ตอนที่ 168 ภารกิจถูกต้องจริงๆ เหรอ?

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

“ห่างจากพวกเราเท่าไหร่?” อาจารย์คนนี้น่าจะเป็นหัวหน้าของทีมนี้ เมื่อได้ยินคำรายงานของลูกทีมก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

“ไม่ถึงหนึ่งพันเมตร” อาจารย์ที่ค้นหาตอบ

“เสี่ยวล่าย นายเฝ้าระวังบริเวณรอบๆ ไว้ อย่าให้อาจารย์คนอื่นๆ พบร่องรอยของพวกเราได้” หัวหน้าทีมเอ่ยจัดการอย่างเฉียบขาด

“รับทราบ หัวหน้า!” เสี่ยวล่ายหรืออาจารย์ที่ค้นหารับคำสั่ง

หัวหน้าทีมโบกมือไปที่ด้านหลังก็ได้ยินเสียงแซกๆ ดังขึ้นหลายครั้ง ร่างเงาห้าสายก็หายไปจากที่นี่ทันที

ส่วนทางด้านทิศใต้ หลิงหลานกำลังวิ่งตะบึงไปอย่างรวดเร็ว ในสมองก็สั่งเสี่ยวซื่อให้ช่วยเธอหาสถานที่ล่าเหยื่อที่เหมาะสมที่สุด

“เสี่ยวซื่อ ที่นี่เหรอ?” หลิงหลานหยุดฝีเท้าลงทันทีและสอบถามเสี่ยวซื่อ

“ใช่แล้ว รัศมีหนึ่งพันเมตรรอบๆ บริเวณนี้ไม่มีนักเรียนลูกเสือสักคน” ถึงแม้เสี่ยวซื่อจะไม่รู้ว่าทำไมหลิงหลานถึงใส่ใจเรื่องตัวตนของลูกเสือ แต่ในเมื่อลูกพี่ต้องการ เขาเป็นลูกน้องก็ต้องรับหน้าที่แก้ไขปัญหา

“โอเค งั้นเรารอเหยื่อเข้ามากันเถอะ!” สนามล่าเหยื่อที่หลิงหลานเลือกคือป่าทึบขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงส่วนลึกของสถาบัน ที่นี่อยู่ไกลจากอาคารเรียนใหญ่ต่างๆ มาก คนทั่วไปไม่เลือกมายังสถานที่มืดครึ้มมองไม่เห็นร่องรอยมนุษย์แบบนี้ นอกเสียจากเป็นพวกนักเรียนที่ฉวยโอกาสอยากซ่อนตัวอดทนให้ผ่านพ้น 24 ชั่วโมง

หลิงหลานกระโดดอย่างคล่องแคล่วอยู่ท่ามกลางต้นไม้หลายครั้งแล้วหายตัวไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียง

ไม่ถึงหนึ่งนาที ทีมของอาจารย์ห้าคนก็ปรากฏตัวขึ้นตรงจุดที่หลิงหลานหายตัวไป

“อยู่ตรงนี้ อุปกรณ์สอดแนมค้นหาร่างของเขาเจอเมื่อหนึ่งนาทีก่อน เขาเข้าไปในป่า หลังจากนั้นก็หายไปจากตรงนี้” เสี่ยวล่ายกล่าวพลางชี้ไปที่ยังทิศทางที่หลิงหลานหายไป

“เอาตำแหน่งแน่ชัดที่เขาซ่อนตัวมาไม่ได้เหรอ?” หัวหน้าทีมมองป่าที่เงียบงันแล้วสอบถามอีกครั้ง

“ไม่มีทางหาออกมาได้หรอก ที่นี่แทบจะไม่มีอุปกรณ์สอดแนมเลย นอกเสียจากจะใช้ระบบดาวเทียมที่ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักรับผิดชอบ” เสี่ยวล่ายกล่าวด้วยความเสียใจ “ฉันยังไม่สามารถเจาะเข้าไปในออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเพื่อเอาสิทธิการควบคุมของมันมา ระดับของมันไม่ต่ำกว่าออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของทางกองทัพเราเลย”

