บทที่ 186 หลังจากกลับวังหลวง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

หลินชิงเวยหันไปมองเสี่ยวฉี “เมื่อตอนออกไปข้าพูดกับเจ้าว่าอย่างไร เจ้าปล่อยให้ซินหรูของข้านั่งสัปหงกอยู่นอกประตู ไม่ส่งนางกลับไปนอนหรือ”

เสี่ยวฉีหน้าตึงตอบว่า “เรียนเจาอี๋เหนียงเหนียง เป็นนางที่ยืนกรานว่าจะรออยู่ที่นี่ รอกระทั่งผ่านไปค่อนคืนแล้วจึงอนุญาตให้ข้าน้อยส่งนางกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”

หลินชิงเวยเหลือบตามองเขา “อนุญาตให้เจ้าส่งนางกลับไป? หากนางไม่อนุญาต เจ้าก็ทำอะไรนางไม่ได้หรือ”

เสี่ยวฉีเงียบขรึม

ซินหรูดึงชายอาภรณ์ของหลินชิงเวย “พี่สาว ท่านอย่ากล่าวโทษเขาเลยเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่ไม่ยอมกลับไป ฝ่าบาทบรรทมแล้วข้าจึงกลับไปได้เจ้าค่ะ”

หลินชิงเวยมองนาง ทำงานอย่างมืออาชีพก็ไม่ใช่ทำเช่นนี้

เสี่ยวฉีหันไปพูดกับเซียวเยี่ยน “ท่านอ๋อง ทางด้านท่านเจ้าเมือง…”

เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ “คลี่คลายหมดแล้ว เจ้าส่งซินหรูกลับไปพักผ่อนเถิด”

“พ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวฉีเดินเข้ามาสองก้าวแล้วพูดกับซินหรูว่า “ซินหรู ไปเถิด”

หลินชิงเวยเลิกคิ้ว เจ้าหนุ่มนี่น่าสนใจนัก ซินหรูพูดว่า “พี่สาวเพิ่งจะกลับมา ข้าไม่กลับ เจ้าจะกลับก็กลับเองเถิด”

หลินชิงเวยพูดอย่างเห็นขัน “เจ้ากลับไปกับเขาก่อน อีกประเดี๋ยวข้าก็กลับไปแล้ว”

ซินหรูไม่ฟังเสี่ยวฉีแต่กลับเชื่อฟังคำพูดของหลินชิงเวย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เดินตามเสี่ยวฉีไป

หลินชิงเวยมองเงาร่างของซินหรูและเสี่ยวฉีที่เดินจากไปแล้วหันมาพูดกับเซียวเยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างกาย “สุนัขรับใช้ของท่านดื้อรั้นเจ้าทิฐิ ข้าไม่ชอบ”

เซียวเยี่ยน “ไม่ได้ให้เจ้าชอบ”

“แต่ไม่แน่ว่าต่อไปหากเข้ามาประตูเดียวกันก็กลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แล้วจะอยู่กันลำบาก”

“…” ขมับของเซียวเยี่ยนกระตุก พูดอะไรไม่ออก

หลินชิงเวยไม่พูดอะไรกับเขาอีก เดินผ่านร่างของเขาตรงเข้าไปผลักประตูออกเบาๆ แล้วเดินเข้าไป ออกจากวังไปหลายวันเช่นนี้นางยังสวมอาภรณ์บุรุษจนถึงตอนนี้ หลินชิงเวยรู้ว่าหลายวันนี้เซียวจิ่นจะต้องฟื้นขึ้นมาแล้วเป็นแน่ นางควรจะมีคำอธิบายให้เขาหรือไม่ ลำพังแค่เสี่ยวฉีและซินหรูสองคนย่อมไม่อาจทำให้เซียวจิ่นไม่คิดฟุ้งซ่านได้ ดังนั้นทันทีที่นางกลับมาถึงวังหลวงจึงมาตำหนักซวี่หยางแทนที่จะเป็นตำหนักฉางเหยี่ยน ทำเช่นนี้ไม่เพียงส่งผลดีต่อนาง แต่เพื่อทั้งสองอาหลานด้วยเช่นกัน

แม้ว่านางจะเหน็ดเหนื่อยอย่างที่สุด

ทันทีที่เงยหน้ามองไปบนแท่นบรรทมมังกร เซียวจิ่นยังตื่นอยู่จริงๆ ด้วย ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น หลินชิงเวยหัวใจพลันสะดุดกึก ผนังห้องของตำหนักบรรทมกั้นเสียงได้ดีเช่นนี้ยังคงรบกวนให้เซียวจิ่นตื่นอยู่นั่นเอง ดูท่าว่านางและเซียวเยี่ยนไม่อยู่ในวัง เซียวจิ่นไม่อาจนอนหลับอย่างเป็นสุข

