็นภาพของพยัคฆ์โคร่งที่กำลังคำรามอยู่ภายในป่า ท่าทางของมันที่กำลังจะกระโจนออกมา มีความเหมือนจริงเป็นอย่างยิ่ง

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งเงียบไปเล็กน้อย ก่อนที่จะยิ้มออกมา “ถ้านายชอบ ภาพนี้ฉันยกให้นายเลยก็ได้นะ”

“เยี่ยมเลย!” ฉู่ชวิ๋นนั่งลงและกวักมือเรียกให้มังกรเขียวเดินเข้ามา

เมื่อมังกรเขียวเดินเข้ามา ฉู่ชวิ๋นถามอย่างยิ้ม ๆ ว่า “มังกรเขียว นายคิดยังไงบ้างกับภาพวาดพยัคฆ์คำรามภาพนี้?”

มังกรเขียวตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะหันหน้าไปเพ่งมองที่ภาพวาดพยัคฆ์บนกำแพง

ฉู่ชวิ๋นยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ อีกมือหนึ่งของเขายกขึ้นดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เสียงจักจั่นก็ดังขึ้นภายในห้องทำงานทันที มังกรเขียวจ้องมองภาพวาดพยัคฆ์คำรามเหมือนกับตกอยู่ในภวังค์ สิ่งที่เขากำลังเห็นอยู่ในตอนนี้ก็คือ ภาพวาดพยัคฆ์กำลังสลายตัวลงอย่างช้า ๆ จนในที่สุด มันก็หายวับไปภายในเพียงพริบตาเดียว

“น้ำชารสชาติดีมากครับ ไปขโมยใครมาหรือเปล่า?” ฉู่ชวิ๋นยิ้ม

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งแทบจะสำลักน้ำชาออกมาแล้ว เขาไม่คิดเลยว่าฉู่ชวิ๋นจะเล่นมุกตลกร้ายแบบนี้

“นี่คือน้ำชาหยุนอู๋จากภูเขาหยุนอู๋ ถือเป็นของหายากสำหรับคนทั่วไป ผงชาเพียงแค่ 1 กรัมก็มีค่าเท่ากับทองคำ 1 แท่ง ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ไม่มีทางที่เธอจะไม่ชอบมันอยู่แล้ว ถ้าบางครั้งเธอเอามาฝากฉันด้วยก็จะดีมาก” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งพูดความจริง เพราะเขารู้ดีว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฉู่ชวิ๋น ตนเองจะเล่นลวดลายไม่ได้ เด็กหนุ่มคนนี้ร้ายกาจมากเกินไป

ฉู่ชวิ๋นหัวเราะ “ทำไมผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังเอาเปรียบผมเลยล่ะ”

“ถ้านายรักษาอาจารย์ของฉันได้ นายจะเอาของของฉันชิ้นไหนไปจากที่นี่ก็ได้ทั้งนั้น” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง

แต่ฉู่ชวิ๋นรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น “ผมกล้าพูดเลยว่าอาจารย์ของคุณยังสามารถรักษาได้อยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมยังขาดยาอยู่ 1 ตัวเท่านั้น”

“ยาอะไร เดี๋ยวฉันจะส่งให้คนออกตามหา” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งพูด

ฉู่ชวิ๋นเคยบอกเอาไว้ว่าอาจารย์ของเขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว

“ไม้ฟ้าผ่า” ฉู่ชวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เอ่อ…มันคืออะไรนะ” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งมีสีหน้าสับสน เขาไม่เคยได้ยินชื่อไม้ฟ้าผ่ามาก่อน

“ไม้ฟ้าผ่าเป็นต้นไม้ที่อยู่รอดได้ด้วยการถูกฟ้าผ่าอย่างต่อเนื่อง ต้นไม้ชนิดนี้มีสรรพคุณทางยาสูงมาก แต่หายากที่สุด”

“แล้วฉันจะไปหามันได้จากที่ไหน?”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ” ฉู่ชวิ๋นตอบออกมาหน้าตาเฉย