หัวหน้าทีมพูดว่า “ผ่านไปแค่หนึ่งนาที เขาต้องหนีไปได้ไม่ไกลแน่นอน พวกเราตามไป!” เขากล่าวจบก็เป็นคนแรกที่ทะยานเข้าไปในป่า บรรดาลูกทีมก็ไม่ลังเล พุ่งตามเขาเข้าไปในป่า แค่จัดการเด็กอายุ 13 พวกเขาไม่ต้องหวั่นกลัวว่าจะต้องหลีกเลี่ยงป่าอะไรเลย

ทุกคนเดินทางอย่างรวดเร็วไปได้ช่วงหนึ่ง ทันใดนั้นหัวหน้าทีมก็หยุดฝีเท้าลง หลับตาสัมผัสสภาพแวดล้อมรอบๆ ด้วยความจริงจัง

“กลิ่นอายของฝ่ายตรงข้ามหายไปแล้ว เขาทำได้ยังไง?” สีหน้าของหัวหน้าทีมย่ำแย่มาก ถ้าหากคราวนี้เป้าหมายหลบหนีไปได้  พวกเขากลับไปแล้วก็ยากจะอธิบาย ควรทราบไว้ว่าโอกาสที่จะสามารถกำจัดอีกฝ่ายอย่างไร้สุ้มไร้เสียงนั้นหายากสุดขีด ดังนั้น หัวหน้าจึงออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดมาตั้งแต่แรกแล้วว่า เด็กคนนั้นต้องตายในการต่อสู้ประจัญบานครั้งนี้

“หรือว่าพวกเราไล่ตามจนเลยไปแล้ว?” หนึ่งในลูกทีมเอ่ยถาม พวกเขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเด็กอายุ 13 ที่ยังไม่โตเต็มที่จะมีความเร็วในการเดินทางเหนือกว่าพวกเขา

“เป็นไปไม่ได้แน่นอน!” หัวหน้าทีมแค่นเสียงเย็นกล่าว เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่พวกเขาเข้ามาเมื่อสักครู่นี้ ความเป็นไปได้แบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นอันขาด

อย่างไรก็ตาม เขาเองก็เชื่อเหมือนกันว่าด้วยความเร็วของพวกเขาไม่มีทางไล่ตามอีกฝ่ายไม่ทัน ความเป็นไปได้มากสุดคือ ฝ่ายตรงข้ามมีวิธีการอำพรางตัวที่น่าอัศจรรย์ ซ่อนตัวอยู่ด้านข้างทำให้เขาจับสังเกตไม่ได้

“เขาน่าจะอยู่ใกล้ๆ นี้! พวกเราแยกย้ายกันค้นหา ต้องหาอย่างจริงจัง อย่าพลาดพื้นที่น่าสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น” หัวหน้าทีมตัดสินใจทันที “แล้วก็อย่าลืมว่าพวกเรามาทำอะไร…”

หัวหน้าทีมกวาดสายตาเย็นเยียบไปที่ลูกทีมรอบหนึ่ง “ฆ่าเขา อย่าใจอ่อน! นั่นคือภารกิจของเรา!”

“ครับ หัวหน้า!” สี่คนรับคำสั่ง บางคนที่เดิมทีมีสีหน้าผ่อนคลายพลันเก็บงำอารมณ์ พวกเขาเลือกไปยังทิศทางต่างๆ ของตัวเอง และทำการค้นหาช้าๆ

…..

“อย่างที่คิดไว้เลย พวกเขามาฆ่าเราจริงๆ ด้วย…” เสี่ยวซื่อรับผิดชอบหน้าที่แสดงภาพการเคลื่อนไหวของคนทั้งห้าในห้วงสมองของหลิงหลานออกมาทีละคน

“ไอ้หยา ตำแหน่งที่หมอนั่นเดินทำไมถึงตรงเผงขนาดนี้? ใกล้จะหาเราเจอแล้ว!” เสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงสติสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ

“อย่ารีบร้อน!” หลิงหลานปลอบเสี่ยวซื่อ เธอจ้องมองอาจารย์คนหนึ่งที่อยู่ใกล้กับเธอมาก ถือว่าเป็นอาจารย์ไปก่อนชั่วคราวละกัน…เธอต้องหาโอกาสสังหารให้ได้ในการโจมตีเดียว