เมื่อสักครู่ไม่ได้กลับไปพร้อมกับซินหรูช่างเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

หลินชิงเวยเข้ามากำลังจะถวายบังคมเซียวจิ่น เซียวจิ่นเอ่ยปากขึ้นก่อนทันใด “ไม่พบกันเพียงแค่ไม่กี่วัน ชิงเวยกลับทำเหมือนเจิ้นเป็นคนอื่นไปแล้ว ต้องถวายบังคมตามธรรมเนียมด้วยหรือ”

หลินชิงเวยได้แต่เดินตัวตรงเข้าไปพูดคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ดูแล้วต่อไปแม้หม่อมฉันจะอยากเป็นคนรู้ธรรมเนียมมารยาทก็ทำไม่ได้แล้วเพคะ เมื่อสักครู่รบกวนฝ่าบาทจนตื่นบรรทมหรือไม่เพคะ”

“เจิ้นนอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว” เขามองเซียวเยี่ยนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินชิงเวย ยังคงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในที่สุดเจ้าก็กลับมากับเสด็จอา เจิ้นยังคิดว่าเสด็จอาพาเจ้าออกไปจะไม่กลับมาแล้ว”

แม้ฟังดูแล้วเหมือนเป็นคำพูดหยอกล้อ แต่ในน้ำเสียงของเซียวจิ่นยังคงปนเปไปด้วยความโดดเดี่ยวอ้างว้าง

หลินชิงเวยรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ในเมื่อหลายวันมานี้เมื่อนางและเซียวเยี่ยนออกไปสะสางเรื่องคดีก็ไม่ได้กลับมาแม้สักครั้งเดียว “จะเป็นไปได้อย่างไรเพคะ ยังไม่ได้เห็นกับตาว่าฝ่าบาททรงยืนขึ้นได้เองหม่อมฉันไม่มีทางยอมจากไป ฝ่าบาททรงรู้สึกอย่างไรบ้างเพคะ”

เซียวจิ่น “ไม่ค่อยรู้สึกอะไร ขาทั้งคู่เพียงแต่ไม่อาจขยับ ไม่สะดวกอย่างยิ่ง ยังมีความรู้สึกเจ็บเป็นพักๆ”

หลินชิงเวยพูดเสียงอ่อน “นั่นเป็นเพราะขาของฝ่าบาทกำลังฟื้นตัวเพคะ ดังนั้นจึงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด นี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ขอเพียงอดทนให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ก็จะดีขึ้นเอง ฝ่าบาทบรรทมไปกี่วัน แล้วตื่นบรรทมขึ้นมาเมื่อใดเพคะ”

เซียวจิ่น “เจิ้นนอนไปสองวันก็ตื่นขึ้น ตื่นขึ้นมาได้ยินว่าชิงเวยกับเสด็จอาออกจากวังไปด้วยกัน” เห็นสีหน้าของชิงเวยไม่อาจพูดได้ว่าผ่อนคลาย เขาจึงตบมือหลินชิงเวยเบาๆ พูดอย่างลุแก่โทษว่า “ชิงเวย เมื่อสักครู่เจิ้นพูดเล่นกับเจ้า เจ้าอย่าได้โกรธเคืองเล่า”

“ไม่ได้โกรธเพคะ”

เซียวจิ่นหันไปมองเซียวเยี่ยนแล้วพูดอีกว่า “เสด็จอา ได้ยินเซียวฉีบอกว่าท่านพาชิงเวยออกจากวังไปสืบสวนคดี เป็นอย่างไรบ้าง คดีคลี่คลายแล้วหรือไม่”

เซียวเยี่ยนพยักหน้า “เคราะห์ดีที่มีหลินเจาอี๋”

เซียวจิ่นพูดกลั้วหัวเราะ “ชิงเวย คิดไม่ถึงว่าเจ้าไม่เพียงแต่เก่งกาจในเชิงวิชาแพทย์ ยังสืบสวนคดีเป็นด้วย”

หลินชิงเวย “หม่อมฉันเพียงแต่รู้วิชาแพทย์และขณะเดียวกันค่อนข้างเข้าใจรายละเอียดของร่างกายมนุษย์อย่างชัดเจนเท่านั้นเพคะ เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้นข้างนอก หม่อมฉันไปตรวจดูศพของพวกเขา จึงพบเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ เพคะ”

เซียวจิ่นถาม “เช่นนั้นหลายวันมานี้พวกท่านพำนักอยู่ที่ใด?”