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งปากกระตุกอยู่ครู่ใหญ่ รู้ดีอยู่แล้วว่าการพูดคุยกับฉู่ชวิ๋นจะต้องเต็มไปด้วยความน่าปวดหัว แต่เขาก็พูดต่อว่า “ฉันจะส่งคนออกไปตามหา”

ฉู่ชวิ๋นส่ายศีรษะและพูดว่า “ไม้ฟ้าผ่าไม่ใช่แค่อยากจะหาก็หาเจอ คนธรรมดาไม่รู้หรอกว่ามันอยู่ที่ไหน ผมเกรงว่าคงมีแต่สำนักในยุทธภพต่างๆเท่านั้นที่มีมันอยู่”

“แล้วรู้ไหมว่าสำนักไหนมีอยู่บ้าง?” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งถามอย่างเต็มไปด้วยความหวัง

“ผมไม่รู้แน่ชัด แต่ผมคิดว่าถ้าอยากจะเจอ ให้เริ่มต้นที่สำนักกระบี่ทองคำเลยก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

แต่ดวงตาของหัวหน้าหมายเลขหนึ่งเบิกกว้างขึ้นสีหน้าของเขาแสดงความผิดปกติออกมาเล็กน้อย

สำนักกระบี่ทองคำเคยยกพวกไปปิดล้อมฉู่ชวิ๋นบนภูเขาเฉียนหลง ทุกคนเข้าใจดีว่าเหตุการณ์นี้จบลงแล้ว เพราะว่าหลังจากนั้น คนของสำนักกระบี่ทองคำก็ถูกฉู่ชวิ๋นสังหารหมดสิ้น

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกคนจะยังรู้จักฉู่ชวิ๋นไม่มากพอ อย่างน้อยเขาก็มีความอำมหิตมากกว่าที่คิด

สำนักกระบี่ทองคำคงไม่อาจฟื้นคืนขึ้นมาได้อีกแล้ว หัวหน้าหมายเลขหนึ่งคิดอย่างนั้นจริง ๆ

“ถ้าไม่มีไม้ฟ้าผ่าอยู่ที่สำนักกระบี่ทองคำ ก็คงไปหาต่อที่สำนักความหวังใหม่ หรือไม่ก็หุบเขาราชาพิษสินะ”

ฉู่ชวิ๋นมองไปที่หัวหน้าหมายเลขหนึ่งและยิ้มออกมาเล็กน้อย “ในที่สุดเราก็เข้าใจตรงกันสักทีนะ”

ตอนนี้ต่อให้หัวหน้าหมายเลขหนึ่งไม่เข้าใจก็ต้องเข้าใจแล้ว ฉู่ชวิ๋นมีฉายาว่าจอมมารร้าย มือสังหารใจโฉด เจ้าแห่งความมืด แต่ทุกอย่างเหล่านั้นหยุดอยู่แค่เพียงภายในโลกยุทธภพ คนธรรมดาไม่เคยให้ความสนใจกับเรื่องราวในยุทธภพมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ต่อให้ฉู่ชวิ๋นสังหารเจ้าสำนักให้หมดยุทธภพ มันก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาเลย

ไม่ว่าจะเป็นในยุคไหนสมัยไหน สำนักต่างๆในยุทธภพก็ไม่เคยได้รับการยอมรับจากทางการอยู่แล้ว

เฮ้อ…อีกไม่นานคงเกิดการนองเลือดขึ้นในโลกยุทธภพเป็นแน่แท้ หัวหน้าหมายเลขหนึ่งคิดแล้วก็อดสงสารไม่ได้

ฉู่ชวิ๋นหรี่ตามองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาแปลกประหลาด เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวหน้าหมายเลขหนึ่งเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน ความรู้สึกสงสารเห็นใจผู้อื่นนับว่าเป็นเรื่องดี ตั้งแต่ยุคโบราณกาลมา จะมีจักรพรรดิสักกี่คนกันที่มีจิตใจเมตตาปรานีประชาชน?