เมื่อคนเหล่านี้เข้ามาใกล้ หลิงหลานก็รู้ว่าเธอได้เผชิญหน้าวิกฤติใหญ่ครั้งที่สองในชีวิต นับตั้งแต่เหตุการณ์ลอบสังการตอนอายุหกขวบในครั้งนั้น ห้าคนนี้ต่างเป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ที่อยู่ในช่วงปลายของระดับพลังปราณ โดยเฉพาะหัวหน้าทีมคนนั้นไปถึงระดับสูงสุดของพลังปราณได้อย่างสมบูรณ์แบบเหมือนกับเธอแล้ว รอคอยแค่ช่วงเวลาจุดเปลี่ยนเท่านั้น หลังจากที่ตระหนักรู้แล้วก็จะเข้าสู่ขอบเขตใหม่ได้

ฝ่ายตรงข้ามเข้าใกล้จุดที่เธอซ่อนตัวอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าหัวใจของหลิงหลานกลับยิ่งสงบลง การเต้นของหัวใจเธอเปลี่ยนเป็นช้าลงสุดขีด ราวกับว่าตกอยู่ในสภาพจำศีล เธอหมอบนิ่งอยู่ตรงนั้น

หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…อีกฝ่ายเดินมาถึงตรงหน้าเธอแล้ว ถึงขนาดที่รองเท้าบนเท้าเขาแทบจะเหยียบนิ้วมือของเธอ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หัวใจของหลิงหลานยังคงกระจ่างราวกับน้ำแข็ง ถึงฟ้าถล่มลงมา เธอก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดเดียว

เมื่ออีกฝ่ายคิดจะเข้ามาใกล้อีกก้าว ทันใดนั้นพุ่มหญ้าด้านข้างที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งเมตรก็ขยับเล็กน้อย คนผู้นั้นหันตัวไปในชั่วพริบตา ทำหน้าระมัดระวังเตรียมตัวเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ตรงนั้น เวลานี้เอง หลิงหลานก็เคลื่อนไหวทันที!

มือขวาของหลิงหลานกุมอาวุธทรงกรวยสีโปร่งใสที่ปล่อยไอเย็นออกมาเล็กน้อย นี่เป็นแท่งน้ำแข็งที่ใช้พันธะน้ำแข็งหลอมออกมา นี่เป็นอาวุธขนาดใหญ่ที่สุดที่หลิงหลานสามารถหลอมออกมาได้ในตอนนี้ พวกคุณบอกว่า มือขวาของหลิงหลานหักไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังใช้อาวุธได้อีกล่ะ?

ที่แท้ ตอนที่เธอปะทะหมัดกับจางจิงอันก่อนหน้านี้ แขนขวาของหลิงหลานไม่ได้เป็นไรเลย แต่เธอจงใจทำเป็นอ่อนแอ ส่วนใครจะติดกับเพราะแบบนี้…นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่หลิงหลานต้องพิจารณา

อย่างไรก็ตาม แท่งน้ำแข็งในมือขวาไม่ใช่อาวุธที่หลิงหลานพึ่งพามากที่สุด กระบวนท่าสังหารที่แท้จริงของเธอคือ การจู่โจมทางจิต

ในยุคนี้การโจมตีทางจิตเป็นความสามารถที่ยอดฝีมือด้านการต่อสู้ระดับเขตแดน หรือว่าผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาอาจจะครอบครองได้ ดูดีๆ นะ นี่เป็นเพียงแค่การอาจจะครอบครองได้เท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต้องมีพลังจิตมหาศาลจริงๆ ถึงจะเลื่อนขั้นได้ แต่การมีพลังจิตไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะใช้พลังจิตโจมตีได้ นอกเสียจากจะมีพรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นทางด้านนี้ถึงจะครอบครองความสามารถแบบนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ความสามารถผีซวีจากการกลายพันธุ์ทางจิตก็เป็นการโจมตีทางจิตอย่างหนึ่ง

แต่หลิงหลานเป็นตัวประหลาด เธอไม่ได้ปลุกพรสวรรค์ประเภทโจมตี แต่เพราะว่ามีอาจารย์ของมิติการเรียนรู้ เธอใช้วิธีการทรมานตัวเองฝึกฝนท่าสังหารไร้รูปทว่าทรงอานุภาพนี้ขึ้นมา นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมหลิงหลานกล้าล่ายอดฝีมือที่มีความสามารถระดับพลังปราณเหมือนกับเธอห้าคนด้วยตัวคนเดียว