หลินชิงเวยตอบ “คฤหาสน์ของท่านเจ้าเมืองเพคะ” พูดถึงเช่นนี้แล้วย่อมต้องตรวจสอบได้ หากเซียวจิ่นมีใจคิดจะตรวจสอบแล้วละก็ แต่ด้วยเหตุใดเล่า หลินชิงเวยคิดว่าตนเองกลายเป็นโรคจิตไปแล้วแน่ๆ นางถึงกับมีความรู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบสวนจับชายชู้…

หลินชิงเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย เซียวจิ่นรู้สึกว่าการกระทำของตนไม่ค่อยเหมาะสมเช่นกัน จึงพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนเจิ้นจะถามมากไปหน่อยแล้ว”

หลินชิงเวย “ฝ่าบาทยังอยากทราบสิ่งใดอีกหรือไม่เพคะ เกี่ยวกับคดีและขั้นตอนต่างๆ ถามเสด็จอาเถิดเพคะ”

เซียวจิ่นพยักหน้า “ท่านกลับมาดึกเช่นนี้รีบกลับไปพักผ่อนเถิด เกี่ยวกับเรื่องของคดี มีเวลาว่างเจิ้นค่อยถามอย่างละเอียด เสด็จอา ท่านช่วยเจิ้นส่งชิงเวยกลับไปได้หรือไม่”

เซียวเยี่ยนรับคำแล้วหันกายออกไปเงียบๆ ต่อมาหลินชิงเวยจึงเดินตามหลังออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวจิ่นที่มองเงาร่างของทั้งสองคนค่อยๆ ลบเลือนไป

หลินชิงเวยกลับไปถึงตำหนักฉางเหยี่ยน พักผ่อนกระทั่งยามบ่ายของวันรุ่งขึ้นจึงมาตำหนักซวี่หยาง อย่างไรซินหรูก็มาดูแลเซียวจิ่นตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงดึกดื่นทุกวันอยู่แล้ว ทางด้านเซียวจิ่นจึงไม่จำเป็นต้องให้นางมาเป็นกังวล นางจึงพักผ่อนแล้วค่อยมาดูอาการของเขา

หลินชิงเวยกลับมาสวมอาภรณ์ในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนของตนเอง ขับให้ผิวพรรณของนางที่อยู่ใต้เงาของแสงตะวันและร่มไม้แทบจะโปร่งแสงได้ นางเดินผ่านประตูใหญ่ของตำหนักซวี่หยางราวกับสายลมเย็นสายหนึ่งที่พัดผ่านมา

ในตำหนักบรรทมของเซียวจิ่น มีถังน้ำแข็งใบหนึ่งวางอยู่ในทุกมุมห้อง น้ำแข็งเริ่มจะละลายแล้วทำให้อุณหภูมิภายในห้องเย็นลง ขณะที่หลินชิงเวยก้าวเข้ามาจึงรู้สึกเย็นสบาย นางยังหยิบผลไม้บนถาดไปแช่ในถังน้ำแข็งสักครู่แล้วค่อยนำออกมากินให้ความรู้สึกเย็นชื่นใจ

หลินชิงเวยมองซินหรูปอกเปลือกองุ่นผลเล็กๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วค่อยคว้านเมล็ดองุ่นออกมา จากนั้นค่อยส่งไปที่ริมฝีปากของเซียวจิ่น เซียวจิ่นอ้าปากก็กินได้แล้ว เขาพูดกับซินหรูด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องทุ่มเทปรนนิบัติเจิ้นถึงเพียงนี้หรอก ไปนั่งพักเถิด”

หลินชิงเวยพูดอย่างเห็นขันว่า “ดูท่าแล้วเจ้าเด็กน้อยปรนนิบัติฝ่าบาทได้ดีอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ไม่เห็นนางจะคว้านเมล็ดองุ่นให้หม่อมฉันเลยเพคะ ซินหรูเจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะเป็นคนเฝ้าที่นี่เอง หลายวันมานี้เจ้าก็ยุ่งอยู่กับการดูแลฝ่าบาท ไม่มีเวลาร่ำเรียนตำรา ยามนี้หลังจากกลับไปแล้วต้องอ่านหนังสือหลายเล่มเพื่อชดเชยจึงจะใช้ได้”