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งกำลังจะอ้าปากพูด มังกรเขียวที่ยืนมองภาพวาดอยู่ก็ถอยหลังกลับมาสองก้าว เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เช่นเดียวกับบนหน้าผากและเส้นผม สภาพของมังกรเขียวเหมือนกับคนที่เพิ่งขึ้นมาจากน้ำไม่มีผิด ชายหนุ่มหอบหายใจอย่างหนัก สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นกลัว

“เป็นอะไรไป?” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งถามด้วยความสงสัย แค่ยืนดูภาพวาดเฉยๆ ทำไมถึงเหงื่อตกขนาดนี้?

ฉู่ชวิ๋นหันหน้าไปมองผู้ติดตามของตนเองและถามว่า “นายเห็นหรือยัง?”

“นายท่านรู้มานานแล้วใช่ไหมครับ” ความหวาดกลัวบนใบหน้าของมังกรเขียวยังไม่จางหายไป

ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย ตอบว่า “นี่คือพยัคฆ์ปีศาจ”

“พวกนายพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่เนี่ย” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งถามอย่างไม่เข้าใจ

“คุณอยากจะรู้จริงเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมองผู้เป็นเจ้าของห้องด้วยสายตาน่ากลัว

เมื่อหัวหน้าหมายเลขหนึ่งเห็นสีหน้าของฉู่ชวิ๋น ก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้ เขารีบส่ายศีรษะปฏิเสธ นี่มันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน

“ภาพนี้แขวนอยู่หลังโต๊ะทำงานคุณมานานเท่าไหร่แล้ว?” มังกรเขียวถาม เขาเองก็เป็นคนใหญ่คนโตไม่น้อย เมื่ออยู่ตรงหน้าหัวหน้าหมายเลขหนึ่งจึงสามารถพูดได้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“น่าจะอยู่มาได้ครึ่งปีแล้วล่ะ ภาพวาดภาพนี้มันเป็นอะไรเหรอ?” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งหันมองกลับไปที่ภาพวาดเจ้าปัญหา มองอยู่นานสองนานก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติ

มังกรเขียวยังคงมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาหันมองกลับไปที่ฉู่ชวิ๋นและถามว่า “ผู้อาวุโสครับ ทำไมหัวหน้าหมายเลขหนึ่งถึงมองไม่เห็น?”

“เพราะว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาไงล่ะ เขาถึงมองไม่เห็น” ฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ฉันมองไม่เห็นอะไร?” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งพูดด้วยความไม่พอใจ เจ้าสองคนนี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่นะ?

“ภาพนี้มีปัญหา” มังกรเขียวตอบ

“ปัญหาอะไร? ปัญหาแบบไหน?” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งถาม

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” มังกรเขียวส่ายหน้าอย่างจนปัญญา

“…..” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งถึงกับพูดไม่ออก เขารีบหันกลับไปมองฉู่ชวิ๋น แล้วถามว่า “ภาพวาดภาพนี้มันมีอะไรกันแน่?”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ก็แค่ความผิดปกติไม่กี่อย่าง” ฉู่ชวิ๋นตอบด้วยน้ำเสียงสุขุม

หัวหน้าหมายเลขหนึ่งจ้องมองมาด้วยความกระวนกระวายใจ “ฉันทำอะไรผิดพลาดลงไปหรือเปล่า? ทำไมหน้าตาของพวกนายดูเครียดขนาดนี้?”

ฉู่ชวิ๋นจ้องมองตอบกลับไป ก่อนที่จะฉีกยิ้มแบบแปลก ๆ และพูดว่า “นั่นแหละครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่คุณจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ครึ่งปีเท่านั้นเอง…”

“ว่าไงนะ?” หัวหน้าหมายเลขหนึ่งเบิกตาโตขณะที่ลุกพรวดขึ้นยืนด้วยความตกใจ