อันที่จริง การขยับเขยื้อนของพุ่มหญ้าที่ดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายนั้นก็เป็นหลิงหลานใช้พลังจิตดึงมันให้ขยับเงียบๆ คราวนี้หลิงหลานวางแผนไว้ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัยเลยสักนิด ปฏิกิริยาตอบโต้ทุกอย่างของฝ่ายตรงข้ามต่างอยู่ในการคำนวณของเธอหมดแล้ว

 การจู่โจมทางจิตที่อำมหิตทำให้สมองของฝ่ายตรงข้ามถูกพลังสายหนึ่งโจมตีใส่โดยพลัน จางจิงอันที่เพิ่งจะย่างเข้าสู่ระดับต้นของพลังปราณจึงหมดสติลงโดยไม่อาจต้านทานได้เลยในที่สุด ทว่าอาจารย์ที่มาถึงระดับกลางของขั้นพลังปราณตรงหน้ากลับถูกโจมตีจนมึนงงไปแค่สองวินาทีก่อนจะได้สติกลับมา

แต่สองวินาทีนี้กลับเพียงพอให้หลิงหลานฆ่าฝ่ายตรงข้ามได้หลายรอบแล้ว แท่งน้ำแข็งที่สร้างขึ้นจากพันธะน้ำแข็งแทงเข้าไปในหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างเฉียบขาด หลิงหลานลงมือโดยไม่ได้ลังเลก่อนจะถอยออกไปในพริบตา ไม่ได้ดูผลที่เกิดขึ้นของอีกฝ่ายก็หนีไปทันที!

การโจมตีเมื่อสักครู่นี้เผยจิตสังหารของเธอออกมาแล้ว ถ้าหากเธอหยุดอยู่กับที่เพียงเล็กน้อยก็จะถูกอีกสี่คนที่เหลือโอบล้อม เวลานั้นเธออยู่ในจุดที่ทุกสิ่งทุกอย่างเลวร้ายแล้ว

เมื่อหลิงหลานจากไป แท่งน้ำแข็งที่ทะลุอกอีกฝ่ายพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นแสงระยิบระยับนับไม่ถ้วนก่อนจะหายไปในอากาศในชั่วพริบตา เมื่อไม่มีการหนุนเสริมจากพันธะน้ำแข็งของหลิงหลานแล้ว แท่งน้ำแข็งย่อมไม่สามารถคงรูปลักษณ์เดิมต่อไปได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่หลิงหลานเลือกใช้อาวุธที่หลอมจากพันธะน้ำแข็ง ทำให้ท้ายที่สุดมีแค่ห้าคนนี้เท่านั้นที่รู้ว่าอาวุธที่เธอใช้สังหารคนคืออะไร

“เสี่ยวล่าย!” หัวหน้าทีมร้องด้วยความตกใจพลางรีบเข้ามา ที่แท้ลูกทีมคนแรกที่ถูกหลิงหลานสังหารก็คือเสี่ยวล่ายที่ปลุกพรสวรรค์เจาะระบบที่สามารถเจาะเข้าไปในอุปกรณ์สอดแนมเพื่อค้นหาเป้าหมายได้ เนื่องจากพรสวรรค์เจาะระบบเป็นการตื่นทางด้านสายจิต ดังนั้นเขาถึงมีความสามารถในการต้านทานการจู่โจมทางจิตของหลิงหลานสูงมาก แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถป้องกันการจู่โจมทางจิตของหลิงหลานได้หมด เพราะฉะนั้นสุดท้ายเขาก็ยังตายภายใต้การลอบโจมตีของหลิงหลาน

เสี่ยวล่ายกดหน้าอกที่มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาด้วยความหวาดหวั่น ในปากก็พูดพร่ำว่า “ฉันไม่อยากตาย ฉันไม่อยากตาย…” เดิมทีเขาคิดว่านี่เป็นภารกิจที่สบายสุดขีด แค่ฆ่าลูกเสืออายุ 13 ขวบคนเดียวเท่านั้น พวกเขาต่างก็เป็นทหารหัวกะทินะ….

“เสี่ยวล่าย ฝืนไว้นะ!” หัวหน้าทีมหยิบยารักษาออกมาป้อนอีกฝ่าย แต่เขาก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์แล้ว นอกเสียจากจะเติมเลือดเข้าไปด้วยเพื่อรักษาปริมาณเลือดขั้นต่ำสุดของอีกฝ่ายไว้ภายในสามนาที หลังจากนั้นก็เปลี่ยนหัวใจดวงใหม่ภายในเวลาสองชั่วโมง ไม่อย่างนั้นต่อให้เป็นเทพเซียนก็ช่วยเขาไว้ไม่ได้เหมือนกัน

แต่ตอนนี้พวกเขากลับอยู่ในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ และพวกเขากำลังปลอมตัวเป็นอาจารย์เพื่อลอบฆ่านักเรียนในสถาบัน พวกเขาไม่สามารถขอความช่วยเหลือฉุกเฉินได้ ไม่สามารถได้รับความช่วยเหลือเหล่านี้เลย พูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่สามารถนำเสี่ยวล่ายกลับไปที่เขตของตัวเองได้ในสามนาที

หลิงหลานที่ซ่อนตัวอยู่ด้านข้างกัดฝ่ามือตัวเองหนักๆ หวังว่าความเจ็บปวดจะลดความทุกข์ในใจลงได้ คนที่เธอฆ่าเมื่อสักครู่นี้ไม่ใช่มนุษย์ในมิติการเรียนรู้ที่รู้ดีว่าถูกจำลองออกมา และก็ไม่ใช่ศัตรูในสงครามหุ่นรบของดาวสัตว์อสูรที่ตายในเงื้อมมือเธอ ยิ่งไม่ใช่คนทรยศที่เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเขาทรยศเธอ

มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาคือทหารคนหนึ่ง เป็นทหารซื่อสัตย์รับภารกิจมาอย่างบริสุทธิ์ใจโดยที่ไม่รู้ความจริง…แต่เธอไม่สามารถใจอ่อนเพราะแบบนี้ได้ เธอตายไม่ได้ ตายไม่ได้เด็ดขาด เธอสาบานไว้นานแล้วว่า ชาตินี้เธอจะใช้ชีวิตอย่างมั่นคงปลอดภัย อยู่อย่างอิสระเสรี ใครก็ตามที่คิดจะขัดขวางเป้าหมายนี้ ต่อให้กลายเป็นปีศาจเธอก็ไม่เสียดาย…

“หัวหน้า! ภารกิจนี้ถูกต้องจริงๆ เหรอ?” เสี่ยวล่ายเบิกตาโตที่เต็มไปด้วยความสงสัยขณะหายใจเฮือกสุดท้าย

“เสี่ยวล่าย!” หัวหน้าทีมคำรามเสียงต่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว น้ำตาไหลลงมาจากขอบตาเงียบๆ ก็เหมือนกับที่เสี่ยวล่ายพูดไว้ ภารกิจนี้ถูกต้องจริงๆ เหรอ? ทำไมต้องฆ่าเด็กที่ยังเติบโตไม่เต็มที่ด้วย? เพราะว่าพ่อเขาทรยศ ดังนั้นลูกก็จะทรยศเหมือนกันหรือไง? ทำไมต้องป้องกันเภทภัยล่วงหน้าให้ได้?

หัวหน้าทีมปิดดวงตาที่เบิกกว้างของเสี่ยวล่ายลงช้าๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แววตาเต็มไปด้วยความเย็นเยียบรุนแรง “เสี่ยวล่าย จนตอนนี้นายก็ยังไม่เข้าใจ พวกเราไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอะไรคือผิดหรือถูกเลย เมื่อเข้าไปในองค์กรแล้ว ภารกิจก็คืออับดับหนึ่ง! วางใจเถอะ ฉันจะฆ่ามันเพื่อล้างแค้นให้นาย เลือดของเพื่อนร่วมรบจะต้องไม่ไหลเปล่า” ไอสังหารของหัวหน้าทีมเปลี่ยนเป็นหนาแน่น กลิ่นอายทั่วทั้งร่างค่อยๆ ปั่นป่วนจนถึงขนาดที่มีความเป็นไปได้ว่าจะบ้าคลั่งอยู่จางๆ

……………………………….